ตอนที่ 156 ยาอมตะ
วันศุกร์ เป็นเหมือนเช่นเคย
ภายในลานบ้านมีคนฝึกกำลังอยู่เต็มไปหมด
ตี้อู๋เปียนนั่งอยู่บนม้านั่งยาวตรงหน้าประตูห้องรับแขก มองกลุ่มชายรูปร่างดีด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอิจฉา
สามคนที่เยี่ยอิ่งพามา และยังมีเยี่ยเซียวลูกศิษย์ของผู้บัญชาการเยี่ยทหารตระกูลเยี่ยอีกคน รวมถึงซังเฟยที่เพิ่งมาถึงเมื่อคืน ทั้งหมดรวมกันห้าคนนี้ต้องเข้ารับการฝึกพิเศษ
เวลานี้ก็กำลังร่วมฝึกฝนกับทุกคนอยู่
สามคนที่เยี่ยอิ่งพามาต่างมีกำลังภายใน เยี่ยเซียวจากหน่วยทหารก็เช่นกัน
มีเพียงซังเฟยที่ฝึกฝนโดยใช้กำลังหมัดและเท้าของตัวเองล้วนๆ
ก็แค่ตอนนี้ขาของเขาได้รับบาดเจ็บ ฝึกร่วมกับทุกคนไม่ได้ จึงนั่งอยู่กับตี้อู๋เปียนได้แต่มองคนที่มีศิลปะการต่อสู้แข็งแกร่งฝึกฝนอยู่เต็มลานบ้าน
เขาอยากเข้าไปร่วมฝึกด้วยจริงๆ !
แม้แต่ซังหลิ่นหรานวัยสามขวบกับถังเซิ่นอวี๋วัยเจ็ดขวบก็ยังตั้งใจฝึก
ใบหน้าน้อยๆ แดงก่ำ ดวงตาเปล่งประกาย
“คุณชายเล็ก หมอเทวดาบอกว่าเมื่อไรคุณชายเล็กจะมาฝึกด้วยกันได้เหรอครับ”
ซังเฟยไม่รู้เรื่องอาการป่วยของตี้อู๋เปียน รู้แค่ว่าเขาป่วย ยังคิดอยู่ว่าอีกสักระยะถึงจะหายเหมือนกับเขา
“ไม่แน่ใจ”
เสียดแทงใจ!
ผู้ชายจะไม่มีรูปร่างดีๆ ได้ยังไง
ถ้าไม่มีรูปร่างดีมันจะให้ความรู้สึกเป็นผู้ชายเหรอ ไม่ให้ความรู้สึกเป็นผู้ชายแล้วจะเรียกว่าผู้ชายได้ยังไง!
“ผมพักรักษาตัวอีกหนึ่งเดือนก็ฝึกได้แล้ว หมอเทวดาบอกว่าผมมีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้เป็นพิเศษเลยนะครับ!”
ทั้งๆ ที่คนที่พูดไม่ได้ต้องการโอ้อวด แต่คนฟังกลับรู้สึกว่าเขากำลังอวดอยู่
“พรสวรรค์ของฉันสูงกว่านายแน่นอน!”
“หมอเทวดาบอกเหรอครับ”
ถ้าเป็นคำพูดของหมอเทวดาเขาถึงจะเชื่อ ถ้าไม่ใช่หมอเทวดาพูดเขาไม่เชื่อหรอก
“…ชะใช่” ก็แปลกแล้ว
ตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ได้ก็ดีมากแล้ว ยังจะเพ้อฝันเรื่องอื่นอีก
ก็แค่มีเรื่องบางอย่างหลังจากที่หายแล้ว ตอนนี้ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าร่างกายนี้ยังจะฝึกต่อสู้ได้อีกหรือเปล่า
แต่พรสวรรค์ของเขาต้องสูงแน่นอน
พวกคัมภีร์ลับฝึกยุทธ์ที่ซาลาเปาน้อยให้เขามา เขาอ่านจบและจำได้ทั้งหมดแล้ว!
ไว้รอหายดี เขาเชื่อว่าตัวเองจะต้องฝึกได้เร็วแบบก้าวกระโดดแน่!
ไม่ยอมรับความเห็นต่าง!
ทั้งสองคนนั่งคุยกันไป จนกระทั่งคนที่ฝึกอยู่เสร็จสิ้นการฝึกในตอนเช้า
พวกชาวบ้านทยอยแยกย้าย
มู่เถาเยาให้คนแยกย้ายกลับไปกินอาหารเช้าตามบ้านที่ตัวเองอาศัยอยู่
ถึงแม้ห้องครัวกับห้องอาหารที่บ้านจะใหญ่มาก แต่ด้วยความที่คนเยอะ ทำอาหารลำบาก เลยต้องแบ่งกันไปกินตามที่พักของตัวเอง
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จมู่เถาเยาก็ฝังเข็มให้ตี้อู๋เปียน
เสร็จแล้วก็ลากหยวนเหยี่ยไปห้องหนังสือ
“อาจารย์ใหญ่ลองดูรูปนี้สิคะ”
“เอ๊ะ เสี่ยวเยาเยา เมื่อคืนอาจารย์เอาภาพวาดให้เอ็งแล้วเหรอ” นี่เขาแก่เลอะเลือนจนลืมเรื่องนี้ไปเลยเหรอ
“เปล่าค่ะ ภาพนี้หนูวาดเอง”
“เอ็งวาดเองรึ”
หยวนเหยี่ยตะลึง สังเกตภาพในมือให้ดีอีกครั้ง
“ไม่ใช่รูปที่อาจารย์วาดจริงๆ แต่วาดได้ละเอียดกว่าอาจารย์เสียอีก! เสี่ยวเยาเยา เอ็งไม่เคยเจออาจารย์อาเล็ก ไม่เคยเห็นเขาตอนเด็กๆ แล้ววาดออกมาได้ยังไง”
“หนูวาดตามลักษณะที่อาจารย์ใหญ่เล่าให้ฟังค่ะ เหมือนไหมคะ”
“เหมือนมาก!”
หยวนเหยี่ยเอารูปที่ตัวเองวาดให้ลูกศิษย์ดู
มู่เถาเยาเปรียบเทียบสองรูปนี้ แตกต่างไม่มาก มีแค่รายละเอียดเล็กน้อยที่ต่างกัน
“เสี่ยวเยาเยา อาจารย์อาเล็กของเอ็งตอนเด็กๆ ก็หน้าตาประมาณนี้แหละ”
มู่เถาเยาหยิบรูปอีกใบให้หยวนเหยี่ย
นี่เป็นรูปที่เธอวาดตามข้อมูลที่ตี้อู๋เปียนส่งให้
“เสี่ยวเยาเยา นี่ใครเหรอ หมอลู่เหรอ เอ็งสงสัยว่าอาจารย์อาเล็กก็คือพี่ชายของเธอเหรอ”
“ค่ะ อาจารย์ใหญ่ลองสังเกตที่ตาของพวกเขาสิคะว่าคล้ายกันไหม”
หยวนเหยี่ยเปรียบเทียบตรงดวงตา
“ก็แอบคล้ายนะ”
“เสี่ยวเหมียนก็มีตาโตคิ้วเข้มหน้าคมแบบนี้เหมือนกัน ถึงแม้นี่จะเป็นภาพของเด็กผู้ชาย พอโตขึ้นก็อาจมีความแตกต่างอยู่บ้าง แต่หน้าตาของเสี่ยวเหมียนก็มีความคล้ายกับหมอลู่ถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ดูจากหน้าตาของอาจารย์อาเล็กก็คล้ายกับหมอลู่เจ็ดสิบแปดสิบเปอร์เซ็นต์เลยนะคะ”
“เสี่ยวเยาเยา โลกนี้มีเรื่องบังเอิญอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีได้ขนาดนั้น”
“หนูรู้ค่ะ ต่อให้ไม่ใช่ พวกเราก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่คะ”
“อาจารย์รู้ว่าเอ็งเป็นคนกตัญญู แต่เรื่องนี้ก็ผ่านมาห้าสิบปีแล้ว ความหวังมันริบหรี่มาก”
“ค่ะ”
ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์ลู่จือฉินกำลังตามหาพี่ชาย เธอเองก็ไม่มีทางนึกถึงคนในครอบครัวของอาจารย์อาเล็ก อย่างไรเสียขนาดตอนนั้นอาจารย์ปู่ก็ยังตามหาไม่เจอ ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมานานขนาดนี้ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่
เว้นเสียแต่จะมีเทพเจ้าแห่งความโชคดีลงมาประทานพรจริงๆ
แต่ในเมื่อตามหาแล้ว งั้นเธอก็จะไม่ยอมแพ้
อย่างไรเสียมีคนมีเงิน เสียให้กับเรื่องที่คุ้มค่าก็ทำให้เธอมีความสุขจากใจ
“เสี่ยวเยาเยา เห็นอาจารย์อาเล็กของเอ็งบอกว่าอีกสี่ปีเอ็งจะเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเหรอ”
“ค่ะ พอถึงตอนนั้นหนูก็คงเรียนจบแล้ว มีเวลา”
“เอ็งไปแข่งในฐานะตัวแทนของประเทศเหยียนหวง งั้นเผ่าล่ะ นับแต่ปีนี้เป็นต้นไป เผ่าหมาป่าพระจันทร์ก็จะเปิดตัวมากขึ้นเรื่อยๆ คนเผ่าหมาป่าพระจันทร์เริ่มถ่อมตัวออกสู่สายตาของแต่ละประเทศในโลกแล้ว เพื่อให้เอ็งได้มีเผ่าที่แข็งแกร่ง เพื่อที่วันหน้าเอ็งจะได้ทำอะไรได้ตามใจ”
“อยู่เผ่าหมาป่าพระจันทร์ หนูคือเย่ว์จืออิ๋ง อยู่เหยียนหวง หนูคือมู่เถาเยา ไม่มีความขัดแย้งกันค่ะ”
“ประเทศเหยียนหวงของพวกเราไม่อนุญาตให้ถือสองสัญชาติ แต่ตราบใดที่เอ็งต้องการ ตระกูลเย่ว์กับตระกูลตี้ก็พร้อมจะทำตามความต้องการของเอ็ง เอ็งจะเป็นเพียงคนเดียวที่มีความพิเศษของทั้งสองประเทศ”
มู่เถาเยาคล้องแขนหยวนเหยี่ย เอาศีรษะพิงบ่าของเขาเบาๆ แล้วพูดอย่างออดอ้อนว่า “อาจารย์ใหญ่คะ ถ้าหนูใช้เลือดของผู้อาวุโสตระกูลถังคิดค้นยาอมตะออกมาได้…”
“อุ๊บ…ฮ่าๆ …”
หยวนเหยี่ยขำลูกศิษย์
มู่เถาเยาก็ตลกคำพูดตัวเองเหมือนกัน
เมื่อชาติก่อนเธอไม่เชื่อว่ามียาอมตะ ชาตินี้ก็ย่อมไม่มีทางเชื่อ
ดังนั้นยาอมตะที่เธอว่าก็แค่ยาชะลอความแก่ ช่วยให้แก่ช้าลง อย่างน้อยมีชีวิตอยู่ได้สามร้อยปีขึ้นไป ไม่ใช่ยาที่ทำให้เป็นอมตะแบบเทพ
ในประวัติศาสตร์ของประเทศเหยียนหวงมีคนที่อายุยืนถึงสองร้อยห้าสิบกว่าปีจริงๆ เธอไม่ได้เพ้อเจ้อ
ในประวัติศาสตร์โลกก็มีหลายคนที่อายุยืนถึงสองร้อยกว่าปี
ดังนั้นเธอต้องคิดหาวิธีทำให้คนที่เธอแคร์มีอายุยืนเกินสามร้อยปีขึ้นไป พวกเขาจะได้อยู่กับเธอไปนานแสนนาน
เธอไม่อยากให้คนที่เธอรักจากเธอไปไหนแม้แต่คนเดียว
ชาติก่อนเธอทนทุกข์กับการจากลามาพอแล้ว ไม่ว่าอย่างไรชาตินี้ก็จะขอสู้กับยมบาลสักตั้ง ขอยื้อคนให้อยู่กับเธอมากหน่อย
“เสี่ยวเยาเยา เกิดและตายเป็นเรื่องของสวรรค์ลิขิต คนเรายังไงก็ต้องตาย เอ็งต้องหัดปลงเสียบ้าง เพิ่งจะสิบแปดอย่าคิดมากทำตัวเป็นยายแก่ไปเลยนะ”
ใช่ว่ามู่เถาเยาจะไม่เข้าใจ แต่เธอแคร์นี่นา
“อาจารย์ใหญ่คะ หนูอยากให้พวกอาจารย์ใหญ่ตายช้าหน่อย”
“เสี่ยวเยาเยา เกิดและตายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต้องยึดติดมากนัก ในเมื่อเอ็งอยากให้พวกเรามีชีวิตอยู่นานอีกหน่อย งั้นพวกเราก็จะพยายามอยู่ให้นานๆ อีกหลายปี แต่เมื่อถึงเวลานั้นขึ้นมาจริงๆ เอ็งก็อย่าเสียใจไปเลยนะ”
“ค่ะ”
“เสี่ยวเยาเยา เอ็งเป็นเด็กดีตั้งแต่เด็ก แต่ยึดติดกับอะไรมากเกินไป ทำให้เป็นคนคิดมาก แบบนี้ไม่ดีนะ”
“หนูทราบค่ะอาจารย์ใหญ่”
“อาจารย์กับอาจารย์เล็กของเอ็งไม่เคยกดดันเอ็ง หากว่ากันตามเหตุผล เอ็งไม่ควรโตมาเป็นคนคิดมากแบบนี้ ควรเหมือนเสี่ยวหว่าน นั่นต่างหากที่เหมือนสาวน้อยวัยสิบแปด พวกเราล่ะไม่เข้าใจ เอ็งอายุแค่นี้ไปเอาเรื่องคิดมากมาจากไหน”
“อาจารย์ใหญ่…”
“เสี่ยวเยาเยา หรือเป็นเพราะเอ็งไม่มีแม่ตั้งแต่เล็ก…” ทว่าตั้งแต่เล็กจนโตเสี่ยวเยาเยาก็ไม่เคยถามเรื่องพ่อแม่เลยนะ
“อาจารย์ใหญ่คะ ไม่ใช่นะคะ หนูก็แค่ไม่อยากให้พวกอาจารย์ใหญ่จากหนูไป”
“เด็กคนนี้นี่ อายุแค่นี้คิดมากเรื่องนี้ทำไม พวกเรายังอยู่ได้อีกหลายสิบปีน่า!”
เขาไม่กลัวตาย ก็แค่ตัดใจไม่ลง
“ค่ะ ต่อไปจะไม่คิดมากแล้ว”
ไว้รอเธอตามหาพี่ชายของอาจารย์ลู่จือฉินเจอ ช่วยให้เสด็จแม่มีความสุขได้ รักษาตี้อู๋เปียนจนหายดี คิดค้น ‘ยาอมตะ’ ออกมาได้สำเร็จ เธอก็ไม่มีเรื่องทุกข์ใจแล้ว