ตอนที่ 63 อะไรกัน!
ผ่านมาสามวันแล้ว หลังจากปฏิเสธหวังเคอไปในคราวก่อน เดิมทีโจวเจ๋อลืมเรื่องนั้นไปแล้ว ในตอนกลางวันไป๋อิงอิงไม่มีอะไรทำ ก็หนีไปเล่นเกมคอมพิวเตอร์ในร้านสวี่ชิงหล่าง แต่สวี่ชิงหล่างกลับหนีมาอ่านหนังสือพิมพ์และคุยกับโจวเจ๋อในร้านหนังสือ
แม้ว่าผู้กำกับจ้าวเคยบอกสวี่ชิงหล่างเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า ชีวิตคนเราอย่าเอาแต่นอนอยู่บนบ้าน มันเสียเวลาไปเปล่าประโยชน์ สวี่ชิงหล่างก็รับปากแล้ว
ใช่ ความเกียจคร้านไม่ทำให้คนประสบความสำเร็จ
แต่ ความเกียจคร้านทำให้คนสบายนี่นา
สวี่ชิงหล่างยังคงดำดิ่ง ในช่วงสามวันที่ผ่านมา นอกจากโจวเจ๋อและตัวเองที่กินข้าวในร้านของเขาแล้ว ล้วนแล้วแต่ไม่เปิดเตาไฟ แม้แต่แอปพลิเคชันดิลิเวอรี่ก็ไม่เปิดดู อยู่ในสถานะ ‘ปิดทำการ’ อยู่ตลอด
ตอนเที่ยงโจวเจ๋อกินมื้อกลางวันกับน้ำสตรอเบอรี่ ขณะเดินเล่นอยู่หน้าร้านหนังสือก็เห็นรถเก๋งสีแดงที่คุ้นเคยกำลังแล่นเข้ามา
นี่ทำให้โจวเจ๋อพูดไม่ออกเล็กน้อย เพิ่งสามวันเอง ผู้หญิงคนนี้จะทำผมอีกแล้วเหรอ
ทำผมมากเกินไปอาจทำให้ผมเสียได้ง่ายนะ
ในไม่ช้าผู้หญิงคนนั้นก็หยุดรถ แต่แล้วหวังเคอก็ลงจากรถด้วย
หวังเคอวิ่งไปด้านหน้าโจวเจ๋อ มองไปที่โจวเจ๋อ และกล่าวว่า
“ช่วยผมด้วย”
เรียบง่ายมาก
ตรงไปตรงมามากเช่นกัน
แค่เพียงสองคำนี้
ไม่มีการเกริ่นมาก่อนหน้านี้ หมายความว่าสองคำนี้ขยายไปที่ประเด็นก่อนหน้านี้ นั่นก็คือผู้ป่วยในแม่กับลูกสาวคนนั้น ที่อยู่ในร่างเดียวกันคนนั้น
“เรื่องร้ายแรงขึ้นแล้ว บุคลิกของเธอเริ่มผิดปกติแล้ว” หวังเคอพูดอย่างร้อนรน “คุณจำเป็นต้องช่วยผม”
โจวเจ๋อยักไหล่
ความหมายง่ายมาก
‘ขอโทษด้วย
ผมไม่อยากมีส่วนร่วมในเรื่องนี้’
เดิมทีปัญหาง่ายๆ อย่างหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง ผลกลับกลายเป็นปัญหาที่ร้ายแรงกว่าเดิม นี่คือภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ
หนึ่งในนั้นหวังเคอคิดถึงแต่สถานการณ์ของนักลงทุนและขาดจริยธรรมและหน้าที่การเป็นหมอ
“ผมไม่มีเวลา” โจวเจ๋อชี้ไปที่ร้านหนังสือของเขา “ผมต้องเฝ้าร้าน”
ถ้าคิดจะปฏิเสธ ก็แค่มีข้ออ้างและเหตุผล แม้ว่ามีเหตุก็พอแล้ว แม้ว่าเหตุผลและข้ออ้างจะแย่มาก แต่ก็ไม่สำคัญอะไร
“รายได้ของคุณในแต่ละวันเท่าไร ผมจะชดเชยให้คุณสิบเท่า”
หวังเคอพูดอย่างตรงไปตรงมา
“คุณไปกับผมสักครั้งนะ ผมว่าคุณสามารถช่วยได้ เมื่อคืนนี้เธอเกือบฆ่าตัวตายได้สำเร็จ ถ้าไม่พบเธอให้เร็วกว่านี้ละก็ ตอนนี้ก็คงกลายเป็นศพไปแล้ว!”
โจวเจ๋อเจ็บปวดมาก
เพื่อนบ้านของตัวเองรวยกว่าตัวเอง
ภรรยาของตัวเองรวยกว่าตัวเอง
บ่าวรับใช้ของตัวเองรวยกว่าตัวเอง
เพื่อนสนิทของตัวเองยังพูดว่ารายได้ของคุณในแต่ละวันเท่าไร ผมจะชดเชยให้คุณสิบเท่าออกมาอีก
เจ็บปวดมากเหลือเกิน
เจ็บปวดจนโจวเจ๋ออยากเจอ ‘สาวน้อยโลลิ’ ในครั้งหน้าและขอให้เธอช่วยตรวจสอบตัวเองหน่อยว่าตัวเองเป็นชะตาผียากจนแต่กำเนิดหรือเปล่า ทำไมเป็นคนทั้งสองชาติถึงได้ยากจนขนาดนี้
“มันเป็นเรื่องของความรู้สึกและราคาที่วัดค่าไม่ได้” โจวเจ๋อไม่ยอมไปจริงๆ เขาเป็นศัลยแพทย์ พูดตามตรง เขารู้เกี่ยวกับจิตวิทยาเพียงผิวเผินเท่านั้น
“ไปกับผมสักครั้ง ช่วยผมด้วยอีกแรง!”
หวังเคอคว้ามือโจวเจ๋อเอาไว้
นี่ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกไม่ชินนิดหน่อย
แม้แต่สวี่ชิงหล่างผู้ชายที่สวยกว่าผู้หญิง ก็ไม่เคยทำแบบนี้กับตัวเองเลย เขาก้าวถอยหลังทันทีและอยากจะดึงมือออก แต่หวังเคอจับมือเขาไว้แน่น
โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย
แล้วยังจะมาบีบบังคับอีกน่ะเหรอ
เมื่อโจวเจ๋อกำลังจะโกรธ
หวังเคอก็ลดเสียงเบาลงและพูดว่า
“อาเจ๋อ ช่วยฉันด้วย!”
ดวงตาของโจวเจ๋อเบิกโพลงขึ้นทันที ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่หวังเคอ
เมื่อกี้เขาเรียกตัวเองว่าอะไรนะ
หวังเคอสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างต่อเนื่อง และพูดว่า “ถ้าเรื่องในครั้งนี้จัดการไม่ได้ละก็ อาชีพของฉันก็จะจบลง ฉันไม่ได้โกหกนะ ตอนแรกฉันแนะนำให้นักลงทุนคนนั้นของฉัน เลือกการรักษาคนสองบุคลิก ฉันบอกเขาว่า ฉันสามารถรักษาได้ดีและจัดการได้ ตอนนี้ ฉันตื่นตระหนก ฉันทำอะไรไม่ถูก ฉันทำได้เพียงต้องพึ่งพานายได้เท่านั้น”
“เมื่อกี้คุณเรียกผมว่าอะไรนะ” โจวเจ๋อลดเสียงลง
สวี่ชิงหล่างบังเอิญเดินออกจากร้าน มาสูบบุหรี่พอดี มองดูชายสองคนจับมือกัน ‘กระซิบกระซาบ’ บวกกับ ‘ใกล้ชิดกระหนุงกระหนิง’ เบาๆ อยู่ด้านนอก
ทันใดนั้นก็สูดอากาศเย็นเข้าปอด เพียงแค่รู้สึกว่าฟันของตัวเองปวดมาก และถอนหายใจ
“อนาจาร อนาจารนะเนี่ย!”
ภรรยาของหวังเคอรวมทั้งไป๋อิงอิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นผู้ชายของแต่ละฝ่ายพูดคุยความลับกันอย่างใกล้ชิด และรู้สึกว่ามันยากที่จะเข้าใจนิดหน่อย
“อาเจ๋อ ช่วยฉันด้วย!”
หวังเคอพูดซ้ำ
เขาดูออก เขามองออกตั้งนานแล้ว แต่เขาแกล้งโง่มาตลอด
หรือบางทีเขาอาจไม่แน่ใจ อีกทั้งการค้นพบและการอนุมานนี้น่าตกใจเกินไป แต่ในเวลานี้ เขาทำได้เพียงหวังว่าจะได้รับการช่วยเหลือจากโจวเจ๋อ
โจวเจ๋อกัดริมฝีปาก เงยหน้าขึ้น และพยักหน้า
เขาตอบตกลงแล้ว
เขาไม่มีทางที่จะไม่ตอบตกลง
เช่นเดียวกับตอนที่เขาไปหาหวังเคอที่บ้านของหวังเคอ และโพล่งชื่อโจวเจ๋อออกไป และหวังเคอก็ได้วางงานที่สำคัญที่สุดในมือลงเพื่อช่วยตัวเองดูอาการก่อนอย่างไรล่ะ
ตอนนี้
หวังเคอพูดชื่อของตัวเองออกมา ตัวเองที่อยู่ข้างหน้าเขาตอนนี้ไม่ใช่สวีเล่ออีกต่อไป แต่ทว่าเป็นโจวเจ๋อ ดังนั้นจึงไม่มีช่องว่างในการปฏิเสธแล้ว
ในฐานะเด็กที่เติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยกัน แม้ว่าโดยพื้นฐานแล้วทั้งสองจะหยุดติดต่อกันหลังจากเรียนจบ เข้าทำงาน และต่อสู้ดิ้นรนในด้านต่างๆ ของแต่ละคน แต่ความทรงจำที่เติบโตมาด้วยกัน ให้กำลังใจและช่วยเหลือกันเมื่อครั้งยังเป็นเด็กก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม
“ไปสิ ขึ้นรถ”
หวังเคอไม่อดทนช่วยโจวเจ๋อเปิดประตูรถ และโจวเจ๋อก็เข้าไปในรถ
หวังเคอและโจวเจ๋อนั่งเบาะหลังด้วยกัน และคุณนายเป็นฝ่ายขับรถ
เป็นเวลาสักพักใหญ่ที่ไม่มีใครพูดอะไรบนรถ
ทำให้คุณนายที่ขับรถนี้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
โจวเจ๋อเปิดกระจกรถเพื่อให้ลมจากภายนอกเข้ามาบ้างแล้วพูดว่า
“พี่รู้ได้อย่างไร”
“โตมาด้วยกัน ความเคยชินในการใช้ชีวิตประจำวัน พฤติกรรมรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ” หวังเคอพูดพลางก็ใช้นิ้วเคาะศีรษะของตัวเอง” “อีกอย่าง ฉันเป็นมืออาชีพในสายนี้ด้วย”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของโจวเจ๋อและก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
แต่หวังเคอกลับพูดต่อ “เมื่อช่วยฉันจัดการปัญหานี้ได้ ฉันจะไม่นึกถึงนายและจะไม่ติดต่อนายไปอีก จะไม่รบกวนนายด้วย และฉันก็ไม่มีความสงสัยอย่างอื่นอีก ตรงนี้ นายเชื่อพี่หรือเปล่า”
“พี่ยังเป็น…พี่คนเดิมไหมล่ะ” โจวเจ๋อถามกลับ
“ครั้งที่แล้วมีคนชื่อสวีเล่อมาเคาะประตูบ้านฉันกลางดึกและบอกว่าโจวเจ๋อแนะนำมา แล้วฉันทำอย่างไรล่ะ”
โจวเจ๋อพยักหน้า
ผ่านไปสักพัก โจวเจ๋อก็พูดขึ้น “ผมเป็นศัลยแพทย์นะ”
หมายความว่าที่พี่เรียกฉันมา ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ผมไม่ใช่จิตแพทย์เสียหน่อย
เว้นเสียแต่ว่าเด็กสาวคนนั้นจะฆ่าตัวตายอีกครั้ง ตัวเองก็ไม่มีปัญหาในการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ แต่สำหรับเรื่องอื่นๆ เขาไม่มีอำนาจจริงๆ
“ฉันสงสัยมานานแล้วว่าเธอไม่ได้เป็นแค่คนบุคลิกแตกแยก” หวังเคอเหลือบมองภรรยาของเขาที่กำลังขับรถอยู่และพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“อ้อ” โจวเจ๋ออึ้งไปครู่หนึ่ง
จากนั้นก็เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
มีอะไรที่คล้ายกับ ‘บุคลิกภาพแตกแยก’ กันล่ะ
ผีสิงร่าง!
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ครั้งที่แล้ว หวังเคอมาหาตัวและบอกว่าบุคลิกที่สองของเขาสามารถเชื่อมโยงกับบุคลิกที่สองของอีกฝ่ายได้
บ้าเอ้ย ความหมายนี้ก็คือ
ผีอย่างพวกนายสื่อสารกับผีด้วยกันได้!
แม่ง!
…
ที่นี่เป็นพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ที่สุดในทงเฉิง ตั้งอยู่ที่เชิงเขาหลางซาน มีวิลล่าระดับไฮเอนด์หลายๆ หลัง เมื่อรถแล่นเข้ามา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนก็ทักทายผู้คนในรถที่หน้าประตู
นี่ทำให้โจวเจ๋ออดไม่ได้ที่จะนึกถึงชุมชนนั้นที่ตัวเองอาศัยอยู่ในชาติที่แล้ว โดยทั่วไปแล้วตอนกลางคืนนั้นยามแก่ๆ มักจะอู้งานและนอนหลับอยู่ในป้อมยามเสมอ
แน่นอนหวังเคอไม่รู้ว่าโจวเจ๋อกำลังทุกข์ทรมานจากช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนในเวลานี้ และคิดว่าโจวเจ๋อหดหู่เพราะตัวเองมองเห็นทะลุตัวตนของเขา
รถแล่นไปที่ประตูบ้านพัก และก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาเป็นพ่อบ้านของที่นี่
“หมอหวัง คุณเจิ้งกำลังโกรธอยู่ครับ” แม่บ้านเตือน
“เกิดเรื่องกับคุณหนูเจิ้งอีกแล้วเหรอครับ” สีหน้าของหวังเคอเริ่มเคร่งขรึม
“ไม่ใช่…มันเป็นแบบว่า…” พ่อบ้านหนุ่มไม่สามารถพูดอะไรได้ และสุดท้ายก็พูดได้เพียงว่า “ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต คราวนี้ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย”
หวังเคอและโจวเจ๋อลงจากรถและเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองทันที ภรรยาของหวังเคอไม่ได้ตามมาด้วย
บนชั้นสองมีห้องหลายห้องปูด้วยพรมแดง คฤหาสน์มีขนาดใหญ่มาก แต่รูปแบบการตกแต่งดูไม่หยาบคายและหรูหรามาก ซึ่งแสดงว่าเจ้าบ้านไม่ใช่พวกบ้าวัตถุนิยม ตรงกันข้ามเขาน่าจะเป็นคนมีสไตล์มาก
หลังจากเลี้ยวมุม โจวเจ๋อก็เห็นชายวัยกลางคนผมหงอกขาวครึ่งหัวยืนอยู่ที่ประตูห้องนอน ชายคนนั้นคีบซิการ์ไว้ในมือและใบหน้าดูเศร้าหมอง
เมื่อเขาเห็นหวังเคอและโจวเจ๋อเดินใกล้เข้ามา ความโกรธในดวงตาตอนแรกก็หายวับไป จากนั้นก็เผยรอยยิ้มอบอุ่นและพูดอย่างช่วยไม่ได้
“หมอหวัง ผิงผิงเธอเอาอีกแล้ว…”
“เป็นอะไรเหรอครับคุณเจิ้ง” หวังเคอดูร้อนรนเช่นกัน
เขาเป็นหมอที่ดูแลเจิ้งผิง ตอนนี้เรื่องราวกลับกลายเป็นอย่างนี้ไปเสียได้ เขาไม่สามารถหนีความรับผิดชอบได้ อีกทั้งเขารู้ดีว่านักธุรกิจผู้มั่งคั่งที่อยู่ตรงหน้า คงไม่พอใจตัวเองมาก แต่อีกฝ่ายหนึ่งรู้ดีว่าจะโมโหตอนนี้ไป ก็ไม่มีความหมาย จึงควบคุมเอาไว้เท่านั้นเอง
“คุณดูเอาเองเถอะ”
คุณเจิ้งส่งสัญญาณไปที่ชายหนุ่มสองคนที่ประตู เพื่อเปิดประตูห้องนอนให้หวังเคอและโจวเจ๋อเดินเข้าไป
มีพี่เลี้ยงสองคนคอยดูแลอยู่ข้างๆ และตรงกลางมีเด็กสาวคนหนึ่งสวมกระโปรง แขนพันเป็นแถบผ้ากำลังเต้นรำอย่างสง่างาม และร้องเพลง ‘การละเล่นของเด็ก’ ด้วยน้ำเสียงไพเราะ
หวังเคอตกตะลึง “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้”
โจวเจ๋อสังเกตว่าข้อมือของเด็กสาวถูกพันด้วยผ้าก๊อซ น่าจะเป็นตอนที่พยายามฆ่าตัวตายด้วยการกรีดข้อมือตัวเองแต่ก็ทำไม่สำเร็จ
หญิงสาวกระโดดโลดเต้น ดูเหมือนว่าเห็นคนสองคนที่เดินเข้ามา รีบร้องเสียงสูงในทันทีและโบกผ้าชี้ไปที่หวังเคอแล้วร้องเพลง
“ชีวิตแห่งความเหงาโดดเดี่ยวและเป็นม่าย เอาชนะกำพร้า
ตรากตรำงานหนักลำบากชั่วชีวิต เพียงเพื่อชุดแต่งงาน
ภรรยาลาจากลูกพลัดพราก ความสัมพันธ์ใกล้ชิดแสนเจ็บปวดและหดหู่เมื่อถูกตีตัวออกห่าง!”
เด็กสาวร้องเพลงพลางเอาแขนเสื้อปกปิดซ่อนน้ำตา ดูเหมือนเสียใจกับมัน
หวังเคอมึนงง ไม่รู้ว่าเธอกำลังร้องเพลงอะไร
แต่โจวเจ๋อฟังแล้วเข้าใจ
หญิงสาวโบกแขนเสื้อให้โจวเจ๋ออีกครั้งและร้องเพลงพร้อมกัน
“อยู่ลำพังอย่างลำบากไร้ที่พึ่งตั้งแต่เด็ก หวาดผวาโดดเดี่ยว
ปีนป่ายไปจนได้เลื่อนยศตามขั้นบันได กลับลงเอยตายก่อนวัยอันควรและตกลงไปในใต้พิภพ น่าเศร้าจริงๆ…”
ร้องไป ร้อง หัวเราะหึๆ ไป
จู่ๆ เด็กสาวก็หยุดร้องกะทันหัน
เหมือนกับเครื่องเล่นเทปเก่าที่จู่ๆ เทปเสียงก็สะดุด
จากนั้นใบหน้าเด็กสาวก็ดูงุนงง โบกเสื้อแขนยาวอีกครั้งแล้วร้องเพลง
“เกิดมาพร้อมกับเรือนร่างที่ดี แต่ภายในเต็มไปด้วยหญ้า!
ชายคนนั้นมีทองคำอยู่ใต้เข่า แต่กลับไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ!
ในที่สุดก็มาที่โลกโดยเปล่าประโยชน์…”
ตอนนี้
เด็กสาวเทปเสียงสะดุดอีกแล้ว
จากนั้นเด็กสาวก็กรีดร้องออกมา
ตกใจจนทรุดลงกับพื้น เห็นได้ชัดว่าใต้กางเกงเปียกชุ่มเป็นวงใหญ่
ชี้นิ้วไปที่โจวเจ๋อ ร้องไห้ออกมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“ผะ…ผี…ผี!
……………………………………………………