ตอนที่ 135 สัตว์ผู้พิทักษ์
มู่เถาเยาอยู่ห่างจากจุดที่ส่งกลิ่นหอมออกมาประมาณสามเมตร เธอเคลื่อนกำลังภายในในร่างของเธอก่อนจะใช้วิชาตัวเบาดีดตัวจากกิ่งไม้หนา และเคลื่อนตัวไปรอบๆ ต้นไม้หนาทึบ
เอ๋…สัตว์ร้ายล่ะ อยู่ไหนกัน
มู่เถาเยากะพริบดวงตากวางกลมโตของเธอ
หลังจากงุนงงอยู่สองสามวินาที เธอก็ใช้วิชาตัวเบาเหาะไปอย่างต่อเนื่อง มุ่งไปยังบริเวณที่คาดการณ์ไว้
ไม่มีสัตว์ร้ายจริงๆ!
มันซ่อนอยู่ใต้ดินหรือเปล่า
เป็นไปได้มาก ที่ท้ายที่สุดแล้วโสมวิญญาณจะเติบโตในใต้ดิน
สัตว์ที่สามารถอาศัยอยู่ใต้ดินได้ไม่ใช่สัตว์ที่ดุร้าย ส่วนใหญ่แล้วจะมีพิษเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่ไม่มีสัตว์ร้ายทรงพลังคอยปกป้องวัตถุดิบยาที่หายากแบบนี้!
ขณะที่กำลังคิดอยู่ มู่เถาเยาก็หยิบดาบหลิวอิ่งออกมาถือไว้ในมือของเธอ เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ระวังตัวอย่างดี
หลังจากขุดโสมวิญญาณแล้ว เธอจึงมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
แปลกจริงๆ!
เห็นได้ชัดว่ามีร่องรอยของสัตว์ร้ายอยู่ที่นี่ ดูรอยเท้าขนาดใหญ่นี่ มันคือสัตว์ใหญ่ชัดๆ! หรือว่ามันจะจากไปก่อนที่เธอจะมาถึงงั้นเหรอ
เป็นไปได้ไหมที่จะมีวัตถุดิบยาที่หายากกว่าโสมวิญญาณอยู่แถวนี้อีก มิฉะนั้นสัตว์ร้ายจะทิ้งสิ่งที่เฝ้าปกป้องมานานวิ่งหนีไปได้อย่างไร
มู่เถาเยากลับมาหาเย่ว์จือกวงทั้งที่ยังมีเครื่องหมายคำถามบนใบหน้าของเธอ
“น้องสาว เกิดอะไรขึ้น มีอะไรหรือเปล่า”
เมื่อเห็นน้องสาวสุดที่รักกลับมา หัวใจของเย่ว์จือกวงที่กระวนกระวายและลอยอยู่กลางอากาศก็กลับสู่ตำแหน่งเดิมในที่สุด
“ไม่มีสัตว์ร้าย”
“หือ ถ้าไม่มี มันก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอ”
“มันเคยอยู่ที่นั่นค่ะ แต่ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงเหลือแต่รอยเท้า เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้มันต้องการโสมวิญญาณนี้มาก…”
หาได้ยากมากที่มู่เถาเยาจะไม่สามารถเข้าใจได้
“…เป็นไปได้ไหมว่ามีอะไรน่าสนใจมากกว่าอยู่ใกล้ๆ นี้”
เย่ว์จือกวงยังสับสน
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ แต่ฉันไม่ได้กลิ่นพิเศษอะไรเลย” วัตถุดิบยาทั้งหมดมีกลิ่นพิเศษเฉพาะตัว
“เราไปดูรอบๆ กันดีไหม”
มู่เถาเยาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ฉันไม่อยากตามหามัน เราควรออกไปจากป่า ไม่อย่างนั้นครอบครัวจะเป็นกังวลเอาได้นะคะ”
“อืม”
ที่จริงเขาเองก็ไม่อยากหาเหมือนกัน แต่น้องสาวของเขาชอบสมุนไพร ดังนั้นเขาจึงแนะนำออกไปอย่างนั้น
เย่ว์จือกวงหยิบโสมสดที่ขุดขึ้นมาพร้อมคราบโคลนและใบไม้จากมือของมู่เถาเยา ก่อนจะใส่ลงในตะกร้าขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยสมุนไพร
จากนั้นเขาก็หยิบจอบยาขนาดเล็กในมือของเธอใส่ลงในตะกร้าไม้ไผ่ยาวที่ใช้สำหรับใส่พลั่วและจอบขนาดเล็กโดยเฉพาะ
ตะกร้าไม้ไผ่ยาวแขวนไว้ที่ตะกร้าด้านหลัง
ฉับพลันมือทั้งสองข้างของเธอก็ว่างเปล่า
“น้องสาว เรากลับกันเถอะ” ทั้งๆ ที่เขามาเพื่อช่วยน้องสาว แต่กลับทำได้เพียงทำงานเล็กๆ น้อยๆ ไปตลอดทาง
“ค่ะพี่”
เย่ว์จือกวงจับมือเล็กๆ ของมู่เถาเยาพาเธอออกไป
แม้ว่าทักษะการต่อสู้ของเขาจะไม่ดีเท่ากับของมู่เถาเยา กระทั่งวิชาตัวเบาของเขาก็ยังเทียบไม่ได้
ในชีวิตที่แล้ว ตระกูลเย่ว์มีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องของวิชาตัวเบาและทักษะดาบ เย่ว์จือกวงได้รับการสืบทอดและมรดกที่แท้จริงจากเย่ว์เลี่ยงไปแล้ว ดังนั้นนอกเหนือจากการบ่มเพาะกำลังภายใน วิชาตัวเบาและวิชาดาบของเขานั้นจึงเหนือกว่าของเย่ว์เลี่ยงไปแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีความสามารถสูงมาก
มู่เถาเยาและเย่ว์เลี่ยงมีอายุมากกว่าเขาถึงหนึ่งช่วงชีวิต ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีกำลังภายในที่สูงกว่าเขา
ตระกูลซย่าโหว เป็นตระกูลอันดับหนึ่งของสำนักฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณทั้งหมด พวกเขาสืบทอดกันมานานนับพันๆ ปี จึงไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับความสำเร็จในระดับสูงของทักษะศิลปะการต่อสู้
เย่ว์จือกวงสามารถบังคับให้ผู้ที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของโลกวรยุทธ์ หรือก็คืออดีตเจ้าสำนักฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณที่มีอายุกว่าแปดสิบปีเค้นพลังของเขาออกมาใช้มากถึงเจ็ดแปดส่วนได้ ขณะที่ตอนนี้เขาเพิ่งจะอายุยี่สิบปีเท่านั้น แค่นี้ก็ถือว่าเป็นประวัติการณ์มากแล้ว
สองพี่น้องใช้วิชาตัวเบาเหาะกลับมาที่ใต้ต้นท้อ
“พี่รอง พี่เรียนรู้ทักษะวิชาตัวเบาจากป้ามาได้เต็มสิบส่วนเลยนะคะเนี่ย”
“ยังเทียบไม่ได้กับน้องสาวหรอก”
“มันไม่เหมือนกันค่ะ แต่ไม่รู้ว่าคนในเผ่าหมาป่าพระจันทร์จะมีรากฐานที่แข็งแกร่งแบบนี้เหมือนกันหมดหรือเปล่า หรือมีเพียงสมาชิกตระกูลเย่ว์เท่านั้น แต่ฉันก็เห็นว่าพรสวรรค์ของปาเฝ่ยและปาอินนั้นก็ดีเหมือนกัน”
“นับตั้งแต่สมัยโบราณ คนในเผ่าเรากับหมาป่าก็มีบรรพบุรุษร่วมกัน ว่ากันว่ามีบางตัวที่พัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ ขณะที่บางตัวก็พัฒนาไปเป็นหมาป่าโดยสมบูรณ์ แต่เรื่องนี้ไว้ค่อยเล่าให้น้องสาวฟังอย่างละเอียดอีกที…ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าหมาป่านั้นเป็นนักวิ่งระยะไกล มีความเร็ว ความอดทน และกลไกทางกายภาพ ฯลฯ ที่โดดเด่นมาก…”
มู่เถาเยาฟังที่เย่ว์จือกวงพูดอย่างจริงจัง ขานรับและพยักหน้าเป็นครั้งคราว
ใจคนเป็นพี่ชายแทบจะละลาย!
ทำไมน้องสาวของเขาถึงเชื่อฟังและน่ารักขนาดนี้!
สองพี่น้องคุยกันอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเริ่มดึกแล้ว พวกเขาจึงเก็บลูกท้อฉ่ำๆ ใส่ถุงผ้าของมู่เถาเยา
เย่ว์จือกวงแย่งถุงผ้ามาสะพายไว้กับตัวอีกครั้ง
เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องมือเปล่าอีก มู่เถาเยาจึงหยิบดอกรักเร่ ดอกแอสเตอร์ กุหลาบป่า และดอกไม้อื่นๆ หลากสีสันช่อใหญ่แล้วกอดไว้ในอ้อมแขน
รอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาลึกๆ ของเย่ว์จือกวง ชายหนุ่มจับมือเล็กๆ ของน้องสาวและทะยานตัวกลับบ้าน
ตอนบ่ายไม่มีใครออกจากบ้านเลย อย่างน้อยที่สุดตี้อู๋เปียนก็เพียงเดินไปที่สวนหลังบ้านเพื่อดูดอกฉยงฮวาและดอกเถียนซิน
เมื่อสองพี่น้องกลับมา คนทั้งห้องก็รีบเข้ามารุมล้อมทักทายพวกเขา
มู่เถาเยามอบดอกไม้สดใสช่อใหญ่ในอ้อมอกของเธอให้กับเป่ยซี อาจารย์แม่เล็ก และถุงลมน้อยก่อน จากนั้นจึงคืนดาบหลิวอิ่งในมือเธอให้กับอาจารย์เล็ก
เย่ว์จือกวงขนของในตะกร้าออกมาและแจกจ่ายลูกท้อในถุงผ้าให้ทุกคนได้ชิม
ถุงผ้าขนาดเล็ก เล็กเกินไปที่จะจุของได้ในปริมาณมากและลูกท้อก็สุกเกินไป ดังนั้นจึงไม่สามารถกดส่วนใหญ่ลงไปได้ ไม่อย่างนั้นมันจะเละ
อาจารย์แม่เล็กกินแล้วชมเชยว่า “รสชาติของลูกท้อนี้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีจริงๆ!”
อาจารย์เล็กพยักหน้าทันที “ใช่ หวานกว่าปีที่แล้วจริงๆ ”
หยวนเหยี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “บางทีปีนี้อาจจะโดนแดดมากกว่า ฉันคิดว่ามันแดงกว่าและใหญ่กว่าปีที่แล้วมากทีเดียว”
มู่เถาเยายิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ใช่ค่ะ ปีนี้อากาศดีกว่าปีที่แล้วมาก ปีที่แล้วมีฝนตกชุก กลิ่นหอมและความหวานของท้อจึงลดลง”
ซย่าโหวโซ่วโยนแกนผลไม้ลงในถังขยะ เช็ดมือด้วยกระดาษเช็ดมือและพูดกับลูกศิษย์ตัวน้อยว่า “เสี่ยวเยาเยา เดี๋ยวอาจารย์กับศิษย์พี่ศิษย์น้องของเธอจะเข้าป่าไปเก็บมันมาสักตะกร้า เธอจะได้นำกลับไปที่เย่ว์ตูด้วย เอาไว้กินเล่น”
เย่ว์จือกวงพูดขึ้นทันทีว่า “ผมไปด้วยนะครับ”
ถุงลมน้อยกอดขาของเย่ว์จือกวงทันที “อันเหยี่ยก็จะไปด้วยครับ”
เขาอยากเก็บผลไม้ให้พี่สาวกินด้วย! พี่สาวชอบกินผลไม้!
เย่ว์จือกวงลูบหัวน้อยๆ ของเขา “ต้นไม้นั้นสูงมาก และอันเหยี่ยคงเด็ดไม่ถึง เอาไว้รอโตก่อนค่อยไปด้วยกันนะ”
ถุงลมน้อยรู้สึกท้อแท้
มู่เถาเยาจับมือคนตัวเล็กไว้ “อันเหยี่ย ไปเก็บของกลับเย่ว์ตูกับพี่สาวนะคะ เราจะกลับไปที่เย่ว์ตูหลังมื้อเย็น”
ซย่าโหวโซ่วมอบดาบหลิวอิ่งอันล้ำค่าของเขาให้กับอาจารย์แม่เล็ก จากนั้นจึงเรียกกลุ่มลูกศิษย์ให้หามตะกร้าหรืออะไรสักอย่างไปเก็บลูกท้อ
“น้องสาวเราจะรีบไปรีบกลับ และจะกลับมาให้ถึงบ้านก่อนตะวันลับฟ้า”
“อืม จะรอทุกคนกลับมาทานอาหารเย็นด้วยกันนะคะ”
ซย่าโหวโซ่วพยักหน้าและนำกลุ่มคนออกไป
หลังจากที่พวกเขาออกไป เหลียงจีก็เหลือบมองตะกร้าที่เต็มไปด้วยสมุนไพรสดตรงหน้าเธอแล้วถามว่า “เจ้าหญิงน้อย ต้องการความช่วยเหลืออะไรไหมคะ ให้ฉันจัดการกับตะกร้าสมุนไพรนี้ยังไงดี ฉันพอมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสมุนไพรอยู่บ้าง”
“ไม่เป็นไร แค่รอให้ถังถังกลับมาปล่อยให้เธอจัดการก็พอ ขอบคุณนะเหลียงจี”
มู่เถาเยาก้มลงหยิบโสมวิญญาณที่เต็มไปด้วยคราบโคลนและเศษใบไม้ออกมาจากตะกร้า โสมตัวนี้มีลักษณะคล้ายโสมห้าแฉก เธอมอบให้กับหยวนเหยี่ย
หยวนเหยี่ยรับมันไป จากนั้นใบหน้าแก่ๆ ของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“เสี่ยวเยาเยา ทริปนี้เอ็งถึงกับได้โสมวิญญาณมาเลยรึ ดีจริงๆ!” สมุนไพรนี้หายากมาก!
เขามีชีวิตอยู่มากว่าแปดสิบปีแล้ว เข้าไปในภูเขาลึกนับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็เคยได้พบเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!
“เราโชคดีน่ะค่ะ ตอนที่พี่รองและหนูกำลังเตรียมตัวกลับ เราได้กลิ่นหอมของมันที่กำลังสุกพอดี แถมที่แปลกคือไม่มีสัตว์ร้ายคอยอารักขามันอยู่ด้วย คงด้วยเหตุผลบางอย่าง ก็ไม่รู้ทำไมมันถึงเลือกทิ้งโสมวิญญาณไปทั้งที่อีกแค่ไม่นานมันก็จะสุกเต็มที่แล้ว”
“นี่…เป็นไปได้ไหมว่ามีบางอย่างที่น่าดึงดูดใจมากกว่าโสมวิญญาณอยู่ใกล้ๆ นั้น” หยวนเหยี่ยคาดเดาเหมือนกับสองพี่น้อง
“อืม หนูก็คิดว่าอย่างนั้น”
ตี้อู๋เปียนมองไปที่ดอกฉยงฮวาบนโต๊ะแล้วยิ้มอย่างมีเสน่ห์
“อาจารย์ใหญ่คะ โสมวิญญาณมีผลในการต่อต้านริ้วรอยที่ยอดเยี่ยม อาจารย์หั่นมันเป็นชิ้นๆ และตากแห้งเก็บไว้นะคะ สามารถนำมาต้มซุปหรือชงชาดื่มได้เป็นครั้งคราว”
“โสมวิญญาณหายากมาก ไว้อาจารย์จะเตรียมมันให้แม่ของเอ็ง เธอต้องการมันมากกว่าพวกเรา”
“ร่างกายของแม่ยังอ่อนแอเกินไป ดังนั้นเธอจึงไม่ควรรับมันทุกวัน นอกจากนี้ในอนาคตจะต้องมีวัตถุดิบยาที่เหมาะสมกว่านี้แน่นอน ดังนั้นอย่าให้มันเสียเปล่าเลยค่ะ”
เป่ยซี “เผ่าพระจันทร์ของเรามีวัตถุดิบยาที่ดีมากมาย เสี่ยวเยาเยา ทำรายการที่ลูกอยากได้มาให้หน่อย แม่จะขอให้พ่อของลูกส่งมาให้”
มู่เถาเยาส่ายหัว “ที่บ้านยังมีอีกเยอะค่ะ และหนูเองก็ยังไม่อยากรบกวนตระกูลเย่ว์มากในตอนนี้ หนูจะบอกเองนะคะถ้าหนูอยากได้”
หยวนเหยี่ยยิ้มพลางพูดว่า “ใช่ ที่บ้านยังมีของดีๆ อีกมากมาย ฉัน อาโซ่ว และอาหยวนล้วนมีสุขภาพที่ดีและดื่มชาที่มีฤทธิ์เป็นยาทุกวัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาพิเศษเพื่อบำรุงเพิ่มหรอก”
อาจารย์แม่เล็กพยักหน้า ดึงเป่ยซีเข้าไปหาก่อนจะพูดว่า “เสี่ยวซี สุขภาพของเธอไม่ดี ไม่ต้องกังวลกับทุกสิ่งหรอกนะ ดูแลสุขภาพของตัวเองก่อน”
ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน
เมื่อมองไปยังใบหน้าที่เป็นกังวลของทุกคน เป่ยซีก็ยิ้มอย่างสดใส “ตกลงค่ะ”
อาการซึมเศร้าของเธอ ไม่สามารถพูดได้ว่าดีหรือไม่ดี
แต่หากมู่เถาเยาสุขสบายดี ก็คงจะไม่กลับมากำเริบอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอยังไม่พบเมี่ยวอวี้ พี่เลี้ยงที่ดูแลมู่เถาเยาตอนยังเด็ก เธอก็จะไม่มีวันรู้ได้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงพาตัวลูกสาวของเธอไป เธอยังคงไม่สามารถปล่อยวางเรื่องนี้ได้