ตอนที่ 40 การเดินทางแห่งรัตติกาล
เมืองทงเฉิงในช่วงนี้เป็นสถานที่ ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ไม่ใช่เพราะเรื่องเศรษฐกิจ และก็ไม่ใช่เรื่องขนม แต่คือการสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัย
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่หกทั่วประเทศส่วนใหญ่ ข้อสอบของเมืองทงเฉิงสูสีกับข้อสอบของโรงเรียนมัธยมหวงกัง
แน่นอน เดิมทีเรื่องเหล่านี้สำหรับโจวเจ๋อแล้วไม่มีผลกระทบอะไร เพราะร้านหนังสือแห่งนี้ของเขาสลัดทิ้งการพึ่งพาอาศัย ‘ธุรกิจของคนเป็น’ มานานแล้ว
โดยยกระดับและเปลี่ยนทิศทางโครงสร้างของธุรกิจ หาเงินกับคนตายโดยสมบูรณ์
แต่ว่าชายร่างอ้วนที่มาหาตัวเองคราวที่แล้ว หลังจากนั้นก็มาหาตัวเองอีกครั้ง
จุดประสงค์เรียบง่ายมาก เทอมหน้าเป็นช่วงสอบปลายภาค ชายร่างอ้วนอยากทำงานใหญ่อีกสักงาน คือธุรกิจการโกงข้อสอบลับ
เรื่องนี้น่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลอีกมากมาย กระทั่งมีผลประโยชน์ที่ซับซ้อนวุ่นวายอยู่ โจวเจ๋อไม่ค่อยแน่ใจ ในความเป็นจริง โจวเจ๋อเชื่อว่าสวีเล่อเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเช่นกัน
สาเหตุที่ชายร่างอ้วนอยากจะดึงสวีเล่อเข้าร่วมด้วย ทั้งคราวที่แล้วและคราวนี้ ก็เพราะอยากอาศัยสายสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อนนักเรียนของสวีเล่อ
มีสวีเล่ออยู่ตรงกลาง จริงๆ แล้วถือว่าเป็นคนกลางที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจ
ดูโง่ๆ ทึ่มๆ แต่กลับทำให้คนอื่นไว้วางใจ
การโกงข้อสอบเป็นอุปสรรคที่ยากจะหลีกเลี่ยงอย่างหนึ่งของชีวิตสังคมปัจจุบันในประเทศทุกวันนี้ ถูกตีความหมายออกมาจากสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรม ‘ของเลียนแบบ’ ดูเหมือนจะคึกคักเร่าร้อนและเกริกก้อง กระทั่งเริ่มหลุดพ้นขอบเขตของความหมายในเชิงลบและเริ่มพัฒนาเป็นคำกลางๆ
แต่ไม่ว่าจะพูดเยอะแค่ไหนก็มีบทสรุปอันเดียว ในท้ายที่สุดก็คือผิดกฎหมายอยู่ดี ถึงแม้ตามแนวโน้มในปัจจุบัน จะทำให้ปรากฏการณ์ประเภทนี้เกือบจะไม่มีทางเป็นไปได้กว่านี้อีกแล้ว แต่หากจะโชคดีไม่ถูกจับตามอง อย่างไรก็เป็นเรื่องยากมาก
โจวเจ๋อปฏิเสธชายร่างอ้วน ชายร่างอ้วนจากไปอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะออกไปชายร่างาอ้วนจุดบุหรี่หนึ่งมวนอยู่หน้าประตูพลางลูบโซ่ทองของตัวเอง
แล้วทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคว่า
“โง่”
โจวเจ๋อนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างหลังเคาน์เตอร์ต่อไป การมาเยือนของชายร่างอ้วนไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต
ศพผีสาวทำตัวเหมือนอย่างเคย หลังจากเก็บกวาดเช็ดถูทำความสะอาดหนังสือแล้วก็นั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ นั่งพิงกำแพง เหมือนกับคนเหม่อลอยและเหมือนกำลังงีบหลัง
ชีวิตของคนทั้งสองอยู่ด้วยกันด้วยบรรยากาศเหมือนผ้าพันเท้าของคุณย่า
โจวเจ๋อมีชีวิตที่สุขใจและร่าเริง นึกถึงเรื่องที่ตัวเองรอคอยมากที่สุดในชีวิต ก็คือการใช้ชีวิตเหมือนอย่างตอนนี้ ปล่อยเวลาเลยผ่านให้เสียเปล่า อ่านหนังสือและนั่งเหม่อลอย
ไม่ต้องเตรียมเข้าห้องฉุกเฉินตรวจคนไข้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องเร่งตัวเองทุกนาทีให้ถีบตัวเองขึ้นมาทีละนิด
สำหรับศพผีสาว นางนอนอยู่ในโลงศพมาสองร้อยปีแล้ว จึงคุ้นชินกับความไร้ชีวิตชีวาและความเงียบมานานตอนนี้น่ะเหรอ นับเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อเทียบกับ ‘ความเงียบดุจสายน้ำ’ ของร้านหนังสือ สวี่ชิงหล่างกลับมีจิตใจที่ฮึกเหิมก้าวหน้ามากขึ้น เขามีฐานะมั่งคั่ง สำหรับการเรียนวิชาโหราศาสตร์จีนก็ไม่ได้มีความต้องการอะไรมาก ตรงกันข้ามกลับคิดว่าจะอาศัยความสามารถของตัวเองทำเงินและพัฒนาความก้าวหน้าได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ สวี่ชิงหล่างจึงรู้สึกไม่ค่อยพอใจความถดถอยของนายกับบ่าวคู่นี้เป็นอย่างมาก!
“ดูคุณสิ วันๆ เอาแต่ขี้เกียจเหมือนคนตาย” สวี่ชิงหล่างหลังจากที่ยุ่งงานที่ร้านมาทั้งวัน ตามปกติก็จะมาสูบบุหรี่และถือโอกาสพูดจาแดกดันโจวเจ๋อไปด้วย
“เดิมทีฉันก็เป็นคนตายอยู่แล้ว” โจวเจ๋อโบกมือ พ่นควันออกมา
“คุณดูคุณสิ เป็นคนที่มีอายุสองชั่วคน ตอนนี้ในมือมีเงินไม่กี่หยวน แต่ผมเป็นผู้ชายที่มีห้องชุดมากกว่ายี่สิบห้องและยังคงขยันทำงานต่อ”
จากนั้นก็เหมือนเดิม หลังจากดูถูกโจวเจ๋อแล้วก็คุยโวอวดตัวเอง
โจวเจ๋อเลือบตามองสวี่ชิงหล่าง ยิ้มเอ่ยว่า “คุณกำลังเตรียมสินสอดให้ตัวเองอยู่เหรอ”
“งาช้างย่อมไม่งอกออกจากปากสุนัข” สวี่ชิงหล่างเงยหน้า มองขึ้นฟ้า (หรือก็คือเพดาน) “ผมคิดว่าหลังจากแก่ตัวไป จะได้ใช้ชีวิตที่สุขสบายพอสมควร”
“ห้องชุดในโลกมนุษย์ยี่สิบกว่าห้องยังสามารถดึงผีสาวยกเกี้ยวมาสู่ขอนายกลับไปแต่งงานได้ งั้นนายก็ขยันเพิ่มขึ้นอีกหน่อย หาเงินให้เยอะแล้วซื้อห้องเพิ่ม คราวหน้าจะได้เลือกผีสาวแบบไหนที่เหมาะสมกับนายก็พอแล้ว ส่วนฉันยมทูตคนนี้ ก็พลอยได้อานิสงส์กับนายไปด้วย ได้ดีร่ำรวยแล้วก็อย่าลืมกันนะ”
“เหอะๆ” ศพผีสาวที่งีบหลับอยู่ข้างๆ ให้ความร่วมมือกับเถ้าแก่ของตัวเอง
“ใกล้จะแปดโมงแล้ว ผมต้องไปเตรียมตัวแล้ว” สวี่ชิงหล่างมองเวลาแล้วจึงพูด
“ทำอะไร” โจวเจ๋อแปลกใจเล็กน้อย
โดยทั่วไปแล้ว สวี่ชิงหล่างจะพักผ่อนตอนเย็นไวมาก
“วันนี้เป็นวันเปิดวัดขงจื๊อ และอีกสองสามเดือนก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วไม่ใช่เหรอ ญาติที่บ้านต่างจังหวัดของผม มีลูกที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้ เลยไหว้วานผมให้ไปจุดธูปบูชาที่วัดแทนเขา”
“เรื่องแบบนี้นายก็ยินดีทำเหรอ” โจวเจ๋อรู้จักนิสัยของสวี่ชิงหล่าง บอกว่าเขามีความหน่ายแหนงเห็นแก่ตัวมากไปนิด แต่อย่างไรก็ตามนอกจากหาเงินแล้วอย่างอื่นก็ขี้เกียจจะสนใจ
“ตอนเด็กเคยไปกินข้าวที่บ้านของเขา และเคยได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินจากครอบครัวของเขา ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองยังจะมีชีวิตอยู่ได้ จนถึงย้ายบ้านหรือไม่ ดังนั้นหนี้บุญคุณนี้จึงต้องตอบแทน” สวี่ชิงหล่างพูดจริงจัง
“อืม” โจวเจ๋อพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้น ไปด้วยกันไหม” สวี่ชิงหล่างเชื้อเชิญอย่างกะทันหัน “ช่วยผมแย่งจุดธูปคนแรก”
“วัดขงจื๊อหาธูปยากเหรอ”
“อืม อย่างไรก็ตามคุณก็คือคนดวงดีไม่ใช่เหรอ”
“ผมมีพลังไม่เยอะ” โจวเจ๋อเคยเห็นพวกที่แย่งจุดธูปคนแรกอย่างบ้าคลั่ง รูปร่างแบบเขานับว่าสู้ไม่ไหวจริงๆเว้นเสียแต่ว่าตัวเองใช้เล็บเบิกทาง แต่จะทำให้คนที่อยู่โดยรอบล้มลงก็ไม่ได้สินะ
“เชิญเธอสิ” สวี่ชิงหล่างชี้ไปที่ศพผีสาว “มีกำลังเยอะ ช่วยผมได้แน่นอน”
ศพผีสาวขมวดคิ้ว เตรียมจะตอกกลับ
“คุณอยากออกไปเดินเล่นไหม” สวี่ชิงหล่างเลิกคิ้วถาม
ศพผีสาวกำลังจะพูดตอกกลับ เลยต้องเก็บคำพูดเข้าไป แล้วยิ้มกว้างเหมือนดอกไม้บาน
ช่วงที่ผ่านมา นางไม่ได้ออกจากร้านหนังสือเลยแม้แต่ก้าวเดียว
ไม่มีทางอื่น โจวเจ๋อจึงได้แต่พยักหน้าตกลง เขาไม่วางใจที่จะให้ศพผีสาวออกไปข้างนอกคนเดียว อย่ามองว่าตอนนี้นางเป็นแค่สาวรับใช้รู้ใจเท่านั้น แต่จิตใจคนเรานั้นคาดเดายาก นับประสาอะไรกับผีดิบที่ไร้ ’หัวใจ’
โจวเจ๋อกระทั่งเชื่อว่า ถ้าหากวันไหนความสามารถของตัวเองลดลง คนที่จะจับตัวเองกินเป็นคนแรกอาจจะเป็นศพผีสาวที่ประจบประแจงตัวเองจนน่าสะอิดสะเอียนคนนี้ก็เป็นได้
ทั้งสามคนนั่งรถไปที่วัดขงจื๊อ ด้านนอกวัดขงจื๊อว่ากันว่าเต็มไปด้วยผู้คนล้นหลามดูจะพูดเกินจริงไปบ้าง แต่ก็โอบล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย สงสารจิตใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่จริงๆ
สวี่ชิงหล่างกับสองสามีภรรยาที่เขาพูดถึง ได้เจอกันข้างนอกวัดพอดี ทั้งสองคนดูแล้วเป็นผู้ใหญ่วัยกลางคนที่ซื่อสัตย์จริงใจมาก
ลูกชายของพวกเขาแน่นอนว่าไม่ได้มา ทุกคนตอนนี้มาเพื่อแย่งความโชคดี แต่ไม่มีใครตาบอดจนหลงเชื่อว่าอาศัยเจ้าสิ่งนี้แล้วจะสอบเข้าได้จริง ที่วัดตอนนี้ส่วนใหญ่แล้วไม่เห็นเด็กนักเรียนเลย น่าจะกำลังเรียนหนังสืออยู่ที่บ้านมากกว่า
วัดขงจื๊อในทงเฉิงเพิ่งจะทำพิธี ‘ล้างประตู’ ส่วนที่ว่าทำไมไม่ทำปีที่แล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าพวกบรมครูในวัดขงจื๊ออาจจะรู้สึกว่าช่วยแย่งจุดธูปให้ปีศาจวัวและวิญญาณงูกับพวกผีและสัตว์ประหลาดในวันตรุษจีนคือการหมิ่นประมาทฐานะตัวเอง
สู้รอปีถัดไปจะดีว่า
เมื่อมองดูความเงียบเหงาไม่คึกคักตรงประตูหน้าของพวกคุณ กับฉันที่มีคนศรัทธาบูชามากมายดุจปุยเมฆ เห็นได้ชัดถึงความเท่เป็นอย่างมาก
ส่วนเหตุผลอื่นรวมทั้งสถานที่อื่นในประเทศจะเป็นเช่นไร โจวเจ๋อก็ไม่รู้ ความหมายของประเพณีก็คือกฎเกณฑ์ที่ยากจะเข้าใจ ใครก็ไม่ชัดเจน
ก็เหมือนกับเรื่องของพ่อตาจูบลูกสะใภ้ในงานแต่งงาน ในเมืองที่อยู่ถัดไปจากเมืองทงเฉิงที่เป็นข่าวดังอึกทึกครึกโครมช่วงล่าสุด ยังเชื่อมโยงไปถึงสิ่งที่เรียกว่าประเพณีได้ขนาดนี้ ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลอะไรให้พูดอีก
เสียงเปิดประตูดัง ‘ครืด’
ประตูไม้แดงถูกเปิดออก
จากนั้นเหล่าผู้ปกครองทั้งหลายที่รออยู่ด้านนอกก็เหมือนกลายร่างเป็น ‘สัตว์ป่า’ วิ่งกรูเข้าไปในวัดขงจื๊อ
ศพผีสาวคอยอยู่แถวหน้า สวี่ชิงหล่างก็พาสามีภรรยาที่เป็นญาติของตัวเอง เดินตามติดๆ อยู่ด้านข้าง ทำมาดเหมือนจูล่งหรือจ้าวจื่อหลงฝ่าทัพช่วยอาเต๊าที่เนินเตียงปันโป๋หรือฉางป่านปัว
โจวเจ๋อไม่ได้เข้าไปร่วมสนุกด้วย เขานั่งยองๆ อยู่ที่ขอบถนนนอกประตูแล้วสูบบุหรี่
ขณะที่สูบบุหรี่ โจวเจ๋อแปลกใจพบว่าบุหรี่ที่อยู่ในมือของตัวเองจู่ๆ ก็ดับไป
โจวเจ๋อจึงจุดใหม่อีกครั้ง แต่พอสูบอีกครั้ง กลับไม่มีรสชาติขึ้นมาในทันใด
“เหอะๆ” โจวเจ๋อทิ้งบุหรี่ มองไปรอบๆ เขารู้ดีว่า บุหรี่มวนนี้ของตน ถูกคนนำไปเป็นของเซ่นไหว้เรียบร้อยแล้ว
ไม่รับธูป และไม่รับของเซ่นไหว้
แต่อยากสูบบุหรี่ที่เป็นของมนุษย์สักหน่อยเท่านั้นเอง
และก็ไม่รู้ว่าเป็นวิญญาณวัวหรือวิญญาณงูที่ไหน
แต่โจวเจ๋อไม่โกรธ “จริงๆ เลย กล้าแย่งบุหรี่ของฉัน”
เมื่อหนึ่งเดือนก่อนเขายังเป็นผู้ลักลอบ หลังจากครึ่งเดือนผ่านไปก็กลายเป็นพนักงานชั่วคราว ไม่ได้รับพลังอันยิ่งใหญ่อย่าง ‘ไก่สุนัขขึ้นสวรรค์ไปด้วยกัน[1]’ รวมทั้ง ‘จงเปิดทางให้ข้า’ เลยสักนิด
“มง!” เสียงฆ้องดังขึ้น
ดึกขนาดนี้ กลับเสียงที่ดังชัดแจ๋วและแสบแก้วหูขนาดนี้
โจวเจ๋อมองไปตามเสียง
ภายในแปลงสวนดอกไม้ด้านหลังวัดขงจื๊อ มีชายชราร่างเล็กเหมือนคนแคระเดินออกมาคนหนึ่ง ชายชราถือฆ้องตัวหนึ่งอยู่ในมือ ปากคาบบุหรี่หนึ่งมวน แล้วกระโดดโลดเต้นเดินออกมาข้างนอก
ชายชราเหลือบมองโจวเจ๋ออย่างตั้งใจ พออ้าปากก็พ่นควันบุหรี่ออกมา ดูเหมือนจะขอบคุณบุหรี่ของโจวเจ๋อ
โจวเจ๋อจึงยิ้มๆ
จากนั้นจึงนำบุหรี่ที่อยู่ในมือจุดด้วยไฟแช็กทั้งหมด แล้ววางลงบนพื้น โดยเหลือให้ตัวเองสูบเพียงหนึ่งมวน
ในไม่ช้า บุหรี่ที่อยู่บนพื้นก็ดับหมด ชายชราร่างเล็กเหมือนคนแคระยิ่งกระโดดอย่างมีความสุข และรู้สึกชอบใจเด็กรุ่นหลังที่รู้การรู้งานคนนี้มากขึ้น กระเป๋ากางเกงของเขาตุง น่าจะเต็มไปด้วยบุหรี่
ชายชราร่างเล็กเหมือนคนแคระตีฆ้องเปิดทาง
และข้างหลังของเขา มีคนกลุ่มหนึ่งเดินตามออกมาอย่างช้าๆ
ไม่ใช่เหล่าผู้ปกครองที่เบียดกันเข้าไปในวัดขงจื๊อ
แต่เป็นกลุ่มคนที่แต่งตัวแปลกประหลาด
สองสามคนแรกที่อยู่ด้านหน้าสุด ถือพัดขนนก เดินโซเซ ใบหน้าเศร้าหมอง เดินตามฝีเท้าของชายชราไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
หลังจากนั้นก็ยังมีอีกสองคนที่ไว้ผมเปียเส้นใหญ่มันเยิ้ม แววตาเหม่อลอย และยังเดินตามชายชราไปข้างหน้า
และคนที่เดินตามข้างหลังอีกบางส่วน เริ่มแต่งตัวทันสมัยมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นอีกสองสามคนสุดท้าย กระทั่งใส่เสื้อผ้าในยุคปัจจุบัน ไม่ต่างจากนักเรียนชั้นมัธยมปลายทั่วไป
แต่สีหน้าของพวกเขาค่อนข้างเขียว และกะโหลกศีรษะแตก
เนื่องจากเป็นความเคยชินในสายอาชีพ โจวเจ๋อสามารถวิเคราะห์นักเรียนสองสามคนที่อยู่ข้างหลังได้อย่างรวดเร็วถ้าไม่กินยาพิษตาย ก็ต้องกระโดดตึกตาย
มีหนึ่งคนในนั้นที่โจวเจ๋อค่อนข้างคุ้นหน้า ดูเหมือนจะเคยเห็นรูปของเขาในข่าวเมื่อสองสามปีก่อน เพราะมีการเลียนแบบการทำข้อสอบจริงครั้งหนึ่งทีทำพลาด และด้วยความกดดัน จึงกระโดดตึกฆ่าตัวตาย
ชายชราร่างเล็กเหมือนคนแคระ เคาะฆ้องพร้อมกับเดินไปข้างหน้า พวก ‘กลุ่มนักเรียนทั้งหลาย’ ที่อยู่ข้างหลัง เหมือนกับหุ่นเชิดก็ไม่ปานเดินตามเขาไปข้างหน้าด้วย
พวกเขาดูเหมือนกับกลุ่มนักท่องเที่ยว เดินวนรอบวัดขงจื๊อ
ส่วนคนอื่นที่อยู่บริเวณนี้ นอกจากโจวเจ๋อแล้วก็ไม่มีใครมองเห็นพวกเขา
“มง!” เสียงฆ้องดังหนึ่งครั้ง
“บ้านสงบสุขไม่ต้องอยู่ตึกสูงใหญ่ ในหนังสือมีห้องทองคำ!” ชายชราร่างเล็กเหมือนคนแคระตะโกนด้วยเสียงสูงที่แหบแห้ง
“มง!” เสียงฆ้องดังอีกครั้ง
“แต่งภรรยาอย่าเกลียดที่ไม่มีแม่สื่อที่ดี ในหนังสือมีหยกงาม!”
ชายชราร่างเล็กเหมือนคนแคระตะโกนต่อ
หลังจากเดินวนรอบวัดขงจื๊อสามรอบแล้ว กลุ่มคนแปลกประหลาดก็ค่อยๆ หายไป
สักพักหนึ่ง เหล่าผู้ปกครองทีจุดธูปเสร็จแล้วก็เริ่มเดินออกมาจากวัดขงจื๊อ
พวกเขามีใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข มีความหวัง พร้อมกับเฝ้ารอคอยวันที่ลูกจะกลายเป็นมังกร
…………………………………………………………………………
[1] ไก่สุนัขขึ้นสวรรค์ไปด้วยกัน หมายถึง เมื่อใครคนหนึ่งได้ดี ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงก็พลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย