ตอนที่ 20 ขนาดสุนัขยังกลัวพี่สาว
หญิงวัยกลางคนแซ่เถียนกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับนมและขนมปังจำนวนมาก
เนื่องจากคืนนี้มีเด็กสาวอยู่ด้วยอีกคน เธอจึงไม่จำเป็นต้องสนใจไอ้เด็กเหลือขอพวกนี้มาก หลังจากวางของเสร็จ เธอก็กลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อนอนหลับ
ตอนนี้เองเด็กที่หมดสติก็ตื่นขึ้นมา
ดวงตาของเด็กน้อยทั้งสามคนเป็นประกาย พวกเขาตะโกนขึ้นพร้อมกันว่า “น้องชายตัวเล็ก”
เด็กน้อยมองดูทุกคนอย่างสับสน
มู่เถาเยาลุกขึ้นนั่งแล้วดึงเด็กน้อยเข้ามากอด
“หนูน้อย หนูชื่ออะไรเหรอจ๊ะ”
เด็กน้อยตอบอย่างไร้เดียงสาว่า “ผมชื่อหลิ่นหรานครับ พี่สาว คุณย่าผมอยู่ที่ไหน” เด็กน้อยถามพลางกวาดสายตามองหาคุณย่าอย่างที่เคยทำเป็นประจำ
“คุณย่าของหนูกำลังเล่นซ่อนหากับหนูอยู่” เล่นซ่อนหาเป็นได้ทุกอย่างแล้วขณะนี้!
เห็นได้ชัดว่าหลิ่นหรานตัวน้อยเองก็เคยเล่นซ่อนหามาก่อนเช่นกัน ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาก็ยิ้มกว้างและพูดว่า “คุณย่าหาหลิ่นหรานไม่เจอ”
มู่เถาเยา “…” หาไม่เจอ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะร้องไห้จนตาบอดไปแล้วหรือเปล่า!
ซาลาเปาตัวน้อยบ่นกับมู่เถาเยาว่าเขาหิว ไม่ได้เป็นกังวลหรือรู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
มู่เถาเยาพาเขาไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างมือ จากนั้นก็สอดหลอดดูดเข้าไปในกล่องนมและฉีกขนมปังเป็นเส้นเล็กๆ ให้เขาหยิบกิน
ประมาณสามทุ่ม เด็กๆ ก็พากันหาวหวอด
มู่เถาเยารับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กอย่างจำนนในชะตา เธออาบน้ำให้เจ้าตัวเล็กทีละคนก่อนจะอุ้มพวกเขาไปนอนลงบนเตียง
นอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็จะได้เจอกับคุณพ่อคุณแม่แล้ว
ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เธอจะรวบแก๊งค้ามนุษย์พวกนี้ได้ทั้งหมดไหม สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปคือเธอจะส่งพวกมันให้ตำรวจ จับไอ้พวกเศษเดนมนุษย์พวกนี้ยัดเข้าคุกให้หมด!
ซาลาเปาน้อยๆ ตรงหน้าเธอไม่ได้เจอหน้าพ่อแม่มาเป็นเวลานานแล้ว เกรงว่าการเล่นซ่อนหาสารพัดประโยชน์ คงใช้เกลี้ยกล่อมพวกเขาไม่ให้งอแงไม่ได้อีกต่อไป
สำหรับเด็กน้อยอายุสามหรือสี่ขวบ การห่างจากพ่อแม่หนึ่งหรือสองวันก็เกินขีดจำกัดแล้ว การที่พวกเขายังไม่ตระหนักถึงจนกระทั่งตอนนี้ อาจเพราะพวกเขามีเพื่อนเล่นในวัยเดียวกันอยู่ด้วยหลายคนจึงรู้สึกแปลกใหม่
แต่หลังจากวันนี้ไปพวกเขาจะร้องไห้งอแงอย่างแน่นอน
มู่เถาเยามีประสบการณ์ในการเลี้ยงดูน้องชายแท้ๆ ของเธอมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กทารก ดังนั้นเธอจึงเข้าใจจิตวิทยาของเด็กเป็นอย่างดี
หลังจากเฝ้าดูเด็กน้อยนอนหลับสนิทอยู่พักหนึ่ง มู่เถาเยาก็นั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง ถอดนาฬิกา แยกชิ้นส่วนและประกอบพวกมันเข้าเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก
แป้นพิมพ์เสมือนเลเซอร์ถูกฉายลงบนหน้าเดสก์ท็อป ตัวแป้นพิมพ์ถูกควบคุมอย่างรวดเร็วด้วยนิ้วมือทั้งสองข้าง มู่เถาเยาใช้เวลาไม่นานในการระบุตำแหน่งที่นี่
รอยยิ้มเย็นฉายขึ้นบนใบหน้าไร้ที่ตินั้นอย่างเงียบๆ
ที่นี่เป็นพื้นที่คฤหาสน์ส่วนตัวอย่างที่เธอคิดไว้จริงๆ แถมยังตั้งอยู่ในเขตวิลล่าที่มีชื่อเสียงมากทางทิศตะวันตกของเมือง เป็นสถานที่ที่พวกคนร่ำรวยชื่นชอบกันมาก
ทางทิศตะวันออกของเมืองเย่ว์ตูเป็นเมืองเก่าซึ่งมีถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง
ส่วนทิศตะวันตกเป็นเขตพื้นที่มั่งคั่งและวิลล่าสุดหรู เขตเซิ่งซื่อฉางอันก็อยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง
ทางตอนใต้เป็นสถานที่โปรดของเหล่าพนักงานออฟฟิศและปัญญาชนเพราะเป็นย่านศิลปะ
ตอนเหนือของเมืองเป็นเมืองแห่งมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยและโรงเรียนเกือบทั้งหมดในเย่ว์ตูตั้งอยู่ในพื้นที่นี้
มู่เถาเยาไม่เพียงแต่ค้นพบอาชีพและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของเจ้าของวิลล่าเท่านั้น แต่ยังพบกิจกรรมที่ผิดกฎหมายหลายอย่างอาทิเช่นการหลีกเลี่ยงภาษีและการรับสินบนที่เขาทำอย่างลับๆ
ถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการค้ามนุษย์ อย่างมากที่สุดเขาก็คงจะติดคุกแค่สองหรือสามปี แต่หลักฐานที่เธอพบ เพียงพอที่จะส่งเขาลงนรกหลายสิบครั้งไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีก
ผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงที่มักจะทำการกุศลบังหน้า เนื้อแท้แล้วก็เป็นเพียงไอ้ขยะที่สันดานต่ำรู้จักแต่ทำเรื่องชั่วๆ
ตามข้อมูลหลักฐานที่เธอค้นพบ มู่เถาเยายังพบว่ามีเด็กนักเรียนหญิงอีกหลายคนที่ได้รับทุนการศึกษาจาก ‘เถ้าแก่’ หรือเจ้าของวิลล่า ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ใด
เนื่องจากวิลล่าไม่มีกล้องวงจรปิด การจะตรวจสอบว่ารถคันไหนเข้าออกบ้างนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากในขณะนี้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านี่เป็นงานที่ค่อนข้างใหญ่และมีรายละเอียดยิบย่อยเยอะ ไม่เพียงแต่ต้องติดตามเส้นทางของรถ แต่ยังต้องตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทั้งหมดอีกด้วยซึ่งมันต้องใช้เวลามาก
มู่เถาเยาส่งอีเมลไปหาอาจารย์อาเล็กของเธอฉบับหนึ่งก่อนเพื่อขอลาหยุด จากนั้นจึงรวบรวมหลักฐานทั้งหมดที่พบ กำหนดเวลาว่าให้ส่งไปยังสถานีตำรวจแห่งหนึ่งในเวลาแปดโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น จากนั้นก็ปิดคอมพิวเตอร์ แสร้งทำตัวไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องรู้ราวเหมือนเดิม
นอนหลับไปโดยที่ยังคงตื่นตัวอยู่เสมอ
เช้าวันพรุ่งนี้ หลังจากสมาชิกแก๊งค้ามนุษย์พวกนี้ถูกซ้อมจนสะบักสะบอมและถูกตำรวจลากตัวไป ด้วยวิธีการของพวกตำรวจ เป็นไปไม่ได้ที่จะล้วงเอาข้อมูลมาไม่ได้เลย
นอกเหนือจากนั้น มันไม่ใช่หน้าที่ของเธอ!
ถ้าบังเอิญไปพบเข้า แน่นอนเธออาจยื่นมือเข้าไปยุ่ง แต่ถ้าจะให้ทำทุกอย่าง เธอไม่หมดแรงตายก่อนเหมือนชาติที่แล้วหรือไง!
ตกลงกันแล้วว่าชีวิตนี้เธอจะทำแต่สิ่งที่น่าสนใจและจะพาอาจารย์ทั้งสองคนและอาจารย์แม่ไปท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ ลิ้มรสของกินอร่อยๆ ทั่วโลก
อืม อย่างนั้นแหละ
มู่เถาเยานอนหลับสนิทและตื่นนอนตามเวลาปกติของเธอ
หลังลุกออกจากเตียง เธอก็ไปนั่งไขว่ห้างที่ริมหน้าต่างอย่างสบายใจ
จากนั้นจึงค่อยปลุกซาลาเปาน้อยๆ ให้ตื่นทีละคน
เด็กๆ ขยี้ตาปรือและเรียกพี่สาวด้วยเสียงเบา ทำเอาหัวใจที่เฉยเมยและแข็งกระด้างของมู่เถาเยาอ่อนยวบ
เด็กน้อยแต่ละคนว่าง่ายรู้ความมาก ทำให้คนอยากจะกอดพวกเขาไว้ในอ้อมแขนและฟัดแก้มย้วยๆ นั้นอย่างเอ็นดู
น่าเสียดายที่อุปนิสัยตามธรรมชาติของมู่เถาเยาน่าเบื่อเกินไปและเธอก็ทำเรื่องน่าจั๊กจี้แบบนั้นไม่ได้ แต่สีหน้าของเธอในขณะนี้ก็ดูนุ่มนวลและอ่อนโยนมากกว่าปกติแล้ว ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้รู้ตัวเลย
หลังจากเด็กๆ ถูกจับอาบน้ำทีละคน มู่เถาเยาก็ปล่อยให้เด็กๆ นั่งเรียงกันบนโซฟาและเล่นของเล่นระหว่างรออาหารเช้า
เธอสำรวจประตูบานนี้ดูแล้ว เป็นความจริงที่มันไม่สามารถเปิดได้จากด้านใน แม้ว่าเธอจะสามารถใช้กำลังภายในเตะมันให้เปิดได้ แต่มันจะทำให้ก้อนซาลาเปาเล็กๆ พวกนี้ตกใจ เธอจึงเลือกรอเวลาไปก่อน
หลังจากนั้นไม่นาน หญิงวัยกลางคนแซ่เถียนและอีกหลายคนก็นำอาหารเช้าเข้ามาให้
พวกเธอวางอาหารเช้าที่ยังมีไอร้อนลอยกรุ่นขึ้นมา ก็หันหลังกลับและเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ขณะที่คนทั้งหมดเดินไปถึงหน้าประตู เสี่ยวหลินซึ่งทำหน้าที่เฝ้าประตูอยู่ก็กำลังจะปิดประตูจากข้างนอก ตอนนั้นเองที่ร่างของมู่เถาเยาก็ปรากฏตัวขึ้นที่บานประตูในชั่วพริบตา ร่างเล็กบอบบางเบี่ยงตัวและจู่โจมออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า เพียงชั่วเสี้ยวอึดใจ จุดชีพจรของทั้งสามคนก็ถูกเธอสกัดจุดเอาไว้
ดวงตาสามคู่มองไปที่มู่เถาเยาด้วยความสับสน
รอจนกระทั่งพวกเขาได้สติตอบสนองกลับมา ก็พบว่าตัวเองไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือพูดได้เลย พวกเขารู้สึกกระวนกระวายใจมาก แต่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเฝ้าดูมู่เถาเยาเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ค่อยๆ แบ่งอาหารเช้ากับก้อนซาลาเปาเล็กๆ สองสามก้อนนั้น
“จยาเย่ว์ ปู้อวี๋ เจียวหยาง หลิ่นหราน พวกหนูเป็นเด็กดีนั่งกินอาหารเช้าอยู่ตรงนี้อย่างเชื่อฟังไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่สาวจะลงไปข้างล่าง ไปเอาน้ำผลไม้มาให้พวกหนู”
จยาเย่ว์คว้าแขนเสื้อของมู่เถาเยาไว้แน่น และพูดด้วยความหวาดกลัวว่า “พี่สาว อย่าลงไปข้างล่าง ข้างล่างมีสุนัขตัวใหญ่อยู่ มันดุร้ายมาก!”
ซาลาเปาเล็กอีกสองก้อนพยักหน้าหงึกหงักอย่างลนลาน พวกเขาทุกคนล้วนเคยได้ยินเสียงเห่าของสุนัขที่ดุร้าย!
มีเพียงเสี่ยวหลิ่นหรานน้อยและมู่เถาเยาที่เพิ่งถูกส่งเข้ามาใหม่ไม่รู้ เสี่ยวหลิ่นหรานไม่เข้าใจว่าทำไมพี่สาวและพี่ชายตัวเล็กถึงบอกว่าลงไปข้างล่างไม่ได้ แต่เขาก็เลียนแบบพวกพี่ๆ แล้วพูดออกไปว่า “พี่สาวอย่าลงไปข้างล่าง สุนัขดุๆ !”
มู่เถาเยาลูบหัวน้อยๆ ของพวกเขาทีละคน และพูดในสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นคำพูดที่อ่อนโยนที่สุด “อย่ากลัว พี่สาวดุร้ายกว่าอีก ขนาดสุนัขยังต้องกลัวพี่สาวเลย”
จยาเย่ว์ส่ายหัวพรืดเมื่อได้ยิน “พี่สาวไม่ดุร้าย”
เด็กชายตัวน้อยทั้งสามคนพยักหน้า ไม่ดุร้าย ไม่ดุร้าย พี่สาวใจดี
มู่เถาเยาหัวเราะไม่ออก
ถ้าไม่นับเวลานอน เอาเข้าจริงเด็กๆ เพิ่งใช้เวลาอยู่กับเธอเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น พวกเขารู้ได้ยังไงว่าเธอไม่ดุ?
เด็กๆ ช่างหลอกง่ายเสียจริง!
แต่ก็นั่นแหละ ไม่งั้นพวกเขาจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!
มู่เถาเยาดึงมือเล็กๆ ของจยาเย่ว์ออกแล้วพูดว่า “กินข้าวเช้ากันไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่สาวจะพาพวกเธอกลับบ้านไปหาพ่อแม่ พ่อแม่ของพวกหนูโง่เกินกว่าจะหาเราเจอ ดังนั้นพวกเราจะไม่เล่นอีกต่อไป”
พวกเด็กๆ มีความสุขกันมาก หัวเล็กๆ เหมือนลูกนกผงกขึ้นลงและส่งเสียงร้องว่า “พี่สาว เล่นซ่อนหากับคุณพ่อคุณแม่ไม่สนุกเลย คุณพ่อคุณแม่โง่หาพวกหนูไม่เจอ”
เล่นซ่อนหาครั้งนี้ไม่สนุกเลย คุณหมาตัวโตน่ากลัว คุณลุงคุณป้าก็ดุมาก พวกเธอจะไม่เล่นซ่อนหากับคนแปลกหน้าอีกแล้ว!