ตอนที่ 246 สาเหตุ…ที่แท้จริง!
เขาสามารถรับรู้ความรู้สึกภายนอกได้อย่างสะลึมสะลือ แต่ศีรษะของเขายังหนักอึ้งมาก ทั้งๆ ที่รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองน่าจะนอนสลบไป แต่ทำไม่สำเร็จ ความรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นแบบนี้ทรมานที่สุด
เมื่อก่อนโจวเจ๋อเคยฟังถังซือพูดว่า ตอนแรกเธออยากจะนอนหลับจึงลองทุกวิถีทาง พวกยานอนหลับ ยาชาพวกนี้เป็นของเด็กๆ เว้นเสียแต่ว่าทำตัวเองสะบักสะบอมจนร่างกายทนไม่ไหว ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีผลต่อการนอนหลับเลยสักนิด
คนที่คลานออกมาจากนรก ก็เหมือนปลาที่ออกจากน้ำ เมื่อขาดสภาพแวดล้อมของนรกจึงไม่สามารถปรับตัวได้
สมองของเขาแทบระเบิด เหมือนกับคนที่ฝันร้ายวนเวียนอย่างต่อเนื่อง ย้อนกลับไปกลับมาจากความฝันนี้ไปสู่อีกความฝันหนึ่งไม่หยุด คุณฝันถึงอะไรกันแน่ ไม่แน่ใจและอาจจะลืมแล้ว กระทั่งจำไม่ได้เลยสักนิด มีเพียงอย่างเดียวที่จำได้คือตัวเองเจ็บปวดและทรมานมาก
ดูเหมือนฤทธิ์ยาจะเริ่มคลายแล้ว โจวเจ๋อค่อยๆ ลืมตา เหนื่อยล้า เหนื่อยล้าอย่างยวดยิ่ง จากนั้นคือความปวดเมื่อยตามร่างกาย
“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงของสวี่ชิงหล่างดังมาจากข้างๆ
โจวเจ๋อหันหน้าไป มองเห็นสวี่ชิงหล่างกำลังบิดผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนแล้วเอามาเช็ดใบหน้าให้ตัวเอง บาดแผลตรงหน้าอกของตัวเองถูกพันแผลแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่อะไร ที่สำคัญที่สุดคือใครจะไปรู้ว่าตาชุยได้ทายาชาไว้บนลูกศร
สวี่ชิงหล่างมีแผลตามตัวที่ถูกทำแผลแล้วเช่นกัน โดยเฉพาะลำคอของเขา ที่พันด้วยผ้าหนาเป็นชั้นๆ
โจวเจ๋อสงสัยเล็กน้อยจึงถามว่า “ตัวนายเป็นอะไร”
“ศพที่ถูกคุณฆ่าเมื่อวานหลังจากคุณเดินออกไปแล้วกลับเด้งขึ้นมาอีก โชคดีที่โดนผมจัดการไปแล้ว”
“นายไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นไร”
โจวเจ๋อพยักหน้า ลุกนั่งบนเตียง เขาเพิ่งพบว่าพวกเขาทั้งสองคนยังอยู่ในบ้านดินของตาชุย “ตาชุยกับผีดิบที่ฆ่าคนตัวนั้นเป็นพวกเดียวกัน” โจวเจ๋อกล่าว
“อืม” สวี่ชิงหล่างไม่ได้ตกใจอะไรมาก อันที่จริงหลังจากที่ตาชุยใช้ให้ศพเดินได้โผล่ออกมาแล้วดอดหนีไปนั้น แนวคิดพวกนี้ก็ชัดเจนมากแล้ว
“คุณเป็นยังไงบ้าง”
“ปวดหัวนิดหน่อย” ขณะที่พูด โจวเจ๋อลงจากเตียงแล้วใช้ฝ่ามือแตะหน้าผากของตัวเองเบาๆ ตอนนี้เขารู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย
“ฮือๆๆ…” เสียงสะอึกสะอื้นดังเข้ามา นั่นคือผู้ชายที่เป็นเจ้าของบ้านคนนั้น
“เขา…” โจวเจ๋อชี้ไปที่ผู้ชายที่เป็นเจ้าของบ้านแล้วถาม
“อ้อ ตอนที่คุณนั่งอยู่ที่ระเบียง ไอ้หมอนี่อยากจะใช้ขวานฟันคุณ แต่ถูกผมตีสลบก่อน จากนั้นผมจึงจับเขามัดแล้วเอามาด้วย ผมเอาเงินกระดาษไปเผาบางส่วน พวกเราน่าจะไม่เกิดเรื่องยุ่งยากชั่วคราว คนพวกนั้นไม่ว่ายังไงพวกเราก็ไม่ได้เป็นคนฆ่า และศพที่อยู่ในบ้านหลังนั้นผมก็ไม่ได้จัดการ ไม่อยากทำให้แย่ลงกว่าเดิม อีกอย่างก็จัดการไม่ง่ายเลย”
โจวเจ๋อได้ยินดังนั้น จึงลุกขึ้นเดินไปอยู่ตรงหน้าผู้ชายที่เป็นเจ้าของบ้าน พูดจริงๆ นะ ผู้ชายที่เป็นเจ้าของบ้านคนนี้ก็น่าเห็นใจอยู่เหมือนกัน สิ่งที่เขาเจอทั้งหมดล้วนน่าเห็นใจ
อย่างแรกเขามีแม่ที่ตายไปแล้วก็ยังรักเขา หลังจากกลายเป็นผีดิบยังกลับมาพูดคุยกับเขา ภรรยาและลูกชายของเขาก็เพิ่งจะจากไป เพื่อนทั้งสองคนของเขาก็เพิ่งจะจากไปเหมือนกัน และ ‘น้องสาม’ คนที่เขาพูดถึง ก็น่าจะเป็นศพเดินได้เมื่อคืน ยังมีอีกอย่างคือ เมื่อวานเขาเสียเงินพนันก้อนโต แต่ไม่รู้ทำไม โจวเจ๋อไม่รู้สึกสงสารเขาเลย โจวเจ๋อยื่นมือหยิบผ้าสกปรกที่อุดปากของเขาออกมา อีกฝ่ายพอปากว่างก็อยากจะร้องว่า ‘ช่วยด้วย’ ผลปรากฏว่าถูกโจวเจ๋อตบหน้าไปหนึ่งที
‘เพียะ!’
“ช่วย…”
‘เพียะ!’
“ช่วย…”
‘เพียะ!’
“…”
‘เพียะ!’
ตอนที่ตบหน้าครั้งสุดท้าย เห็นชัดเจนว่าอีกฝ่ายนิ่งแล้ว ไม่กล้าตะโกนอีก แต่ฝ่ามือของโจวเจ๋อก็ยังตบลงไป อีกฝ่ายรู้สึกน้อยใจมาก ฉันตะโกนคุณตบฉัน ก็สมควรอยู่แล้ว แต่ฉันไม่ได้ตะโกนแล้วกลัวแล้ว ทำไมคุณยังตบหน้าฉันอีก
โจวเจ๋อตกตะลึงเล็กน้อยแล้วพูดขอโทษว่า “ขอโทษด้วย เพิ่งตื่น จึงหงุดหงิดนิดหน่อย อยากตบหน้าคนระบายอารมณ์”
“…” ผู้ชายที่เป็นเจ้าของบ้าน
จากนั้นเขาจึงหาเก้าอี้ตัวเล็กแล้วนั่งลง สวี่ชิงหล่างถือข้าวและผัดผักเข้ามาจากข้างนอก
“ตาชุยขี้เกียจมากไม่เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่เลย ทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้แล้ว ทนๆ กินหน่อยแล้วกัน”
โจวเจ๋อรับถ้วยและตะเกียบเข้ามา จากนั้นพูดอย่างเคอะเขินว่า “ฉันไม่ได้เอาน้ำดอกพลับพลึงแดงมาด้วย”
เนื่องจากเถ้าแก่โจวคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะรุนแรงถึงขั้นนี้ และคิดไม่ถึงว่าจะเสียเวลานานขนาดนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้พกเครื่องปรุงสำหรับกินข้าวมาด้วย
สวี่ชิงหล่างถอนหายใจ ดูเหมือนเขาจะเดาออกก่อนแล้วจึงยื่นมือล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบน้ำบ๊วยออกมาหนึ่งขวดแล้ววางลงบนโต๊ะ
โจวเจ๋อตกตะลึงเล็กน้อยแล้วหัวเราะ “ไม่ได้กินเจ้านี่หลายวันแล้ว คิดถึงอยู่เหมือนกันนะเนี่ย”
โจวเจ๋อกินน้ำบ๊วยหนึ่งคำแล้วอาศัยความเปรี้ยวนี้เริ่มกินข้าวอย่างเร็ว เหมือนนักโทษที่เพิ่งปล่อยออกมาจากคุกและบอกไม่ถูกเหมือนกัน โจวเจ๋อรู้สึกว่าการกินมูมมามแบบนี้เหมือนจะลื่นคอมากกว่า ใช่แล้ว ความเคยชินบางอย่างหากทำจนชินแล้วยากที่จะเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าความเคยชินนี้ในสายตาคนอื่นจะดีหรือไม่ดีก็ตาม
เมื่อกินข้าวแล้ว โจวเจ๋อจึงใช้ตะเกียบเคาะศีรษะของผู้ชายที่เป็นเจ้าของบ้านคนนั้น ไอ้หมอนี่ถูกมัดอยู่ที่นี่สวี่ชิงหล่างก็ไม่ให้เขากินข้าวหรือดื่มน้ำเลย แต่สติและกำลังของเขายังแข็งแกร่งมาก เจอเหตุการณ์ที่แย่ขนาดนี้แต่ยังรักษาสภาพชีวิตและจิตใจให้แข็งแรงได้ น่านับถือจริงๆ
“คุณชื่ออะไร”
“ซุนเค่อวั่ง”
“แม่ของคุณตายเมื่อไร”
“สี่ปีก่อน”
ผู้ชายที่ชื่อซุนเค่อวั่งคนนี้ ตอนนี้ให้ความร่วมมืออย่างผิดปกติเป็นอย่างมาก ฉากเมื่อคืนอาจจะทำให้หนามบนตัวของเขาแบนราบไปแล้ว หรืออาจจะเป็นตอนที่เขาหยิบขวานขึ้นมาอยากจะฟันโจวเจ๋อ เป็นการแสดงความกล้าหาญครั้งสุดท้าย แต่ถูกสวี่ชิงหล่างมาขัดขวางทันเสียก่อน เรื่องบางเรื่องไม่สามารถเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองได้
“สี่ปีก่อน” โจวเจ๋อย้อนนึกคำตอบนี้ เขาคิดว่าน่าจะเป็นการล้างแค้นในครอบครัว บรรพบุรุษที่กลายเป็นผีดิบแล้วโผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของพวกมันก็คือตามหาสายเลือดของตัวเองแล้วฆ่าเสีย หญิงชราคนนั้นก็น่าจะเป็นเช่นนี้
“แม่ของคุณถูกฝังอยู่ที่ไหน”
“ที่หลุมฝังศพบรรพบุรุษหน้าปากทางเข้าหมู่บ้าน”
“ฝังดิน”
“อืม ฝังดิน”
โจวเจ๋อส่ายหน้า ถ้าหากเผาศพละก็ คงไม่เกิดเรื่องวุ่นวายเยอะแยะขนาดนี้
“อิจฉาเหรอ” สวี่ชิงหล่างที่อยู่ข้างๆ นั่งดื่มน้ำชาแล้วพูดซ้ำเติมไปด้วย
“ฉันต้องอิจฉาอะไร”
“อิจฉาที่เขาได้ฝังดิน แต่ตอนที่คุณกลับมา ได้แต่กอดอัฐิของตัวเองกลับมา จึงไม่สามารถชื่นชมความหล่อของตัวเองเมื่อชาติที่แล้วได้”
“เหอะๆ”
“อ้อ ผมลืมไป อัฐิของคุณไม่เหลือแล้ว”
“…” โจวเจ๋อ
“โอเค คุณถามต่อ ผมไม่แทรกแล้ว”
“ไม่เป็นไร พวกเราคุยเล่นกันอีกก็ได้ เหล่าสวี่ นายคิดว่าฉันจะตายก่อนหรือนายจะตายก่อน”
“คุณเป็นยมทูต ผมต้องตายก่อนอยู่แล้ว” สวี่ชิงหล่างตอบ
“แล้วใครจะเป็นคนทำศพให้นาย”
“…” เหล่าสวี่
“นายชอบซุปข้าวอัฐิ หรือว่าชอบข้าวแกงกะหรี่ไก่อัฐิ”
“…” เหล่าสวี่
เมื่อก่อน โจวเจ๋อเคยเห็นคำพูดแบบนี้ในหนังสือวรรณกรรมตามร้านแบกะดิน บอกว่าประเทศเคยผลักดันให้เผาศพเพื่อป้องกันการปรากฏตัวของผีดิบ โดยทั่วไปแล้วถือว่าเป็นคำพูดที่น่าขบขันและไม่มีที่มา แต่ในทางกลับกันกลับมีเหตุผลมาก นั่นเป็นเพราะการผลักดันให้เผาศพสามารถลดอัตราการเกิดผีดิบได้จริง
ถ้าหากศพกลายเป็นเถ้าถ่าน ต่อให้คุณมีเวลาทำ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะราดน้ำเอาโคลนมานิดหน่อยแล้วปั้นตัวเองขึ้นมาใช่ไหมล่ะ
“แม่ของคุณถูกฝังลงดินเมื่อสี่ปีที่แล้ว ไม่ถือว่านานเกินไป ตอนที่ย้ายหลุมฝังศพก่อนหน้านั้น คุณไม่เห็นกระดูกแม่ของคุณเหรอ” สวี่ชิงหล่างถาม
“ไม่เห็น”
“จะเป็นไปได้ยังไงที่ไม่เห็น หลุมฝังศพเก่าหาไม่เจอก็ช่างเถอะ แต่คุณ…” สวี่ชิงหล่างพลันนึกอะไรออก “ตอนที่คุณฝังลงดินคุณไม่ได้ใส่โลงศพใช่ไหม”
ซุนเค่อวั่งส่ายหน้า
“คุณเป็นลูกกตัญญูจริงๆ” สวี่ชิงหล่างพูดเยาะเย้ย
ในยุคนี้ การฝังศพลงดินถือว่าผิดกฎหมายในพื้นที่ส่วนใหญ่ แต่เด็กที่หัวรั้นบางคนอยากจะฝังลงดิน ก็แค่อยากได้หน้าเท่านั้น แต่ซุนเค่อวั่งเอาแม่ของตัวเองฝังดินกลับไม่เตรียมแม้แต่โลงศพ ไม่ว่าใครมองแล้วก็ไม่เข้าใจ
“อ้อใช่ ปัญหาสำคัญที่สุดที่ยังไม่ได้ถาม แม่ของคุณตายยังไง” โจวเจ๋อถาม
คำถามนี้เป็นกุญแจสำคัญ แม่ของเขากับตาชุยคบชู้กันเป็นเรื่องจริง และทางเดินใต้ดินนี้คือหลักฐานที่ดีที่สุด
ก่อนหน้านี้ถ้าหากตาชุยไม่ปรากฏตัวออกมา โจวเจ๋อคงจัดการปัญหาเสร็จไปนานแล้ว ซุนเค่อวั่งลังเลพักหนึ่งสุดท้ายจึงตอบออกมาอย่างยากลำบาก “ป่วยตาย”
‘เพียะ!’ โจวเจ๋อตบหน้าหนึ่งฉาดเสียงดังมาก และอยากจะตบอีกหนึ่งฉาดอย่างอดรนทนไม่ไหว นี่เป็นการพิสูจน์ว่าอารมณ์หลังตื่นนอนของเถ้าแก่โจวยังระบายออกมาไม่หมด
“ที่ตบไม่เมื่อกี้ยังไม่สะใจ ยังสนุกไม่พอ ขอบคุณที่คุณให้โอกาสนี้กับผมอีกครั้ง” ขณะพูด โจวเจ๋อขยับหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้ใบหน้าของซุนเค่อวั่ง แล้วชี้ไปที่สวี่ชิงหล่างที่อยู่ข้างๆ “คุณคิดว่าเขาหน้าตาสวยขนาดนี้ จะโดนหลอกได้ง่ายเหรอ”
“…” สวี่ชิงหล่าง
ซุนเค่อวั่งส่ายหน้า ‘เพียะ!’ โดนตบอีกหนึ่งฉาด
“พูดไม่เป็นแล้วเหรอ” โจวเจ๋อถาม
ซุนเค่อวั่งโดนโจวเจ๋อตบหน้าจนหน้าบวมแล้ว เขาเจอโศกนาฏกรรมที่แย่ที่สุดภายในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง และตอนนี้ยังต้องเจอการทรมานด้วยวิธีที่ทารุณของโจวเจ๋ออีก เขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
“เป็น”
“ดี งั้นบอกผมอีกที แม่ของคุณตายยังไง”
“ป่วย…”
‘เพียะ!’ ตบอีกหนึ่งฉาด
“พูดต่อ”
“เธอ…เธอ…ผมผิดเอง…เป็นความผิดของผมเอง…”
‘เพียะ!’
“ไม่ต้องเล่าโครงเรื่องและบรรยากาศ พูดเข้าประเด็นเลย”
“ผมเป็นคนฆ่าเอง”
โจวเจ๋อลุกขึ้นแล้วบิดขี้เกียจ ไม่ใช่เพราะโจวเจ๋อมีสายตาที่เฉียบแหลมรู้เรื่องทุกอย่างชัดเจนแล้ว แต่เป็นเพราะการแสดงของไอ้หมอนี่แย่เกินไป ตอนที่ตอบสาเหตุการตายของแม่ของเขาครั้งแรกก็พูดอย่างลังเลตะกุกตะกัก แบบนี้การแสดงของพวกหนุ่มหน้าละอ่อนที่โดนบ่นบนอินเทอร์เน็ตมีความเป็นมืออาชีพมากกว่าเขาเสียอีก
“ทำไมถึงฆ่าแม่ของคุณ”
“เธอท้อง”
โจวเจ๋อกับสวี่ชิงหล่างสบตากัน หญิงชราคนนั้นอายุหกสิบเจ็ดสิบปีแล้วไม่ใช่เหรอ
“อายุมากขนาดนี้ก็ยังท้องได้เหรอ” สวี่ชิงหล่างถามโจวเจ๋อ ไม่ว่าอย่างไรชาติที่แล้วโจวเจ๋อก็เป็นหมอ จึงรู้เรื่องเยอะกว่า
“ในประเทศจีนเคยมีเคสที่คนอายุหกสิบกว่าปีตั้งครรภ์ ในต่างประเทศมีคนอายุเจ็ดสิบกว่าปี” โจวเจ๋อตอบ “แต่อันตรายมาก”
ซุนเค่อวั่งเหมือนกำลังอินกับบทบาท ตอนนี้สติและอารมณ์ของเขามีความบ้าเล็กน้อย เขาไม่รอให้โจวเจ๋อถามก็กัดฟันพูดต่อว่า “อายุปูนนี้แล้วยังเป็นชู้กับผู้ชาย แถมยังท้องโตอีก แล้วก็มาพูดกับผมอยากจะอยู่กับชู้คนนั้น ขอร้องผมไม่ต้องจัดงานอะไรขอแค่ได้อยู่ด้วยกันก็พอ! ท้องโตขนาดนี้ คนเป็นลูกอย่างผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ผมบอกให้เธอเอาเด็กออก เธอไม่ยอม ฮ่าๆๆๆ ผมเลยเรียกเพื่อนสองสามคน จับเธอ…จับเธอ…แล้วใช้ผ้าห่มคลุมเธอจนขาดใจตาย!”
…………………………………………………………………………