ตอนที่ 36 ผมเป็นผี!
“สงสัย ฉันไม่จำเป็นต้องใส่ให้คุณดูแล้ว”
หมอหลินเป็นผู้หญิงหัวโบราณจริงๆ แต่กลับไม่ใช่ผู้หญิงหัวโบราณที่ไม่กล้าโวยวายเพราะกลัวเสียชื่อเสียงจากการที่สามีมีภรรยาน้อยแบบนั้น
เธอรู้จักการประนีประนอมกับตัวเอง ขณะเดียวกัน เธอก็มีความเป็นตัวของตัวเอง
เธอสามารถบังคับตัวเองให้ยอมรับโจวเจ๋อที่ล่วงเกินตัวเองครั้งที่แล้วได้ และสามารถบังคับตัวเองให้ยอมรับอย่างช้าๆ ภายใต้เงื่อนไขที่ ‘สวีเล่อ’ (โจวเจ๋อ) นับวันยิ่งมีความคิดเป็นของตัวเองและมีพลังอำนาจมากขึ้น
แต่เธอไม่สามารถยอมรับโจวเจ๋อให้มีรักนอกสมรสได้ นี่คือเส้นขีดจำกัดของเธอ
เธอโกรธมาก
โกรธมากจริงๆ
กระทั่งอยากจะหมุนตัวเดินออกไปให้รู้แล้วรู้รอด
ตอนนี้ สาเหตุที่หมอหลินยังไม่ไปไหน เพราะกำลังรอการตอบสนองของโจวเจ๋อ ไม่ว่าอย่างไร โจวเจ๋อควรที่จะแสดงท่าทีอะไรบ้าง เรื่องระหว่างตัวเองกับเขา จะได้เป็นอันหลุดพ้นเสียที
ถึงแม้ว่ากลับไปจะต้องโดนแม่ตำหนิ ต้องเผชิญหน้ากับความโกรธของพ่อที่แต่งงานสร้างความอัปยศแก่วงศ์ตระกูล เธอก็ยินดีรับแต่โดยดี
ทว่า โจวเจ๋อกลับไม่มีการตอบสนองใดๆ
ไม่มีคำอธิบาย
ดูเหมือนจะยอมรับไปโดยปริยาย
ความสดใสที่อยู่ในนัยน์ตาของหมอหลินดูหม่นลงทันที
แม้แต่คำอธิบายก็ไม่จำเป็นแล้วใช่ไหม
แต่ในความเป็นจริง หมอหลินเข้าใจผิด ตอนนี้โจวเจ๋อไม่มีการตอบสนองอย่างสิ้นเชิง กระทั่งไม่ได้สนใจความรู้สึกของหมอหลินด้วย
เพราะในมุมมองของโจวเจ๋อ เขารู้สึกตกใจจนเส้นขนข้างหลังตั้งชัน
ศพผีสาวนี้…มีชีวิตแล้ว!
และไม่เหมือนการลงมาดื่มน้ำเหมือนเมื่อตอนกลางวันแน่นอน นางเดินมาอยู่ตรงหน้าตัวเองอย่างมีมารยาท แล้วพูดกับตัวเอง มีปฏิสัมพันธ์กับตัวเอง!
พอลองนึกเชื่อมโยงกับตอนกลางวันที่ตัวเองอยากให้นาง ‘ตื่น’ จึงใช้ ‘ปลายเล็บวาดเล่น’ บนกายของนาง
โจวเจ๋อฉุกคิดขึ้นมาได้ ในใจอยากจะวิ่งออกไปจากร้าน หนีไปให้ไกลได้ยิ่งดี
ตอนนี้สามารถอธิบายได้แล้วว่า ทำไมสวี่ชิงหล่างถึงจับหนังสือกลับหัว แล้วนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้นเหมือนไอ้งั่งเพราะว่าเขาไม่กล้าขยับเลยด้วยซ้ำ!
สถานการณ์ตอนนี้ตกอยู่ในความกระอักกระอ่วน
“สวัสดีเจ้าค่ะ” ศพผีสาวยิ้มมุมปาก หลังจากเอ่ยทักทายโจวเจ๋อว่า ‘ท่านกลับมาแล้ว’ เหมือนกับผู้หญิงชาวเกาหลีและญี่ปุ่นที่ยืนรอสามีกลับบ้าน เธอจงใจมองหลินหวั่นชิวด้วยแววตาขี้เล่น
“สวัสดีค่ะ” หมอหลินตอบกลับอย่างเย็นชา
โจวเจ๋อตอนนี้สูดลมหายใจลึกสุด เขายื่นมือหิ้วสวี่ชิงหล่างขึ้นมา พยายามบังคับให้สวี่ชิงหล่างลุกขึ้น
“หวั่นชิว ขอแนะนำคุณก่อนครับ นี่คือสวี่ชิงหล่างเพื่อนรักของผมควบตำแหน่งเถ้าแก่ร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ข้างๆและยังมีห้องชุดอีกยี่สิบห้อง”
“สวัสดีครับ” สวี่ชิงหล่างพูดกับหลินหวั่นชิว แต่สายตากลับจ้องไปที่ศพผีสาวที่อยู่ข้างๆ
เขาตกใจเหมือนนกกระทาน้อยตัวสั่นระริก
“สวัสดีค่ะ” หลินหวั่นชิวตอบ
“นี่คือ…” โจวเจ๋อชี้ไปที่ศพผีสาว “คือคนรักของสวี่ชิงหล่าง”
“ใช่…ว่าไงนะ” สวี่ชิงหล่างตกตะลึงงัน แต่วินาทีต่อมา มือของโจวเจ๋อกลับใช้แรงผลักเล็กน้อย จนสวี่ชิงหล่างตัวเซ เข้าไปติดกับศพผีสาว
“อ้อ นี่คือคนรักของผม เธอแซ่ไป๋ ชื่อว่าไป๋ซู ซะ…ไป๋ซูซู “สวี่ชิงหล่างมองหลินหวั่นชิว ขณะเดียวกันก็ได้ใช้มืออีกข้างหนึ่งวางไปบนไหล่ของศพผีสาวเพื่อแสดงความสนิทสนม
ทันใดนั้น ความรู้สึกเย็นเยียบเหมือนเมื่อคืนส่งความเสียวซ่านไปที่จิตวิญญาณของเขาโดยตรง
“อา…โอ้วๆๆๆ…ฮู้ๆๆ…โอ้ย…”
สวี่ชิงหล่างหลังจากตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าสองสามครั้งจึงปล่อยมือ เอ่ยว่า “ฮ่าๆ ที่รัก ตัวเธอนุ่มมาก ผมชอบลูบคุณจัง
ฮ่าๆๆๆ!”
“พวกคุณเชิญตามสบาย หวั่นชิว คุณออกมากับผมหน่อย ผมมีเรื่องอยากพูดกับคุณ”
ขณะที่พูด โจวเจ๋อก็จูงมือของหลินหวั่นชิวโดยตรง ไม่สนใจว่าเธอจะยินยอมหรือเปล่าแล้วดึงหลินหวั่นชิวออกมาจากร้านหนังสือทันที
“อ้าว สวีเล่อ ผมเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับคุณเหมือนกัน อย่างเช่นห้องของผมมีเยอะเกินไป อยากจะแบ่งห้องชุดให้คุณบ้าง”
สวี่ชิงหล่างโบกมือและแสร้งทำเหมือนจะเดินออกไปพร้อมกับโจวเจ๋อ
ศพผีสาวยืนอยู่ข้างๆ ไม่ขยับ ยืนอย่างสง่าสุภาพเรียบร้อยมีมารยาท
ทว่าสวี่ชิงหล่างกลับสัมผัสถึงความเย็นเยียบที่น่ากลัวบางอย่างกำลังวนอยู่รอบต้นคอของตัวเอง ดูเหมือนว่าหากตัวเองเดินออกไปข้างนอกหนึ่งก้าวก็จะถูกฉีกออกในชั่วพริบตา
สวี่ชิงหล่างเลือกที่จะหยุดเดินอย่างชาญลาด จากนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ
“ที่รักอย่าโกรธสิครับ จะเอาห้องให้คนอื่นได้ยังไง รอให้ประเทศของพวกเรามีนโยบายมีลูกยี่สิบคนก่อนแล้วค่อยให้ลูกๆ สืบทอดมรดกต่อ ถึงตอนนั้นคุณก็จะได้รับเหรียญแม่ผู้กล้าหาญ”
สวี่ชิงหล่างสีหน้าขมขื่น กลับไปนั่งที่เก้าอี้พลาสติกอีกครั้ง
โจวเจ๋อเดินจูงมือของหมอหลินออกมาจากร้านหนังสือ เดินมาที่จอดรถของหมอหลินที่อยู่ข้างทาง
“มีเรื่องอะไร พูดมาค่ะ” หมอหลินถาม
“ช่วงนี้ดูเหมือนคุณจะอ้วนขึ้น ตอนเย็นอย่ากินอาหารมื้อดึกนะครับ”
พูดจบ โจวเจ๋อจึงผลักหมอหลินไปที่รถ
“รีบขับรถกลับไปเลยครับ ตอนเย็นถ้าไม่มีอะไรทำก็วิ่งหรือกระโดดเชือกนะครับ”
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่คะ” หมอหลินจับโจวเจ๋อที่กำลังหมุนตัวกลับไปที่ร้านหนังสือ
“ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น คุณรีบกลับไปดีกว่าครับ” โจวเจ๋อพูดเร่ง
หมอหลินไม่พูดอะไรอีก เข้าไปนั่งในรถของตัวเอง สตาร์ทรถ สุดท้ายจึงมองโจวเจ๋อด้วยแววตาลึกซึ้งหนึ่งที แล้วจึงขับรถออกไป
โจวเจ๋อถอนหายใจโล่งอก จากนั้นจึงนั่งอยู่ข้างทาง จุดบุหรี่หนึ่งมวน
พูดตามความจริง เขาไม่อยากกลับไปที่ร้านหนังสือ และสติสัมปชัญญะบอกเขาว่า การเลือกที่จะไปกับหมอหลินเป็นตัวเลือกที่ฉลาดที่สุด แต่จะทำเช่นไรได้ ศพผีสาวตัวเองเป็นคนขุดขึ้นมาจากที่ดินผืนนั้นเอง
โจวเจ๋อไม่ใช่พ่อพระ เขากลัวความยุ่งยากมากจริงๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะยังไม่มองฐานะปัจจุบันที่ตัวเองเป็นยมทูตชั่วคราว กล่าวคือถ้าหากศพผีสาวก่อความวุ่นวายขึ้นมาในเมืองทงเฉิงบ้านเกิดของตัวเองอย่างกำเริบเสิบสาน เขาเองคงรู้สึกแย่เหมือนกัน
ส่วนสวี่ชิงหล่างที่ยังอยู่ในร้านหนังสือ
อ้อ สวี่ชิงหล่างยังอยู่ในร้านหนังสือ เกือบลืมไปแล้ว
ยังอยู่หรือว่าตายไปแล้ว
หรือว่ายังอยู่?
หลังจากพ่นควันบุหรี่ออกมา ก็ทิ้งก้นบุหรี่ในมือลงบนพื้น แล้วขยี้อย่างแรง ต่อจากนั้น โจวเจ๋อก็เดินตรงไปที่ร้านหนังสือ
ตอนที่เปิดประตูร้านหนังสือ แสงสีดำในนัยน์ตาของโจวเจ๋อเริ่มหมุนวน ขณะเดียวกัน เล็บมือก็ยาวออกมา
“ท่านกลับมาแล้ว”
ศพผีสาวยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ท่าทางงดงามชดช้อย แต่แววตาขี้เล่นแพรวพราวที่อยู่ในนัยน์ตา ยิ่งดูชัดเจนมากกว่าตอนที่หมอหลินอยู่
“กลับไปนอนบนชั้นสองให้ผมเสียโดยดี”
โจวเจ๋อชี้นิ้วดุว่าศพผีสาว ไม่ว่าจะสู้ได้หรือสู้ไม่ได้ ก็ต้องแสร้งทำเป็นเก่งอย่างไรก็ไม่เสียหาย
“พวกคุณชอบดูเร็กซ์หรือว่าจิสบอน ของผมมีอยู่ ผมจะไปหยิบมาให้พวกคุณ”
สวี่ชิงหล่างพูดพลางลุกขึ้นเดินไปข้างนอก
เขาเสียใจมาก
ตัวเองน่าจะย้ายบ้านไปตั้งแต่ตอนกลางวัน ทำไมต้องมาวนเวียนอยู่ที่นี่ต่อ
จากนั้นศพผีสาวก็ยื่นมือมาจับสวี่ชิงหล่างโดยตรง
สวี่ชิงหล่างพูดเสียงเพราะเหมือนผู้หญิงอยู่ในลำคอ “สวรรค์ไร้ขอบเขต ใจลึกลับคือธรรมะ!”
จากนั้นกระจกทองเหลืองก็ปรากฏอยู่ในมือของสวี่ชิงหล่าง แล้วชี้ไปที่ศพผีสาว
และในชั่วพริบตาเดียว กระจกทองเหลืองกลับระเบิดขึ้น สวี่ชิงหล่างลอยกระเด็นออกไป กระแทกกับผนังกำแพงของร้านหนังสือ
อิทธิฤทธิ์ของศพผีสาวน่ากลัวขนาดนี้เลย!
โจวเจ๋อพุ่งเข้าหาโดยตรง นี่คือการต่อสู้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรกของเขา และเขาก็ไม่มั่นใจเท่าไรนัก
จากนั้นสายตาของศพผีสาวกลับจ้องมองสองมือของโจวเจ๋อเป็นพิเศษ จากนั้นจึงเริ่มถอยหลัง ไม่กล้าเดินมาข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว
“แค่กๆ…”
สวี่ชิงหล่างคลานขึ้นมาจากพื้น จับเอวด้วยมือหนึ่ง เขาเดิมทีคิดว่าโจวเจ๋อจะถูกเหวี่ยงเหมือนตัวเอง แต่กลับเห็นโจวเจ๋อเดินเข้าหาศพผีสาวไม่หยุด จึงเกิดความรู้สึกไม่ยุติธรรมขึ้นมาในใจทันที
“เวรเอ๊ย ไม่ได้ยอมให้ใช่ไหม!”
ในที่สุด ศพผีสาวก็ถูกบีบบังคับให้ถอยหลังไปจนติดกำแพง แต่วินาทีต่อมา นางได้โกรธแล้ว และเป็นฝ่ายกระโจนเข้าหาโจวเจ๋อก่อน
โจวเจ๋อยื่นมือไปข้างหน้าแล้วคว้าจับโดยอัตโนมัติ
“ครืน…”
เสียงดังสนั่น
ศพผีสาวกระแทกกับกำแพงอย่างแรง จนกำแพงยุบเข้าไปเล็กน้อย
กระโปรงสีขาวตรงตำแหน่งหน้าอกของศพผีสาวที่กลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นถูกดึงขาด ถ้าหากไม่ได้ใส่ชุดชั้นในอยู่ข้างใน คงจะโป๊ไปนานแล้ว
“หะ โหดมาก!” สวี่ชิงหล่างตกตะลึงอ้าปากค้างอยู่ข้างๆ
ขณะเดียวกัน พอนึกได้ว่าตอนแรกตัวเองวางแผนจะบีบบังคับโจวเจ๋อเพื่อถามโจวเจ๋อเกี่ยวกับความลับในการยืมศพคืนชีพ แต่ตอนหลังกลับหวาดกลัวขึ้นมาทันที
เพื่อนบ้านคนนี้ของตัวเอง ไม่เคยลงไม้ลงมือมาก่อนจริงๆ สวี่ชิงหล่างรู้ดี ความหวาดกลัวและความระมัดระวังศพผีสาวของโจวเจ๋อก่อนหน้านั้นไม่ได้แสร้งทำออกมา
เหตุผลช่างง่ายมาก
เพื่อนบ้านคนนี้ แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต่อยเก่งขนาดนี้!
แต่ก็จริง โจวเจ๋อชกต่อยไม่เป็น
ตอนเด็กเติบโตมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่นั่นมีความใสสะอาด ความสัมพันธ์กับเด็กๆ ก็ดีมาก รู้จักเอาใจใส่กันและให้กำลังใจกันและกัน หลังจากโตก็มาเป็นหมอ เป็นงานที่ช่วยเหลือคน เวลาที่เหลือนอกจากงานโดยทั่วไปก็ไม่เคยสนใจฝึกฝนการต่อยมวยหรือคิกบ็อกซิ่ง
และเพราะเหตุนี้
โจวเจ๋อตอนนี้กำลังต่อสู้อยู่จริงๆ ตัวเองเขาก็ยังรู้สึกน่าเกลียดเล็กน้อย
เพราะว่าศพผีสาวกลัวเล็บของเขา ดังนั้นตอนที่โจวเจ๋อกำลังต่อสู้ จึงเหมือนกับพวกผู้หญิงปากร้ายใช้เล็บจิกหน้ากัน ไม่มีมาดของยมทูตเลยสักนิดเดียว
เมื่อเทียบกับความเท่ห์ของสาวที่อ้าปากท่องคาถา “ทางเดินสู่นรก ข้ามสู่แดนน้ำพุเหลือง” ยังต่างกันอีกเยอะ
แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่ใช่ปัญหา มีผลลัพธ์ก็พอแล้ว
สำหรับความรู้สึกของโจวเจ๋อที่อุ้มศพผีสาวกลับมาก่อนหน้านั้น กับเหตุการณ์ในตอนนี้ ช่างสวยงามยิ่งนัก
“โอ้ย!”
ศพผีสาวถูกโยนกระเด็นออกไปอีกครั้ง และทุกครั้งที่เข้าใกล้เล็บของโจวเจ๋อ อากาศสีดำที่อยู่บนเล็บจะทะลุเข้าสู่ร่างกายของนางภายในพริบตาและเกิดแผลขนาดใหญ่ให้กับนางด้วย
“สวรรค์ไร้ขอบเขต ใจลึกลับคือธรรมมะ!”
ยันต์กระดาษปรากฏขึ้นมาในมือของสวี่ชิงหล่าง แปะลงไปที่พื้นพร้อมกัน และชั่วเวลาหนึ่ง ความเย็นภายในร้านหนังสือเหมือนจะลดลงเพราะเหตุนี้ และทุกครั้งที่ศพผีสาวร่วงลงไปที่พื้น ยันต์กระดาษก็สั่นสะเทือน ร่างของศพผีสาวร้อนขึ้นทันที ราวกับมีไฟกำลังแผดเผา
ศพผีสาวมองตาขวาง นางไม่กล้าเผชิญหน้ากับโจวเจ๋ออีก และได้แต่พุงตัวทะลุผ่านไปจากด้านข้าง ความเร็วของนางรวดเร็วมาก พยายามจะกระแทกประตูกระจกร้านหนังสือให้แตกออกแล้วหนีออกไป
ทว่าตอนนี้โจวเจ๋อ กำลังมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังคำกล่าวที่ว่า ไม่เคยกินเนื้อหมูหรือว่าไม่เคยเห็นหมูมาก่อน
จากภาพยนตร์ฮ่องกงในวัยเด็กจนถึงภาพยนตร์กำลังภายในและแฟนตาซีเทพเซียน แต่ละสำนักทุกคนก็น่าจะเคยเห็นมามาก
โจวเจ๋อวาดสองมือตามแนวนอน นัยน์ตาดำขลับมองไปที่ประตูใหญ่
ตอนที่ศพผีสาวพยายามจะกระแทกประตูกระจกให้แตก กลับมีลำแสงสีดำปรากฏอยู่บนประตูกระจกในทันใดราวกับเป็นเล็บมือกำลังกรีดให้เป็นรอยอยู่บนนั้น
ศพผีสาวกรีดร้องออกมาอย่างน่าเวทนา กระเด็นกลับมาอย่างรุนแรง แล้วร่วงลงบนพื้น
โจวเจ๋อค่อยๆ เดินไปข้างหน้า และกำลังปรับลมหายใจของตัวเองให้สงบลงในเวลาเดียวกัน
ทว่าศพผีสาวที่ถูก ‘จับ’ กลับมาอีกครั้งกลับคุกเข่าลงกับพื้นโดยตรง มือข้างหนึ่งชี้ไปที่โจวเจ๋อ และเอามืออีกข้างหนึ่งปิดบังใบหน้าของตัวเองไว้
“ฮือๆๆๆๆๆ…”
“ข้าจะจัดการตัวประหลาดอย่างเจ้าให้ตาย!”
สวี่ชิงหล่างหยิบยันต์กระดาษออกมาอีกหนึ่งใบ
ศพผีสาวเริ่มชี้ไปที่โจวเจ๋อ แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน้อยเนื้อต่ำใจสุดๆ
“เจ้าลูบตัวข้า แถมยังตีข้า เจ้าไม่ใช่คน!”
โจวเจ๋อกระตุกมุมปากเมื่อรู้ตัว
ศพผีสาวที่สร้างแรงกดดันและความตกใจกลัวให้ตัวเองกับสวี่ชิงหล่างเมื่อครู่จู่ๆ ก็ทำตัวกระมิดกระเมี้ยนในทันใดรู้สึกงงจริงๆ
แต่โจวเจ๋อยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมเหมือนเดิม
“ผมเป็นผี”
…………………………………………………………………………