ตอนที่ 229 ทางที่ดีอย่าแตะต้องเขา
วันรุ่งขึ้น หลังจากเหลยถิงวิ่งออกกำลังกายกลับมาก็เห็นพ่อตัวเองยังสวมชุดอยู่บ้านนั่งอยู่ในห้องรับแขก เขาแปลกใจมาก เพราะปกติเวลานี้พ่อควรสวมชุดทำงานกินอาหารเช้าเตรียมออกจากบ้านแล้ว
“วันนี้พ่อไม่ไปทำงานเหรอครับ ไม่สบายหรือเปล่า”
“เปล่า พ่อสบายดี ช่วงนี้คดีไม่เยอะ มอบหมายให้ลูกน้องทำหมดแล้ว เห็นแกทำงานหนักจนสภาพเป็นแบบนี้พ่อก็ต้องระวังบ้างแล้ว”
เหลยถิงนั่งลงตรงข้ามเหลยโจว “พ่อครับ คุณตาคุณยาย ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ตอนนี้ชีวิตปกติแล้ว อีกไม่นานผมจะกลับมาหนักเท่าเมื่อก่อนครับ”
สามคนพยักหน้า
ย่าเฉิงพูดกับลูกเขย “อาโจว ไว้ค่อยคุยกัน ให้อาถิงไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวกินข้าวเสร็จเขายังต้องไปส่งพ่อแม่ของเสี่ยวเย่ว์อีก”
พ่อแม่แฟนของหลานชายไม่ได้มีท่าทีต้องการเจอผู้ใหญ่ของฝ่ายชาย ทำให้ปู่เฉิงย่าเฉิงรู้สึกแย่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดเพียงว่าพ่อแม่ของเจียงเย่ว์มีเรื่องด่วนต้องรีบกลับ
“ครับ อาถิงไปเถอะ”
“ผมขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
ปู่เฉิงพยักหน้า “ไปเถอะ”
หลังจากเหลิยถิงขึ้นชั้นบนไปแล้ว เหลยโจวก็ยิ้มถามคนชราทั้งสอง “อีกเดี๋ยวพ่อกับแม่จะทำอะไรครับ เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อน”
ย่าเฉิงยิ้มมองลูกเขย “แม่กับพ่อไม่ได้มีธุระอะไรหรอก อีกเดี๋ยวจะไปนั่งเล่นที่ห้องสมุด ตอนบ่ายไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ เราอุตส่าห์ว่างทั้งทีอยู่บ้านพักผ่อนไปเถอะ”
“ครับ”
ห้องสมุดกับสวนสาธารณะอยู่ใกล้บ้าน อีกทั้งถึงแม้คนชราทั้งสองจะอายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว แต่สุขภาพยังแข็งแรงมาก ยังไม่ถึงขั้นต้องมีคนดูแลใกล้ชิด เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงเท่าไร
หลังจากเหลยถิงลงมาพวกเขาก็เริ่มกินอาหารเช้า
“พ่อครับ เมื่อไรแม่จะกลับจากไปทำงานที่อื่นเหรอครับ”
“สุดสัปดาห์ก็กลับมาแล้ว แกมีธุระกับแม่เหรอ”
“เปล่าครับ ผมแค่คิดว่าแม่อายุขนาดนี้แล้วต้องไปทำงานที่อื่นออกจะไม่ค่อยดีเท่าไร”
แม้ดูภายนอกจะยังสาว แต่อย่างไรเสียอีกไม่กี่ปีก็เกษียณแล้ว
“อืม แม่แกพูดแล้วว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่จะออกไปทำงานที่อื่น สองสามปีนี้ก่อนเกษียณแม่แกจะค่อยๆ วางมือ”
“ครับ”
กินอาหารเช้าเสร็จเหลยถิงก็ช่วยพ่อเก็บโต๊ะอาหารกับล้างชาม เสร็จแล้วถึงหยิบของขวัญที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานบ่ายออกไป
ไปถึงโรงแรมที่พ่อแม่ของเจียงเย่ว์พัก ยังไม่ถึงเวลา เหลยถิงจึงนั่งรอที่ล็อบบี้
พอใกล้ได้เวลาพ่อแม่ของเจียงเย่ว์ก็ออกมาคืนห้องตรงเคาน์เตอร์ที่ล็อบบี้
เหลยถิงเดินเข้าไปช่วยถือสัมภาระ
“คุณลุงคุณป้ากินอาหารเช้าหรือยังครับ”
เจียงจี๋ยิ้ม “กินแล้ว ขอบใจนะเสี่ยวเหลย”
“คุณลุงไม่ต้องเกรงใจครับ งั้นพวกเราไปสถานีรถไฟความเร็วสูงเลยไหมครับ”
“อืม”
เหลยถิงยกสัมภาระใบใหญ่ของพวกเขาไปไว้ที่หน้าประตูทางเข้า “คุณลุงคุณป้ารอผมเดี๋ยวนะครับ ผมจะไปเอารถที่ลานจอดรถ”
เจียงจี๋พยักหน้า
หลังจากมองส่งเหลยถิงเดินไปไกล ทันใดนั้นเหมียวฉีก็พูดขึ้น “เจียงจี๋ ฉันไม่รู้ว่าคุณจะทำอะไร แต่ทางที่ดีอย่าไปแตะต้องเขา”
เจียงจี๋หันไปมองภรรยาที่เขารักมายี่สิบปี
“เหลือเชื่อเลยนะ! ขนาดเจียงเย่ว์คุณยังไม่ดูดำดูดี ยังจะสนใจเหลยถิงอีกเหรอ”
“ต่อให้ฉันไม่สนใจเจียงเย่ว์ แต่นั่นก็ลูกที่ฉันคลอดมา แต่เหลยถิงชอบเจียงเย่ว์ ฉันไม่สนว่าคุณจะแค้นอะไรสำนักแพทย์โบราณ แต่อย่าไปแตะต้องเขา”
“เหมียวฉี ชอบอยู่ฝ่ายเดียวมีประโยชน์เหรอ เจียงเย่ว์เหมือนคุณ ไม่มีเยื่อใยให้เขาสักนิด อาฉี ผมไม่เข้าใจจริงๆ ในเมื่อคุณไม่ชอบผม ตอนนั้นทำไมถึงรับปากแต่งงานกับผม”
“ถ้าคุณอยากหย่า ฉันพร้อมเสมอ”
เจียงจี๋โมโห “ผมไม่หย่า”
ต่อให้เธอไม่รักเขา แต่เขารักเธอ
รักหัวปักหัวปำโงหัวไม่ขึ้น
เหมียวฉีมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดอะไรอีก
เจียงจี๋รู้ว่าตอนเหมียวฉีแต่งงานด้วยไม่มีใจให้เขาเลยสักนิด แต่เขาคิดว่าถ้าตัวเองดีต่อเธอก็จะมัดใจเธอได้
ปรากฏว่า…พยายามมายี่สิบปีแล้วก็ยังไม่สำเร็จ เพราะเธอไม่เคยมีหัวใจ
อย่าว่าแต่เขาไม่เคยไปบ้านพ่อแม่ของเธอเลย ขนาดเจียงเย่ว์ที่เป็นลูกสาวแท้ๆ ก็ไม่เคยไป
แม้แต่ตัวเธอเอง ยี่สิบปีมานี้ก็ไม่เคยออกจากเมืองหลวงเลย!
ครั้งนี้มาเย่ว์ตู เป็นครั้งแรกที่เธอก้าวออกจากอาณาเขตของเมืองหลวงนับตั้งแต่เขารู้จักเธอ แม้แต่เซิ่งตูบ้านเกิดของเขาเธอก็ไม่เคยไป
พ่อแม่ของเขาไม่ชอบเหมียวฉี ก็เพราะเธอไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นสะใภ้ของครอบครัวเจียง
พวกเขาสองพ่อลูกรู้แค่ว่าเหมียวฉีเป็นคนเผ่าหมาป่าพระจันทร์ ไม่รู้เรื่องอื่นอีก
มีคนเป็นสามีคนไหนบ้างที่ล้มเหลวถึงขั้นนี้
เขาเคยคิด เธอไม่เคยพูดถึงครอบครัวตัวเองเพราะครอบครัวทำไม่ดีกับเธอหรือเปล่า และก็เคยมีความคิดอยากช่วยให้ความตึงเครียดระหว่างเธอกับครอบครัวดีขึ้น แต่เขาไปไม่ได้ เพราะถึงแม้คู่ชีวิตของเขาจะเป็นคนเผ่านั้น แต่กลับไม่ให้สิทธิ์ผ่านเข้าไปแก่เขา
เผ่าหมาป่าพระจันทร์ควบคุมเข้มงวดมาก ขอเพียงแต่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนในเผ่า อยากออกไปไหนหรืออยากเข้าไปก็ต้องมีบัตรผ่านของอีกฝ่าย เพื่อเป็นเครื่องยืนยันการแต่งงานของทั้งสองคน
ตอนเหลยถิงขับรถมาถึงก็เห็นบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยระหว่างทั้งสองคน แต่เขาจะไปยุ่งก็ไม่ได้
“คุณลุงคุณป้าจะอยู่ที่บ้านเกิดนานแค่ไหนครับ ก่อนกลับเมืองหลวงยังจะมาหาเสี่ยวเย่ว์ที่เย่ว์ตูอีกไหมครับ”
“พวกเรากลับบ้านแค่สองสามวัน คงบินจากเซิ่งตูไปเมืองหลวงเลย เสี่ยวเหลย ไม่พิจารณากลับไปทำงานที่เมืองหลวงหน่อยเหรอ สังคมของนายก็อยู่ที่นั่นกันหมด ไม่เสียดายเหรอ”
“ขอโทษด้วยครับคุณลุง เสี่ยวเย่ว์ยังอยากเรียนดอกเตอร์อีก อย่างน้อยต้องอยู่ที่เย่ว์ตูห้าปี ผมไม่อยากแยกกับเธอครับ”
เมื่อคืนเขาคิดดีแล้ว ไม่มีทางย้ายไปเมืองหลวงเป็นการชั่วคราว
ต่อไปก็ใช่ว่าจะไป
เมื่อวานคำพูดของพ่อได้เตือนสติที่เขาเป็นลูกคนเดียว อีกทั้งคุณตาคุณยายของเขาก็อายุมากแล้ว เขาจะเห็นแก่ตัวไม่ได้
แต่เรื่องรักเจียงเย่ว์ เขาไม่เคยนึกเสียใจ
ต่อไปเขาก็ยังจะพยายามทุ่มเทให้เธอ แม้สุดท้ายจะไปไม่ถึงฝั่งฝัน แต่เขาก็เคยพยายามแล้ว เสียใจ แต่ไม่เสียดาย
เหมียวฉี “เสี่ยวเหลย ต่อไปฝากเจียงเย่ว์ด้วยนะ”
“ผมจะดูแลเสี่ยวเย่ว์ให้ดีครับ ขอบคุณครับคุณป้า”
เหลยถิงแอบตกใจ เพราะแม่ของเจียงเย่ว์แทบไม่เคยเป็นฝ่ายพูดกับเขาก่อน
เจียงจี๋มองภรรยาด้วยสีหน้าจริงจัง
เหมียวฉียังคงมองไปข้างหน้า ราวกับไม่รู้สึกถึงสายตาของคนข้างกายที่มองเธออยู่
เหลยถิงไปส่งทั้งสองคนที่ลานจอดรถของสถานีรถไฟความเร็วสูง ตอนลงจากรถได้เอาของขวัญที่เตรียมไว้บนเบาะข้างคนขับให้พ่อแม่ของเจียงเย่ว์
“ผมไม่รู้ว่าคุณลุงคุณป้าชอบอะไร ก็เลยเลือกของฝากท้องถิ่นพวกนี้มาให้ หวังว่าคุณลุงคุณป้าจะชอบนะครับ”
เจียงจี๋ยิ้มตบบ่าของเขาแล้วรับของไป “ขอบใจนะเสี่ยวเหลย มีน้ำใจมาก”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเดินไปส่งข้างในครับ”
“ได้”
เหลยถิงยกสัมภาระใบใหญ่ของทั้งสองคนลงจากหลังรถแล้วหิ้วเดินตามหลัง
เมื่อไปถึงด่านตรวจเจียงจี๋ก็พูดขึ้น “เสี่ยวเหลย ส่งแค่นี้แหละ กลับไปเถอะ”
“ครับ”
เหลยถิงค่อยๆ เอาสัมภาระวางข้างเท้าเจียงจี๋
เหมียวฉียิ้ม “เสี่ยวเหลย สองวันนี้ขอบใจมากนะ”
“คุณป้าไม่ต้องเกรงใจครับ”
“อืม พวกเราเข้าไปแล้วนะ กลับไปเถอะ”
“ครับ ไว้เจอกันใหม่นะครับ”
“แล้วเจอกัน”