ตอนที่ 82 เนื้อบนเขียง
ในเช้าวันที่สอง มู่เถาเยาและคนตระกูลเย่ว์ก็ไปเป็นแขกที่คฤหาสน์ตระกูลตี้อีกครั้ง
ครั้งนี้มู่เถาเยาไปเพื่อฝังเข็มให้ตี้อู๋เปียน
ศิษย์พี่ใหญ่เฉิงหรานมาพร้อมกับลูกชายของเขา และอาจารย์อาเล็กเองก็ไม่ยอมพลาดการฝังเข็มครั้งนี้ พวกเขาทั้งหมดมาเพื่อติดตามผลความก้าวหน้าในการรักษาตลอดหนึ่งเดือนกว่าของมู่เถาเยา
มู่เถาเยาแนะนำทั้งสามคนให้รู้จักกับคนตระกูลเย่ว์
เนื่องจากเด็กสาวตัวน้อยของพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับทุกคน คนตระกูลเย่ว์จึงรู้สึกดีต่อคนของสำนักแพทย์โบราณเป็นอย่างมาก
ปู่เย่ว์ชวนทุกคนให้ไปเที่ยวเล่นที่เผ่าหมาป่าพระจันทร์ทันที
“เสี่ยวเฉิงเอ้ย ป่าในเขตของเผ่าหมาป่าพระจันทร์เราน่ะมีสมุนไพรหายากมากมาย ตั้งแต่ที่ปาถิงจากไป เจ้าตัวเล็กๆ ที่สามารถช่วยชีวิตคนได้พวกนั้นก็ไม่มีใครสนใจไปดูมันอีกเลย”
สีหน้าของปาเฝ่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ดูกระอักระอ่วนเล็กน้อย
ตระกูลปาของพวกเขาแต่เดิมเป็นหมอผีโบราณ แต่พอยุคสมัยเริ่มเปลี่ยนไป คำว่า ‘หมอผี’ ก็ถูกเลิกใช้ไปนานแล้ว แต่ในรุ่นปู่ของเขายังสืบทอดทักษะแพทย์โบราณไว้อยู่ กระทั่งเปลี่ยนผ่านมาถึงรุ่นพ่อเขา เขาก็เริ่มหันมาสนใจศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่มากยิ่งขึ้น
เขาเองก็เหมือนกัน
ปัจจุบันเป็นยุคที่ข้อมูลข่าวสารต้องรวดเร็วและแม่นยำ ของที่ตกทอดจากบรรพบุรุษแน่นอนย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่มันสะดวกสบายน้อยกว่าการแพทย์แผนปัจจุบันมาก
เพราะกระบวนการของมันมีหลายขั้นตอน ผลของการรักษาจึงเห็นได้ช้ามาก แม้ผลข้างเคียงจะน้อยกว่า แต่คนสมัยนี้ใจร้อน พวกเขาเร่งรีบในทุกเรื่อง
เปรียบเทียบเช่นนี้ ทักษะทางการแพทย์ที่ตกทอดมาจากรุ่นบรรพบุรุษจึงค่อยๆ หมดความน่าสนใจลงไปโดยธรรมชาติ
แต่เพราะเป็นการช่วยชีวิตคนเหมือนกัน หมอเทวดาปาถิงจึงไม่ได้บังคับให้ลูกหลานเขารับเสื้อคลุมต่อจากเขา
ความสนใจเป็นครูที่ดีที่สุด มีเพียงความสนใจเท่านั้นที่จะทำให้ผู้คนตั้งใจเรียนรู้บางสิ่งอย่างจริงจัง
ลูกหลานไม่สนใจที่จะเรียน เขาจึงไม่ฝืนบังคับให้เรียน พราะผลลัพธ์ที่ได้คงไม่เหลืออะไร
ทักษะทางการแพทย์ไม่สูงนัก ในหนึ่งหรือสองชั่วอายุคนคงไม่เป็นไรตราบใดที่ยังอาศัยอยู่ใต้ร่มเงาของบรรพบุรุษ ขอแค่ไม่รักษาคนจนตายก็จะไม่เกิดปัญหาใหญ่ แต่เมื่อเข้าสู่รุ่นที่สาม ชื่อเสียงที่ดีที่วงค์ตระกูลสั่งสมมาตลอดนับพันปีจะต้องถูกลบหายไปอย่างแน่นอน
ปาเฝ่ยพูดตามคำพูดของปู่เย่ว์ “ผู้อำนวยการเฉิงถ้าหากมีเวลาละก็มาที่เผ่าเราได้เสมอเลยนะครับ ผมจะนำทางคุณไปเก็บสมุนไพรเอง ของที่ดีเหล่านั้นควรค่าที่จะใช้อย่างเป็นประโยชน์มากที่สุด”
เฉิงหรานเหลือบมองไปที่ปาอินที่อยู่ข้างๆ เขาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอขอบคุณเธอไว้ล่วงหน้าเลยแล้วกัน! ตอนนี้เสี่ยวอินย้ายไปเรียนสาขาแพทย์โบราณแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นอีกหน่อยเราไปเก็บสมุนไพรบนเขาด้วยกันนะ!”
ปาอินโชว์ฟันสีขาวที่เรียงอย่างเป็นระเบียบสวยงามของเธอและตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและไพเราะว่า “ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนผู้อำนวยการเฉิงชี้แนะหนูแล้วนะคะ”
“ฮ่าๆๆ เด็กสมัยนี้ไม่เลวเลยจริงๆ คนแก่ๆ อย่างฉันควรพิจารณาเกษียณแล้วหรือเปล่านะ!”
ปู่เย่ว์เหลือบมองไปที่ใบหน้าของเด็กหลายคน ยิ้มและพูดตามว่า “การศึกษาในสมัยนี้ดีมากจริงๆ เด็กรุ่นหลังๆ จึงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ”
ปู่ตี้พยักหน้าอย่างเห็นด้วยทันที “เด็กเหล่านี้แต่ละรุ่นเก่งกว่ารุ่นก่อนๆ มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสี่ยวเถาเยาของเรา!”
คนตระกูลเย่ว์เหมือนงูที่ถูกตีด้วยไม้ เมื่อชื่อของเด็กสาวบ้านตัวเองถูกเอ่ยถึงอีกครั้ง พวกเขาก็พร้อมใจกันพูดโอ้อวดไม่รู้สึกละอายใจเลยแม้แต่น้อย
การแสดงออกทางสีหน้าของมู่เถาเยานั้นสุดจะพรรณนาได้
คนอื่นๆ เมื่อได้ยินคำโอ้อวดเหล่านี้ก็ทำให้รู้สึกอิจฉามากๆ
พวกเขาเองก็อยากได้เจ้าหญิงน้อยแบบนี้เหมือนกันนะ!
ดังนั้นทุกคนจึงพลอยยกยอเด็กสาวตามคนตระกูลเย่ว์ ยกเว้นเพียงคนเดียว…นั่นคือตี้อู๋เปียน
เขารู้สึกว่าซาลาเปาน้อยไม่ได้มาเพื่อรักษาเขา แต่มาเพื่อรับคำชมที่เกินจริงจากทุกคนมากกว่า
ผู้เฒ่าผู้แก่บ้านยัยเด็กนั่นโอ้อวดหลานสาวพวกเขาก็ช่างเถอะ แต่ทำไมผู้เฒ่าบ้านอื่นๆ ถึงคึกโอ้อวดตามอย่างกับว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ชมซะเขาเกือบจะคล้อยตามว่าแม่แตงน้อยของพวกเขาดีที่สุดในโลกจริงๆ
ยกตัวอย่างเช่นคำพูดที่ออกมาจากปากย่าแท้ๆ ของเขา “ไม่มีเด็กสาวคนไหนในโลกนี้ที่เทียบได้กับเสี่ยวเถาเยาอีกแล้ว เธอคือที่หนึ่งในโลกนี้ไม่มีสอง…” บราๆๆ
พูดอย่างกับว่านอกจากเธอแล้ว ก็ไม่มีใครในโลกนี้ที่ ‘เป็นหนึ่งไม่มีสอง’ อีก ทุกคนล้วนเป็นฉบับก๊อบวางของเธอ!
ปู่เขาพูดว่ายังไงนะ “พรสวรรค์และระดับสติปัญญาของเสี่ยวเถาเยา ฉันกล้าพูดเลยว่าไม่มีใครสามารถเทียบเธอได้ไม่ว่าจะตอนนี้หรือในอนาคต…” บราๆๆ
เหมือนว่าไอคิวของหลานชายแท้ๆ ที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้จะต่ำกว่าเธอ! เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีเท่าๆ กัน!
หลานชายคนเล็กเขายิ่งโอเวอร์ไปใหญ่ “พี่สาวเป็นนางฟ้าตัวน้อยที่เก่งมาก เก่งกว่าอาเล็กเยอะมากๆ…” บราๆๆ
ซาลาเปาน้อยเก่งกว่าเขา? จะเป็นไปได้ยังไง!
เจ้าเด็กนี่พูดไร้สาระ!
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะซาลาเปาน้อยอายเกินไปที่จะฟังคำชมเหล่านี้หรือเปล่า เห็นเธอหอบกล่องยาน้อยๆ ย้ายจากที่นั่งข้างๆ ผู้เฒ่าทั้งหลายมาซ่อนตัวอยู่ข้างๆ เขา หยิบหมอนรองชีพจรออกมาวางบนโต๊ะ จากนั้นก็วางกล่องยาลงข้างๆ ให้ความสูงของมันพอดีกับด้านหน้าของเธอ
ไฝสีชาดตรงหว่างคิ้วที่เลิกขึ้นของตี้อู๋เปียนดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาในทันใด บรรยากาศรอบตัวเขาดูเย้ายวนและมีเสน่ห์อย่างยิ่ง
มู่เถาเยาอดไม่ได้ที่จะมองเขาอีกหลายครั้ง
การชำเลืองมองของเธอ ทำให้หัวใจของคนบางคนแถวนี้กลิ้งรัวๆ อย่างกับถูกคลื่นซัด แม้ใบหน้าจะยังคงสงบนิ่งก็ตาม
ก่อนที่มู่เถาเยาจะทันได้พูดอะไร ตี้อู๋เปียนก็วางข้อมือของเขาลงบนหมอนรองชีพจรอย่างเชื่อฟัง
หลังจากจับชีพจรจากมือทั้งสองข้าง มู่เถาเยาก็โบกมือเรียกสองพ่อลูกเฉิงหราน อาจารย์อาเล็ก ปาเฝ่ย ปาอิน และไป๋เฮ่าอวี๋ให้ทยอยเข้ามาจับชีพจรทีละคน
ตี้อู๋เปียน “…” มีความรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกลายเป็นเนื้อบนเขียง!
ถุงลมน้อยกระโดดเข้าร่วมวงอย่างครึกครื้นด้วย เขายกมื้อขึ้นแตะแอ่งชีพจรบนข้อมือของตี้อู๋เปียนเลียนแบบพวกผู้ใหญ่
ตี้อู๋เปียนรีบไล่คน “ไปๆๆ ไปเล่นที่อื่นไป”
เย่ว์เลี่ยงดึงคนตัวเล็กออกไปเพื่อไม่ให้เขารบกวนการหารือของเหล่าแพทย์ อาจารย์ และนักศึกษาแพทย์หลายคน
“โตขึ้นอันเหยี่ยก็อยากเป็นหมอเหมือนกันเหรอ”
ถุงลมน้อยพยักหน้าหงึกหงัก “คุณอา อันเหยี่ยอยากเก่งเหมือนกับพี่สาว!”
เย่ว์เลี่ยงลูบหัวน้อยๆ ของเขาอย่างเอ็นดูแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นหนูต้องตั้งใจเรียนนะ”
“อื้มๆ”
แม้ว่าอาเล็กมักจะสอนเขาในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจเสมอ แต่เขาก็จำมันได้ทั้งหมด
เย่ว์เลี่ยงมองดูรูปลักษณ์ที่น่ารักน่าหยิกของถุงลมน้อย จากนั้นก็จินตนาการว่าเยี่ยนหังของเธอตอนเด็กจะเป็นเหมือนกันหรือเปล่านะ
น่าเสียดายที่เธออยู่กับเขาได้แค่ปีเดียว จากนั้นก็เป็นเสี่ยวเยาเยาที่ต้องรับหน้าที่เป็นทั้งพี่สาว พ่อและแม่ของเขาตั้งแต่อายุเพียงแปดขวบ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่แม้อายุทางจิตใจของเสี่ยวเยาเยาจะปาไปสามสิบหกปีแล้ว แต่เธอยังร้องไห้คิดถึงน้องชายเหมือนกับเด็กๆ
อย่างไรก็ตาม ทุกคนล้วนมีมุมที่เป็นเด็กต่อหน้าแม่ของตัวเองเสมอไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม
อวิ๋นไป๋ลูบผมที่นุ่มลื่นของถุงลมน้อยแล้วเริ่มทำการล้างสมองเขาว่า “อันเหยี่ย หลานจะเรียกว่าอาไม่ได้นะครับ”
ถุงลมน้อยเอียงศีรษะ มองไปที่ตาเล็กเขาอย่างสงสัยว่าทำไมเขาถึงเรียกอาไม่ได้ เห็นๆ อยู่ว่าเมื่อกี้นี้พี่สาวยังเรียกอาว่าอาเลย
อวิ๋นไป๋ “หลานต้องเรียกเธอว่ายายเล็ก”
ยายเล็กเย่ว์เลี่ยง “…”
หน้าตาเธอแทบไม่ต่างอะไรจากเด็กสาวอายุยี่สิบต้นๆ เลยไหม ให้เรียกยาย ใช้ได้ที่ไหน!
เธอไม่เคยไปหมู่บ้านเถาหยวนซานมาก่อน เลยไม่รู้ว่าลูกสาวอายุเพียงสิบแปดปีของเธอกลายเป็นรุ่นย่าในหมู่บ้านไปแล้ว!
ถุงลมน้อยโต้เถียงกับตาเล็กของเขาว่า “ไม่ใช่ คุณอาต่างหาก เมื่อกี้นี้พี่สาวก็เรียกว่าอา พี่สาวเก่งขนาดนั้น ไม่มีทางเรียกผิดแน่นอน”
“พี่สาวเรียกถูกแล้วครับ แต่หลานเรียกผิด ตาคือตาเล็กของหลาน เย่ว์เลี่ยงกับตาเล็กลำดับอาวุโสเท่ากัน ดังนั้นหลานจึงต้องเรียกเธอว่ายายเล็ก”
เย่ว์เลี่ยงที่เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นยายเล็กพูดไม่ออก
ถุงลมน้อยไม่ค่อยเข้าใจประเด็นเกี่ยวกับลำดับอาวุโสมากเท่าไร ดังนั้นเขาจึงวิ่งไปหามู่เถาเยาและถามเธออย่างน่ารักว่า “พี่สาว ยายเล็กคืออะไรเหรอครับ”
มู่เถาเยาก้มตัวลง สบตากับถุงลมน้อยแล้วอธิบายให้เขาฟังว่า “ยายเล็กคือลำดับอาวุโสที่ใช้เรียกน้องของยายครับ”
“แต่ยายผมไม่มีน้อง แต่อันเหยี่ยมีอานะ”
“เพราะงั้นอันเหยี่ยเลยไม่มียายเล็กไงครับ”
ถุงลมน้อยพยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นก็วิ่งกลับไปหาอวิ๋นไป๋แล้วพูดกับเขาทันทีว่า “ตาเล็กน่ะผิดแล้ว เป็นคุณอาต่างหาก ไม่ใช่ยายเล็ก”
อวิ๋นไป๋ชำเลืองมองมู่เถาเยาซึ่งกำลังหารือเกี่ยวกับการรักษาขั้นต่อไปของตี้อู๋เปียนกับเหล่าแพทย์และนักศึกษาแพทย์คนอื่นๆ ด้วยสีหน้าจริงจังอย่างตัดพ้อ
ไหนว่าจะช่วยสนับสนุนเขาไง ขนาดคำเรียกยังไม่ยอมช่วยกันเลย!
เมื่อเห็นสายตาตัดพ้อแกมน้อยใจของของอวิ๋นไป๋ที่ส่งไปให้มู่เถาเยา คิ้วของเย่ว์เลี่ยงก็เลิกขึ้นเล็กน้อย
อวิ๋นไป๋ดึงถุงลมน้อยไปข้างๆ และถามเขาว่า “ทำไมอันเหยี่ยถึงคิดว่าสิ่งที่พี่สาวพูดถูกต้อง แต่สิ่งที่ตาเล็กพูดผิดล่ะ”
“เพราะพี่สาวเก่งที่สุด! พี่สาวรักษาอาเล็กให้หายได้!”
อวิ๋นไป๋ไม่สามารถหักล้างคำโต้แย้งของคนตัวเล็กได้เลย
แน่นอนว่าคนที่สามารถรักษาอาการป่วยของหลานชายคนเล็กเขาได้เก่งกาจมากจริงๆ !
เอาเถอะ อาก็อา เขาแค่ต้องพยายามให้มากขึ้นเท่านั้น!