ตอนที่ 2038 นายน้อยบ้าไปแล้ว
กั้วหมิงและภรรยายืนกรานปฏิเสธ เพราะรู้สึกอับอายที่จะต้องรับผลประโยชน์จากหลิงฮันอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานการยัดเยียดของหลิงฮันได้ ทําให้ต้องรับเม็ดยาเหล่านั้นไป
นอกจากนั้นหลิงฮันก็ยังมอบชาจากต้นสังสารวัฏ ให้กั้วหมิงและภรรยาในปริมาณที่มากเท่าที่จะมอบให้ได้
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะไม่รู้ว่าแหวนนี้มีไว้เพื่ออะไร แต่เพียงแค่เพราะมันสร้างขึ้นจากแร่โลหะนิรันดรก็นับว่ามีค่ามากมายมหาศาลแล้ว
ในอีกด้านหนึ่ง ฟู่เยว่ทําสีหน้าเศร้าโศก
เขาเองก็ช่วยเหลือด้วยแท้ๆ ทําไมถึงดูเหมือนเขากําลังถูกลืมอยู่เลย?
กั้วหมิงและภรรยาตัดสินใจออกจากเหมืองในอีกไม่กี่วัน ตอนนี้พิษจากฝ่ามือเจ็ดบุปผาเจ็ดพิษถูกขจัดไปแล้ว พวกเขาเชื่อว่าหร่วนตงคงไม่สามารถไล่ตามพวกเขาได้อีกต่อไป
“เอาล่ะ พวกเราก็กลับกันได้แล้ว” หลิงฮันยืดแข้งยืดขา
ฟู่เยว่ตรวจสอบขวดเม็ดยาที่กั่วหมิงและภรรยาคืนมาให้ และพบว่าด้านในยังมีเม็ดยาเหลืออยู่เก้าเม็ด เขาเก็บขวดเม็ดยาและกล่าว “ไปที่ตระกูลข้ากันก่อน”
เขาไม่ใช่คนที่จะติดค้างหนี้คนอื่น
“ทําไมกัน หรือเจ้าตั้งใจจะล่อลวงพวกข้าไปจับกุมกัน?” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว เจ้าไม่กล้างั้นรึ?” ฟู่เยว่ยั่วยุ
“ก็ได้ งั้นก็เป็นไปเก็บหนี้ของเจ้ากัน” หลิงฮันหัวเราะ อันที่จริงเขาแค่หยอกฟู่เยว่เล่นเท่านั้น แต่ถ้าหากอีกฝ่ายคิดจะมอบศิลาดวงดาวให้เขาหนึ่งนร้อยล้านก้อนจริงๆ เขาก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ
เพราะอย่างไรดาบอสูรนิรันดร์ก็ยังอยู่ห่างจากการบรรลุเป็นอุปกรณ์นิรันดร์ที่แท้จริงอีกไกล และจําเป็นต้องใช้ศิลาดวงดาวอีกจํานวนมหาศาล
กลุ่มของพวกเขาเดินทางกลับ
เมื่อไม่ต้องให้ฮูหนิวคอยดมหาทางให้ ความเร็วในการเดินทางของพวกเขาก็รวดเร็วขึ้น และกลับมาถึงเมืองได้ในเวลาเพียงวันกว่าๆ
“นายน้อย!”
ทันทีที่กลับมาถึงเมือง ผู้คนมากมายก็เข้ามาล้อมรอบ โดยมีผู้นําคือชายชราผู้คุ้มกันของฟู่เยว่
ชายชราจ้องมองและกล่าว “หลายวันมานี้ เจ้าทําอะไรลงไปกับนายน้อย?”
หากไม่ทําอะไรแล้วพวกหลิงฮันจะหายไปเงียบๆ เพื่ออะไร?
“ลุงยวี๋” ศิลาดวงดาวอยู่ที่ไหน?” ฟู่เยว่ถาม
“โอ้ อยู่นี่แล้วขอรับ” ลุงยวี๋นําแหวนมิติออกมา
ฟู่เยว่เดินเข้าไปรับแหวนมิติ และเดินกลับมาโยนแหวนให้หลิงฮัน “ฟู่เยว่ผู้นี้เดิมพันแล้วย่อมไม่คืนคํา”
เมื่อเหตุการณ์ตรงหน้า ลุงยวี๋ ก็กลายเป็นโง่งม
บ้าไปแล้ว นี่สมองของท่านถูกลาเตะเข้าใส่หรืออย่างไร!
เมื่อครู่นี้ทั้งๆ ที่สามารถหนีออกมาได้แล้ว แต่ท่านกลับเป็นฝายนําค่าไถไปมอบให้ด้วยตัวเองงั้นรึ?
คนผู้นี้ยังใช่นายน้อยของเขาอยู่รึเปล่า?
ลุงยวี๋รีบใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบ และไม่พบความผิดปกติอะไร
คนผู้นี้คือนายน้อยของเขา
ฟู่เยว่ส่ายหัวและกล่าว “ลุงยวี๋ ไม่ต้องกังวลไป คนเหล่านี้คือสหายของข้า”
สหายงั้นรึ?
มีสหายแบบใดกันที่พบปล้นชิงศิลาดวงดาวหนึ่งร้อยล้านก้อนเมื่อพบหน้ากัน?
ท่ามกลางสายตาของฝูงชน ฟู่เยว่ได้นําพาหลิงฮันกับคนอื่นๆ ไปยังที่พักตระกูลฟู่
เนื่องจากฟู่เยว่เป็นผู้สืบทอดคนเดียวในรุ่นที่สามของตระกูล ‘การลักพาตัว’ ของเขาจึงรู้ไปถึงหูของปรมาจารย์ฟู่ และอีกฝ่ายก็ได้เรียกหลิงฮันให้เข้าพบ หลังจากที่รู้ว่าปรมาจารย์เฒ่าฟู่เป็นนักปรุงยาสีดาว เขาก็ตอบตกลงในทันที
“คารวะผู้อาวุโส!” หลังจากฟู่เยว่นําทางเข้ามายังห้องโถงแห่งหนึ่ง หลิงฮันก็แสดงความเคารพต่อชายชราที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งหลัก
คนผู้นี้คือฟู่ปั๋ว ปรมาจารย์ที่ปกครองเมืองแห่งนี้ และเห็นหัวหน้านักปรุงยาภายใต้การปกครองราชานิรันดร์ไจ่เยว่ เขาไม่ใช่แค่ปรมาจารย์นักปรุงยาสี่ดาว แต่ยังเป็นตัวตนระดับช้ามผ่านต้นกําเนิดแท้อีกด้วย ถึงแม้พลังต่อสู้ในระดับเดียวกันของนักปรุงยาจะอ่อนแอ แต่ระดับข้ามผ่านต้นกําเนิดแท้ ก็ยังคงระดับข้ามผ่านต้นกําเนิดแท้ เพียงแค่หนึ่งฝ่ามือก็สามารถกําราบตัวตนระดับตําหนักอมตะได้อย่างง่ายดาย
“ไม่ต้องมากพิธี” ชายชราสะบัดมือ บนศีรษะของเขาปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีขาวโพลน ซึ่งแม้ กระทั่งคิ้วและหนวดเองก็เป็นสีขาวเช่นกัน เขาจดจ้องหลิงฮันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “เห็นว่าเจ้าลักพาตัวหลานชายของข้าไปงั้นรึ?”
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว”
“โอ้ ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิด ทําไมถึงไม่คืนศิลาดวงดาวหนึ่งร้อยล้านก้อนคืนม่าละ?” ชายชรากล่าวอย่างแผ่วเบา
ดูเหมือนชายชราจะมีจุดประสงค์คือการทวงคือศิลาดวงดาว
แน่นอนว่าหลิงฮันไม่มีทางยอม มีเหตุผลใดที่เขาต้องมอบสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของเขาแล้วให้คนอื่น?
เขารีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที “ข้ามีคําถามเกี่ยวกับศาสตร์ปรุงยาอยากจะถามผู้อาวุโส”
“โอ้?” ฟู่ปั๋วเผยสีหน้าประหลาดใจ เขารู้มาว่าหลิงฮันนั้นเป็นอัจฉริยะในศาสตร์วรยุทธ อีกฝ่ายมีพลังบ่มเพาะเพียงระดับตัดวิญญาณหยาง ก็สามารถกําราบหลานของเขาได้ และการจะบ่มเพาะสร้างจักรพรรดิขึ้นมาได้ จําเป็นต้องเป็นขุมอํานาจใหญ่อย่างขุมอํานาจระดับราชานิรันดร์
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทําไมเขาจึงทําเพียงแค่กดดันหลิงฮันเท่านั้น และไม่ลงมือช่วงชิงศิลาดวงดาวกลับมาตรงๆ
แต่ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ หลิงฮันจะเอ่ยถามปัญหาเกี่ยวกับศาสตร์ปรุงยากับเขา
หลิงฮันตั้งมั่นกับตนเองเอาไว้แล้ว หลังจากที่ออกจากดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออกมา เขาก็ไม่เคยละทิ้งการศึกษาศาสตร์ปรุงยา ทําให้พบเจอและสะสมปัญหาอยู่ในหัวมากมาย
ในตอนแรกฟู่ปั๋วก็ไม่คิดอะไรมาก แต่ผ่านไปไม่นานสีหน้าของเขาก็กลายเป็นแข็งค้าง และรู้สึกตื่นเต้นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
อัจฉริยะ รุ่นเยาว์ผู้นี้คืออัจฉริยะแห่งศาสตร์ปรุงยา!
ฟู่ปั๋วไม่มีลูกศิษย์ก็จริง แต่เขาก็ได้ส่งผ่านความรู้ในศาสตร์ปรุงยาทั้งหมดของเขาให้แก่บุตรของตนเอง แต่บุตรที่ว่ากลับไม่มีพรสวรรค์ในศาสตร์ปรุงยามากเท่าที่ควร ทําให้บรรลุเป็นเพียงนักปรุงยาหนึ่งดาวได้อย่างเฉียดฉิว ส่วนหลานของเขาเองก็มีพรสวรรค์เพียงแค่ในศาสตร์วรยุทธเท่านั้น ทําให้ไม่สามารถสืบทอดความรู้ของเขาได้
นี่คือเรื่องที่เขาผิดหวังมาโดยตลอด และกังวลว่าศาสตร์วรยุทธที่เขาฝึกฝนมาจะสูญหายไป
เพราะงั้นการที่จู่ๆ สุดยอดอัจฉริยะแห่งศาสตร์ปรุงยาที่พบเจอได้น้อยนิดได้ปรากฏตัว จึงทําให้จิตใจของเขาสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น จนอยากจะรับอีกฝ่ายเป็นศิษย์เพื่อส่งมอบความรู้ทั้งหมดที่เขาศึกษามา
ด้วยความชื่นชมที่มีต่ออัจฉริยะ ไม่ว่าหลิงฮันจะถามอะไร ชายชราก็จะอธิบายกลับไปอย่างละเอียด
ชายชราหนึ่งคนกับรุ่นเยาว์หนึ่งคนพูดคุยเกี่ยวกับศาสตร์ปรุงยากับอย่างออกรส ทําให้ฟู่เยว่ที่อยู่ด้านข้างทั้งตกตะลึงและเบื่อหน่าย
ตอนแรกเขาคิดว่าหลิงฮันเพียงแค่แสร้งถามคําถามเพื่อเอาใจปู่ของเขาเท่านั้น เขาไม่เคยคาดคิดแม้แต่น้อยว่าหลิงฮันจะเชี่ยวชาญในศาสตร์ปรุงยาจริงๆ แต่จากที่เห็นแล้ว ดูเหมือนความสําเร็จใจศาสตร์ปรุงยาของหลิงฮันจะไม่ใช่น้อยๆ เลย เพราะไม่งั้นปู่ของเขาคงไม่มีท่าที่จริงจังขนาดนี้
ที่เขาตกตะลึงก็คือหลิงฮันเป็นอัจฉริยะที่มีศักยภาพของจักรพรรดิแท้ๆ ในยุทธภพนี้จะมีสัตว์ประหลาดที่เชี่ยวชาญศาสตร์สองศาสตร์ที่แตกต่างกันได้อย่างไร?
ส่วนที่เขาเบื่อก็เพราะเขาไม่มีความสนใจใดๆ ในศาสตร์ปรุงยา ทําให้เมื่อต้องฟังบทสนทนาของทั้งสอง เขาจึงทําได้เพียงหาวอย่างเบื่อหน่าย แต่หากท่านปูไม่อนุญาต มีรีที่เขาจะกล้าโดยพลการ
เพราะงั้นเขาจึงทําได้เพียงนั่งอยู่กับทั้งสองต่อไปด้วยความรู้สึกอึดอัด
ในที่สุดในอีกสิบวันต่อมา ทั้งสองคนก็หยุดพูด
“อืม…. ส่วนคําถามต่อไป”
“เอาไว้ที่หลัง เอาไว้ที่หลัง!” ฟู่เยว่รีบดึงร่างหลิงฮันลุกขึ้นยืนและเผ่นหนี เพียงแค่คําถามแรกก็ทําให้เขาต้องนั่งอย่างเบื่อหน่ายเป็นเวลาสิบวัน นี่ไม่คิดจะให้เขามีชีวิตอยู่ต่อเลยงั้นรึ ถึงได้ยังจะถามคําถามต่อ?