ตอนที่ 147 หน้าตาน่าเกลียดมาก
ในขณะเดียวกันมู่เถาเยาที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็กำลังอ่านข้อมูลของหมอลู่อีกครั้งอย่างตั้งใจ จากนั้นจึงส่งภาพสเก็ตนั้นไปให้กับลู่หันซูที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันทักษะการแพทย์ระดับโลกที่ตอนนี้กลับไปที่มหาวิทยาลัยในเขตชายแดนทิศตะวันออกแล้ว
หนึ่งนาทีต่อมา ลู่หันซูก็ตอบกลับข้อความของเธอ
“เพื่อนร่วมชั้นมู่ คนในรูปที่เธอส่งมาให้ฉันดูคืออาจารย์ลู่จริงๆ แต่อาจารย์ยังไม่ได้ตอบกลับข้อความที่ฉันส่งไปก่อนหน้านี้เลย”
“อื้ม ไม่เป็นไร ฉันเพียงต้องการยืนยันเท่านั้น อีกอย่างตอนนี้เธอก็นับว่าเป็นศิษย์น้องหญิงของฉันได้แล้ว”
สำหรับรุ่นน้องที่อาจารย์ของเธอคอยชี้แนะให้ เธอค่อนข้างมองโลกในแง่ดีกับอีกฝ่ายมากทีเดียว
ลู่หันซู “…”
ดูเหมือนว่าเธอจะแก่กว่าเพื่อนร่วมชั้นมู่อยู่หลายเดือนใช่ไหม
อย่างไรก็ตาม สำนักโบราณหลายแห่งไม่ได้ตัดสินกันตามอายุของคน แต่ขึ้นอยู่กับลำดับการเข้าเป็นศิษย์
ดังนั้นเธอจึงไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับคำว่า ‘ศิษย์น้องหญิง’ ที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา
“อาจารย์ลู่เคยชี้แนะให้กับผู้คนมานับไม่ถ้วน แต่คนที่มีข้อมูลติดต่อกับอาจารย์ได้นั้นกลับมีไม่กี่คน เนื่องจากอาจารย์ยินดีให้ข้อมูลติดต่อของเธอกลับเพื่อนร่วมลู่ชั้นไว้ จึงพิสูจน์ได้ว่าเพื่อนร่วมลู่เข้าตาอาจารย์อย่างมาก”
อาจารย์ของเธอภายนอกดูเป็นมิตรและเข้ากับคนได้ง่าย แต่จริงๆ แล้วมีเพียงคนที่เธอสนใจเท่านั้นที่เธอจะยอมติดต่อด้วยในระยะยาว
จริงอยู่ที่กับคนอื่นๆ เธอเองก็ไม่เคยตระหนี่และยินดีที่จะให้คำชี้แนะเล็กๆ น้อยๆ ตามแต่วาสนาและโอกาส ท้ายที่สุดแล้วเธอไม่เคยปักหลักอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นระยะเวลานานๆ
ลู่หันซู “…”
ทำไมถึงได้รู้สึกว่าน้ำเสียงของเพื่อนร่วมชั้นมู่ฟังดูแปลกๆ แต่เธอไม่มีหลักฐาน
อย่างไรก็ตาม เธอเห็นด้วยกับคำพูดที่เพื่อนร่วมชั้นมู่พูดว่าอาจารย์ลู่ได้สั่งสอนและชี้แนะคนมามากมาย เพราะเธอก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น
“เพื่อนร่วมชั้นลู่ รบกวนแจ้งฉันมาอีกทีนะหากอาจารย์ลู่ตอบกลับข้อความของเธอแล้ว”
“แน่นอน”
“แล้ววันหน้าถ้าหากเธอมาที่เมืองเย่ว์ตูก็สามารถมาหาฉันได้ตลอดเวลา เราสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองเรื่องยาพิษต่อกันได้ ฉันคิดว่าแนวคิดของเราค่อนข้างคล้ายกันทีเดียว”
ลู่หันซูเงียบไปสองวินาทีก่อนที่จะพูดว่า “เพื่อนร่วมชั้นมู่ เธอมีอาจารย์กี่คนเหรอ”
หมอเทวดาหยวนเก่งกาจเรื่องยาพิษด้วยเหรอ
เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าหมอเทวดาหยวนเก่งเรื่องยาพิษ
“ฉันมีอาจารย์อยู่สองคน อีกคนคืออาจารย์ลู่”
ลู่หันซูพยักหน้าแต่ไม่ได้ถามออกไปว่า ‘ถ้าอย่างนั้น ทำไมเธอถึงไม่มีข้อมูลติดต่อของอาจารย์ล่ะ’ แต่พูดต่อว่า
“เพื่อนร่วมชั้นมู่ ในเมื่อเธอบอกว่าฉันเป็นศิษย์น้องหญิงของเธอ งั้นก็แปลว่าเธอรู้จักอาจารย์ก่อนฉันใช่ไหม เธอรู้หรือเปล่าว่าอาจารย์เป็นใครมาจากที่ไหน แล้วเราจะไปหาอาจารย์ได้จากที่ไหน”
“บ้านเกิดของอาจารย์อยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาในเมืองฉินตู นอกเหนือจากข้อมูลติดต่อที่เธอมีแล้ว เราก็ยากที่จะติดต่อกับอาจารย์ได้อีก”
ในตอนที่อาจารย์ยังเด็ก เธอถูกญาติๆ โยนไปโยนมาเหมือนเป็นลูกฟุตบอล ย่อมทิ้งความประทับใจด้านลบที่ลบไม่ออกไว้ในหัวใจของเธอ และเมื่อเธอโตขึ้นเธอคงจะไม่กลับไปที่นั่นอีกแน่นอน
อาจารย์เริ่มออกเดินทางและกลับไปใช้ชีวิตอย่างในชาติที่แล้วเมื่อตอนที่เธออายุได้สิบห้าปี ดังนั้นตอนนี้นอกจากเบอร์โทรศัพท์ของเธอแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะตามหาเธอด้วยวิธีไหนได้อีกจริงๆ
มู่เถาเยารู้สึกเจ็บปวดใจมาก
ประสบการณ์ชีวิตทั้งสองชาติภพของอาจารย์นั้นไม่ดีเลย
ในชีวิตที่แล้วอาจารย์สั่งสอนเธอและปกป้องเธอ
ในชีวิตนี้เธอก็จะตอบแทนมันกลับไปบ้าง
“เมืองฉินตูอยู่สุดทางทิศตะวันตก” เป็นสถานที่ที่ยากจนที่สุดในประเทศ
“อืม”
มู่เถาเยาไม่ได้อธิบายให้ลู่หันซูฟังว่าทำไมเธอถึงไม่ไปตามหาคนที่บ้านเกิด
ลู่หันซูไม่ใช่คนโง่ เธอรู้ว่าบางสิ่งมีเพียงต้องให้เจ้าตัวพูดออกมาก่อนเท่านั้น และการถามออกไปก็เป็นเรื่องที่ไม่สุภาพ
“เพื่อนร่วมชั้นลู่ นี่ก็ดึกมากแล้ว ฉันไม่รบกวนเธอแล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไร มีอะไรก็ติดต่อมาได้ตลอดเลยนะ”
“อื้ม ไว้ว่างๆ ฉันจะโทรหาใหม่ บาย”
“บาย”
มู่เถาเยาไม่ได้วางโทรศัพท์ แต่วิดีโอคอลไปหาหยวนเหยี่ยต่อในทันที
“เสี่ยวเยาเยา ดึกป่านนี้แล้วยังอ่านหนังสืออยู่อีกเหรอ ถึงจะไม่มีคนคอยกำชับอยู่แต่เอ็งก็ต้องดูแลร่างกายของตัวเองด้วยนะ”
เมื่อตอนที่พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านเถาหยวนซานด้วยกัน อาจารย์และลูกศิษย์ต่างก็คอยดูแลและตักเตือนซึ่งกันและกัน!
“อื้ม ไว้หนูจะพักผ่อนหลังจากวิดีโอคอลกับอาจารย์ใหญ่เสร็จแล้วนะคะ”
“เสี่ยวเยาเยา ทำไมถึงโทรมาดึกขนาดนี้ล่ะ อยากคุยกับพ่อแม่เหรอ ทำไมไม่โทรหาพวกเขาโดยตรงเลยล่ะ”
“เปล่าค่ะ หนูคุยกับพวกเขาเสร็จตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายแล้ว ตอนนี้หนูมีเรื่องอยากจะถามอาจารย์หน่อย เรื่องเกี่ยวกับอาจารย์อาเล็กน่ะค่ะ”
“อาจารย์อาเล็กของเอ็งทำไม มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า” ทำไมเขาถึงไม่ได้ข่าวอะไรเลย!
“อาจารย์ใหญ่คะ ตลอดหลายปีมานี้ อาจารย์อาเล็กเคยจำได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาก่อนที่อาจารย์ปู่จะรับเขามาเลี้ยง”
“เสี่ยวเยาเยา เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ เอ็งถึงถามเรื่องนี้”
“ตี้อู๋เปียนเพิ่งทำประวัติของหมอลู่และสเก็ตรูปของเธอตามคำบอกเล่าของผู้อาวุโสตระกูลถังและส่งมันมาให้หนู หลังจากที่หนูได้อ่าน เลยได้รู้ว่าพี่ชายของหมอลู่ได้ถูกลักพาตัวไปเมื่อตอนที่เขาอายุได้หกขวบ”
“มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ”
“ใช่ค่ะ หนูจำได้ว่าอาจารย์ใหญ่เคยเล่าให้หนูฟังว่าอาจารย์อาเล็กถูกอาจารย์ปู่รับมาเลี้ยงตอนอายุหกขวบ และฟื้นจากการรักษาหลังจากนั้นสองปีแต่ได้สูญเสียความทรงจำทั้งหมดไป”
“ใช่ เมื่อตอนนั้นที่อาจารย์พบอาจารย์อาเล็กของเอ็ง เขาได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรงและคิดว่าเขาไม่รอดแล้วด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะเหตุนี้พวกค้ามนุษย์เลยทิ้งเขาไว้และไม่ได้พาเขาไปด้วย เสี่ยวเยาเยา เอ็งคิดยังไง เอ็งกำลังทำอะไร เป็นไปได้ไหมว่าพี่ชายของหมอลู่ก็คืออาจารย์อาเล็กของเอ็ง”
“หนูแค่สงสัยค่ะ แต่ยังไม่ฟันธง เรายังจำเป็นต้องตรวจสอบอีกทีหลังจากได้พบกับหมอลู่แล้ว”
หมอลู่เป็นอาจารย์ของเธอ ดังนั้นเธอจึงสามารถถามอีกฝ่ายได้โดยตรง!
“เสี่ยวเยาเยา เอ็งได้บอกเรื่องนี้กับอาจารย์อาเล็กของเอ็งหรือยัง”
“ยังค่ะ หนูกำลังรอตรวจสอบเรื่องนี้ให้แน่ใจก่อน แต่ว่าอาจารย์ใหญ่ค่ะ อาจารย์อาเล็กไม่เคยจำเรื่องราวก่อนที่เขาจะอายุหกขวบได้เลยเหรอ”
“ในตอนนั้น มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่เขารอดชีวิตมาได้ ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์ปู่ของเอ็ง ก็คงไม่มีหมอคนไหนรักษาเขาได้อีกแล้ว”
“อื้ม อาจารย์ใหญ่พอจะจำหน้าตาตอนเด็กของอาจารย์อาเล็กได้อยู่ไหมคะ”
มันจะง่ายมากกว่าถ้ามีรูปให้ใช้ในการเปรียบเทียบ
ผู้เฒ่าผู้แก่เมื่อห้าสิบปีก่อนน่าจะยังเหลือคนที่จำเขาได้อยู่
“อาเล็กของเอ็งน่าเกลียดมากเมื่อตอนที่เขายังเด็ก!”
มู่เถาเยา “…”
“ผิวเหลือง ตัวผอมกะหร่อง แถมแขนขายังสั้นและเล็ก…” คำที่ใช้พรรณนาความอัปลักษณ์นับร้อยนับพันคำถูกทยอยพ่นออกมา
มู่เถาเยาคิดว่าถ้าอาจารย์อาเล็กของเธอมาได้ยินคำพูดเหล่านี้ในตอนนี้ เขาจะต้องเลิกเคารพตาแก่นี่อย่างแน่นอน และอาจถึงขั้นลงไม้ลงมือทุบตีเขาเลยก็ได้
แม้ว่าจะเอาชนะไม่ได้ในท้ายที่สุดก็เถอะ…
“เสี่ยวเยาเยา อาจารย์จะวาดรูปเหมือนคร่าวๆ ของอาจารย์อาเล็กของเอ็งตอนที่เขายังเด็กให้”
ไม่มีใครที่เรียนแพทย์แล้วความจำไม่ดี นับประสาอะไรกับคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดอย่างหยวนเหยี่ย
อย่างไรก็ตาม มู่เถาเยายังคงกังวลว่าอาจารย์จะวาดภาพอาจารย์อาเล็กในทางที่น่าเกลียด…
“อาจารย์คะ ไว้อาจารย์วาดมันในวันพรุ่งนี้ก็ได้ หนูจะกลับไปที่นั่นวันมะรืนนี้หลังเลิกเรียนเสร็จ”
“โอเค”
“พรุ่งนี้หนูจะให้คนไปตรวจสอบที่บ้านเกิดของหมอลู่”
“เสี่ยวเยาเยา เรื่องนี้ยกให้เป็นหน้าที่ของอาจารย์เอง เอ็งไปทำธุระของตัวเองให้สบายใจเถอะ”
“อาจารย์คะ หนูมีคนที่คอยจัดการเรื่องนี้ให้อยู่แล้ว ไม่ได้ไปด้วยตัวเอง เพราะงั้นใช้เวลาไม่นานหรอกค่ะ อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ตกลง ถ้าเอ็งว่างั้น แต่ถ้ามีอะไรที่ต้องการให้อาจารย์ช่วยก็บอกมาได้เลยนะ ไม่ว่าเอ็งจะทำอะไรอาจารย์จะไม่ห้าม แต่ขออย่างเดียวต้องดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองให้ดี!”
“ค่ะอาจารย์ใหญ่”
“เสี่ยวเยาเยา อาจารย์อาเล็กของเอ็งอยู่ตัวคนเดียวไร้ญาติมานานหลายสิบปีแล้ว ต่อให้สุดท้ายเอ็งหาไม่เจอก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก”
“หนูรู้ค่ะ”
เหตุผลหลักก็คือ เธอรู้สึกเสียใจแทนลู่จือฉินที่ต้องออกตามหาพี่ชายของตัวเองถึงสองชาติภพ
“รู้ก็ดี งั้นไปอาบน้ำและพักผ่อนเถอะ”
“โอเคค่ะ งั้นราตรีสวัสดิ์นะคะอาจารย์ใหญ่”
หลังจากวางสาย มู่เถาเยาไม่ได้ทำตามที่เธอรับปากไว้กับอาจารย์ว่าจะอาบน้ำและพักผ่อนทันที แต่ปิดคอมพิวเตอร์ หยิบปากกาและกระดาษออกมา แล้ววาดลงบนกระดาษตามภาพของเด็กน่าเกลียดที่อาจารย์เพิ่งจะบรรยายให้ฟัง
เรียงภาพสเก็ตสามภาพที่ดูคล้ายคลึงกันบนโต๊ะ จากนั้นก็เพิ่มและปรับเปลี่ยนรายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละภาพ
หลังจากเปรียบเทียบกันอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็หยิบอันที่คิดว่าคล้ายที่สุดลงในกระเป๋าคอมพิวเตอร์ และจะนำมันไปที่มหาวิทยาลัยในวันพรุ่งนี้ด้วยเพื่อแสดงให้กับอาจารย์อาเล็กดู ดูว่าเขาพอจะคุ้นตาสักเล็กน้อยหรือไม่
ความประทับใจแรกมักจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด