ตอนที่ 22 สวมบทบาทได้ดี
หัวหน้าซังชั่วขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงเพียงคนเดียวในทีมพาเด็กๆ สองสามคนขึ้นไปบนรถก่อน
หลังจากนั้นมู่เถาเยาก็ทยอยคลายการสกัดจุดให้ทีละคน แน่นอนว่าจุดทรมานเธอยังคงปล่อยมันเอาไว้ไม่ช่วยคลายออกให้
“ตำรวจ…ฉัน…ขอแจ้งความ…เธอ…ทุบตีพวกเรา…อ้ากกก…” เจ็บจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง!
มู่เถาเยายกเท้าขึ้น เตะส่งเขาออกไปนอกประตูโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าทุบตี” เล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว!
เจ้าหน้าที่ตำรวจเมินหน้าทำเป็นมองไม่เห็น
ถ้าเป็นไปได้ พวกเขาก็อยากจะซ้อมสวะพวกนี้ด้วยมือตัวเองสักยก!
พิจารณาจากอีเมลที่ได้รับและเด็กๆ ในที่เกิดเหตุ เศษเดนกลุ่มนี้เป็นแก๊งค้ามนุษย์แน่นอน ขนาดคนธรรมดายังอยากจะทุบตีพวกมันให้ตายสักแปดร้อยครั้ง!!!
ถ้าไม่ใช่เพราะอีเมลนิรนาม เราคงไม่รู้ว่าเด็กเหล่านี้จะถูกขายไปที่ไหนบ้างและคงยากที่จะตามหาตัวพวกเขาในตอนนั้น
แม้ว่าอีเมลฉบับนั้นจะส่งมาอย่างแปลกประหลาด แต่เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ยินดีเชื่อและไปตรวจสอบตามรายละเอียดที่ระบุอยู่ในอีเมลดีกว่าปล่อยผ่านไปเพราะลูกชายของหัวหน้าซังชั่วเองก็เพิ่งหายตัวไปเมื่อคืนนี้เช่นกัน
เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนไม่มีใครเห็นอกเห็นใจเลยเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของพวกผู้ค้ามนุษย์ที่ทรุดตัวลงดิ้นพล่านไปกับพื้นเพราะถูกสกัดจุดทรมาน!
หัวหน้าซังชั่วถามเด็กสาวที่วางตัวสงบราวกับดอกเบญจมาศป่า ประหนึ่งว่าภาพเหตุการณ์น่าอนาถตรงหน้านี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ “เสี่ยวมู่ บนร่างกายของพวกเขาจะมีบาดแผลที่เห็นได้ชัดเจนไหม”
ไม่ใช่ว่าเขาสนใจคนเหล่านี้ เพียงแต่ว่าสถานการณ์แบบนี้จะทำให้คนที่ไม่รู้ความจริงคิดว่าพวกเขากำลังทุบตีผู้ต้องสงสัย จินตนาการไปเองว่าพวกเขาบีบบังคับอีกฝ่ายให้สารภาพด้วยการทรมาน
“วางใจเถอะค่ะ จะไม่มีบาดแผลใดๆ ทั้งภายในและภายนอก หลังจากที่จุดชีพจรถูกคลายออกมา พวกเขาก็จะกลับไปเป็นอย่างที่เคยเป็น” ยกเว้นคนที่ฝึกฝนวรยุทธ เขาจะไม่สามารถบ่มเพาะกำลังภายในได้อีกต่อไป
“ดี! เสี่ยวมู่ เธอรายงานความปลอดภัยของตัวเองให้กับคนในครอบครัวเธอรู้แล้วหรือยัง เรายังต้องขอให้เธอตามเราไปที่สถานีตำรวจอีกสักรอบ”
“อืม” ทุกคนไม่รู้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรายงานเพื่อไม่ให้พวกเขาเป็นกังวล
นี่คือข้อดีของการอยู่คนเดียว! กลางคืนไม่กลับบ้านก็ไม่มีใครรู้! เยี่ยม!
หลังจากเฝ้าดูตำรวจทุกคนลากกลุ่มคนที่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดราวกับสุนัขตายขึ้นไปบนรถ มู่เถาเยาก็ตามขึ้นไปนั่งบนรถคันเดียวกับซาลาเปาน้อยๆ สองสามลูกนั้น
ตำรวจชุดหนึ่งคุมตัวผู้ร้ายแยกไปยังหน่วยงานรักษาความปลอดภัยแห่งหนึ่งในเมืองเย่ว์ตู ขณะที่อีกชุดซึ่งตามมาในภายหลังยังคงเฝ้าอยู่ที่วิลล่าและตามเก็บหลักฐานทั้งหมด แม้แต่สุนัขตัวใหญ่ดุร้ายที่พวกเด็กๆ กลัวก็ยังถูกเอาตัวไปด้วย
เมื่อไปถึงสถานีตำรวจ กลุ่มแก๊งค้ามนุษย์ที่เจ็บปวดจนแทบจะหมดลมหายใจอยู่รอมร่อ แม้แต่ลงจากรถพวกเขาก็เดินลงไม่ไหวแล้ว!
เจ้าหน้าที่ตำรวจมองไปที่มู่เถาเยาราวกับว่าพวกเขากำลังมองดูนางฟ้าตัวน้อย
เพราะรู้ดีว่าอย่างไรตัวเองก็คงรอดยาก แก๊งค้ามนุษย์ทุกคนจึงสารภาพหมดเปลือก รายละเอียดที่ทุกคนคายออกมานั้น เลวร้ายมากเสียจนตำรวจที่รับหน้าที่สอบปากคำอยากลุกขึ้นไปประเคนหมัดใส่เศษสวะตรงหน้าสักทีสองที เพียงแต่แค่นั้นยังไม่เพียงพอที่จะระบายความเกลียดชังในใจของพวกเขา!
สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือผู้ประกอบการชื่อดังหลินเฮ่าหมิง
ไอ้ชั่วที่สวมหน้ากากนักบุญ แต่เบื้องหลังกลับทำแต่เรื่องเลวทราม
และก็เพราะหน้ากากนักบุญที่เป็นที่รู้จักกันดีของผู้คนนี่แหละ ที่ทำให้ใครก็ไม่กล้าคิดว่าเขาจะกล้าใช้คฤหาสน์ส่วนตัวของตัวเองเป็นแหล่งกบดานซ่องสุม
หลินเฮ่าหมิงจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง และมีความสามารถในการสืบสวนและหลบหนีการสืบสวนที่แข็งแกร่ง ดังนั้นวิธีการก่ออาชญากรรมของเขาในช่วงสองสามปีแรกจึงเหนือชั้นมาก
อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพราะเขาไม่เห็นว่าทางการจะสามารถทำอะไรเขาได้ ในช่วงปีหลังๆ วิธีการของเขาจึงใจกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ ดูจากอาชญากรรมที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ทั้งหมดล้วนเป็นการลักพาตัวเด็กอย่างโจ่งแจ้ง
แน่นอนว่าพ่อแม่ของเด็กเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบที่ละเลยจนทำให้ เด็กถูกลักพาตัวไป
เมื่อคุณพาเด็กอายุสามถึงสี่ขวบออกไปข้างนอก คุณไม่ควรปล่อยให้เด็กๆ คลาดสายตา เมื่อปล่อยไว้ คนนอกกฎหมายเหล่านั้นจะมีโอกาสเข้าใกล้ตัวเด็กและทำเรื่องเลวร้ายกับพวกเขา
ตราบเท่าที่พ่อแม่มีสำนึกและตื่นตัวต่อวิกฤติเสมอ พวกเขาจะไม่สูญเสียลูกไปง่ายๆ
ทางด้านนั้นมีการสารภาพบาป ทางด้านนี้เองมู่เถาเยาก็กำลังอยู่เป็นเพื่อนซาลาเปาก้อนน้อยๆ ทั้งสี่รอคอยการมาถึงของผู้ปกครองของพวกเขา ครอบครัวแรกที่เดินเข้ามาในสถานีตำรวจ คือคุณแม่ของหลิ่นหรานภรรยาของหัวหน้าซังชั่ว รวมทั้งปู่ย่าตายายและลุงป้าน้าอาทั้งหมดของเขา ทุกคนมีใบหน้าเหนื่อยล้า ดวงตาแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา
แม่ซังกอดลูกชายร้องไห้จนเป็นลมหมดสติไป
หลิ่นหรานน้อยในวัยสามขวบตกตะลึง
คุณแม่ร้องไห้ทำไม เพราะคิดถึงผมมากเกินไปหรือเปล่า? มีเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ในหัวเล็กๆ
พ่อแม่และญาติพี่น้องของเด็กคนอื่นๆ เองก็ทยอยมากันเป็นชุดๆ เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั้งสถานีตำรวจ
หลังจากอารมณ์ของพ่อแม่ ญาติ และเหล่าเพื่อนฝูงเริ่มคงที่แล้ว หัวหน้าซังชั่วก็ขอให้นักจิตวิทยาเริ่มทำการทดสอบเด็ก
ผลลัพธ์เป็นไปตามที่มู่เถาเยาคาดไว้ ซาลาเปาน้อยทุกคนคิดว่านี่คือเกม สิ่งเดียวที่ได้รับผลกระทบคือซาลาเปาน้อยรู้สึกว่าพวกเขาเล่นซ่อนหานานเกินไปในครั้งนี้ และพวกเขาไม่ต้องการเล่นซ่อนหาอีกในอนาคต
ตามคำสารภาพ เป็นเพราะแหล่งกบดานนี้ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่วิลล่าที่มีผู้คนสัญจรไปมาจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่มีเหตุการณ์อย่างการทุบตีหรือฆ่าเด็กที่ไม่เชื่อฟังเกิดขึ้น
ถือได้ว่าเป็นโชคดีท่ามกลางเคราะห์ร้าย อย่างน้อยร่างกายและจิตใจของเด็กก็ไม่ถูกทำลาย
มู่เถาเยาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ปฏิเสธการคุ้มกันของตำรวจและทิ้งเรื่องที่เหลือไว้ให้หน่วยงานรักษาความปลอดภัยจัดการ ส่วนตัวเองขอตัวกลับไปเพียงลำพัง
หัวหน้าซังชั่วมองตามแผ่นหลังของเด็กสาวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
สาวน้อยคนนี้ดูสงบนิ่งจนไม่เหมือนกับเพิ่งประสบกับคดีลักพาตัวสะเทือนขวัญมา
ในฐานะเหยื่อเธอสงบนิ่งราวกับสายน้ำและดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย
อายุยังน้อย แต่หัวใจกลับแข็งแกร่งขนาดนี้…
ตลอดช่วงอายุการทำงานของหัวหน้าซังชั่ว มีคนแบบไหนบ้างที่เขาไม่เคยเห็น แต่เด็กสาวที่จิตใจเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้เขาเพิ่งพบเจอเป็นครั้งแรก!
จู่ๆ อีเมลฉบับนั้นก็ผุดขึ้นมาในความคิด
อีเมลนิรนามที่ไม่ระบุที่อยู่ไอพี แต่สัญชาตญาณของเขาร้องบอกว่าเด็กสาวตัวเล็กๆ นี้จะต้องเป็นคนส่งมาอย่างแน่นอน
ในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่มีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชน เขาไม่สามารถพึ่งพาสัญชาตญาณในการตัดสินคดีได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงจดเรื่องนี้เอาไว้ในใจก่อน แล้วค่อยไปขอให้หน่วยข่าวกรองช่วยตรวจสอบให้อีกทีในภายหลัง
เนื่องจากคดีลักพาตัวเด็กและยังมีเด็กอีกจำนวนมากที่รอการช่วยเหลือ ดังนั้นจึงไม่ควรเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ในตอนนี้
ถอยกลับไปหนึ่งหมื่นเก้า แม้จะไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนส่งอีเมลมา แต่เพราะอีเมลฉบับนี้ถึงทำให้พวกเขาเข้าถึงตัวผู้ร้ายได้ นั่นหมายความว่าบุคคลที่ส่งอีเมลมาอย่างน้อยก็ต้องเป็นพลเมืองดีที่เกลียดชังความชั่วร้ายเข้าไส้และจะไม่อนุญาตให้เศษเดนมนุษย์เหล่านี้สร้างอันตรายต่อสังคม
มู่เถาเยากลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้รู้เลยสักนิดถึงความคิดในหัวของหัวหน้าซังชั่ว และต่อให้รู้เธอก็ไม่สนใจ
บทบาทของเธอยังสวมได้ดีอยู่ ไม่หลุดออกง่ายๆ หรอก!
หรือต่อให้เธอจะหลุดบทบาทก็ตาม เธอก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นภัยต่อความปลอดภัยของประชาชน สังคม หรือประเทศ
มองดูนาฬิกาบนข้อมือ เมื่อเห็นว่าชั้นเรียนภาคเช้าใกล้จะจบลงแล้ว มู่เถาเยาก็เรียกแท็กซี่กลับไปที่เรือนอุ่นรักหลังจากแวะทานอาหารที่ร้านอาหารข้างนอก
ตรงไปที่ห้องอ่านหนังสือ เปิดแล็ปท็อป และค้นหาข้อมูล หวังว่าจะช่วยหน่วยงานรักษาความปลอดภัยบางแห่งประหยัดเวลาและช่วยเหลือเด็กที่ถูกลักพาตัวไปทั้งหมดกลับมาโดยเร็วที่สุด
เนื่องจากมีเด็กบางคนถูกลักพาตัวไปนานกว่าสิบปีและพวกเขายังเด็กมากเมื่อตอนถูกลักพาตัวไป ส่วนใหญ่จึงติดตามหาร่องรอยได้ยาก ดังนั้นมู่เถาเยาจึงเริ่มตรวจสอบจากเด็กที่เพิ่งหายตัวล่าสุดทีละคนๆ ยุ่งวุ่นวายตั้งแต่เที่ยงวันไปจนถึงกลางคืน
ทันทีที่ข้อมูลชุดล่าสุดที่ถูกรวบรวมถูกส่งไปยังกล่องจดหมายของหัวหน้าซังชั่วและกำจัดร่องรอยไอพีทิ้ง เสียงกริ่งที่หน้าประตูก็ดังขึ้น
ศิษย์พี่ใหญ่และภรรยาของเขาหอบหิ้วถุงพะรุงพะรังเดินเข้ามา
“เยาเยา ฉันกับศิษย์พี่ใหญ่ของเธอไปเดินเลือกของที่มีประโยชน์มาให้แถมยังมีผลไม้อีกหลายชนิด แม้ว่าของที่ซื้อข้างนอกจะไม่อร่อยเท่าในหมู่บ้านเถาหยวนซาน แต่เธอสามารถกินแก้ขัดไปก่อนได้ อาจารย์บอกแล้วว่ารอมู่อี้เข้าเมืองจะให้เขาส่งผักและผลไม้จำนวนมากมาให้ทางอากาศ”
เมื่อมองไปที่ลูกสาวตัวน้อยที่ทั้งมีความประพฤติดีและว่าง่ายเชื่อฟัง หัวใจแห่งความเป็นแม่ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรักของหลี่อวี้เสวี่ยก็คล้ายถูกกระตุ้น
“ขอบคุณค่ะศิษย์พี่ใหญ่ พี่สะใภ้”
เดิมทีมู่เถาเยาอารมณ์ไม่ดีมากเพราะข้อมูลที่เธอค้นพบ แต่ความเย็นชาในดวงตาของเธอคล้ายจะลดหายไปมากหลังจากได้เห็นหน้าทั้งสองคนนี้