ตอนที่ 267 ข้า โอนเงิน!
“ต่อจากนี้จะทำยังไง” วกกลับมาเข้าประเด็น หลังจากนักพรตเฒ่านั่งรถเข็นออกไปแล้ว สาวน้อยโลลินั่งอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ เธอรู้สึกสนใจเรื่องนั้นของชายชราเป็นอย่างมาก
ชายชราปกติจะไม่ฆ่ายมทูต แต่โจวเจ๋อกับชายชราคนนี้นับว่าต้องตายกันไปข้างหนึ่งถึงจะพอใจ ถ้าหากชายชราไม่ตายจริงๆ หากก่อเรื่องอีกในวันข้างหน้าก็จะเป็นปัญหาที่ยุ่งยากมากเช่นกัน
คงไม่มีหลักการป้องกันโจรได้ทั้งร้อยวันหรอกใช่ไหม และตัวของสาวน้อยโลลิกับโจวเจ๋อก็เหมือนกับตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน เธอจำเป็นต้องใส่ใจและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะด้วยนิสัยของโจวเจ๋อ ถ้าหากวันหนึ่งเขาต้องตายจริงๆ จะต้องลากตัวเธอลงไปฝังกับเขาด้วยแน่นอน
“ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง แต่จะให้ผมปลุกขึ้นมาถามรายละเอียดตอนนี้คงไม่ได้”
สาวน้อยโลลินิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
เพื่อถามเรื่องนี้จึงอยากให้จิตสำนึกนั่นตื่นขึ้นอีกครั้ง โจวเจ๋อจะไม่ทำเช่นนั้นแน่ มันสิ้นเปลืองเกินไปและดูเป็นคนขี้แพ้ นอกจากนี้โจวเจ๋อยังมีความรู้สึกบางอย่าง ในเมื่อจิตสำนึกนั่นเป็นฝ่ายเข้าสู่การหลับใหลเอง อย่างน้อยสามารถยืนยันได้ว่าได้แก้ไขความยุ่งยากก่อนหน้านั้นเรียบร้อยแล้ว และเป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งชนวนระเบิดให้ตัวเองในระยะสั้น
“ข้าขอตัวกลับก่อน เจ้าระวังตัวด้วย หากมีเรื่องอะไรก็เรียกข้า” สาวน้อยโลลิกระโดดลงจากที่นั่ง เมื่อถามอะไรไม่ได้ เธอจึงเตรียมตัวกลับบ้าน
“วางใจเถอะ ผมจะไม่เกรงใจกับคุณแน่นอน”
สาวน้อยโลลิทำปากจู๋ “วันนี้แม่ของข้าต้องเข้าไปรับการรักษาใหม่อีกรอบ ข้าต้องตามไปดู ไม่อย่างนั้นอาจจะมีปัญหา”
“ปัญหาอะไร”
“นางอาจจะฆ่าพ่อของข้าแล้วเอามาย่างกิน” สาวน้อยโลลิพูดอย่างจนใจเป็นอย่างมาก
“คุณอินกับบทละครมากจริงๆ” โจวเจ๋อพูดด้วยความสงสัย
“อันนี้เดิมทียากที่จะควบคุมได้อยู่แล้ว” สาวน้อยโลลิเองก็เห็นด้วย “โดยเฉพาะตอนที่เจ้ายอมสวมบทบาทนั้นเพลิดเพลินกับความรู้สึกที่มาจากบทบาทนั้น เจ้าจะจมลงไปกับบทบาทนั้นโดยไม่รู้ตัว แต่ข้าจะหาวิธีแก้ไขปัญหาก่อนที่ข้าจะจมลงไปทั้งหมด อย่างเช่น เปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่การงาน”
ขณะที่พูด สาวน้อยโลลิหันไปทางโจวเจ๋อ แล้วพูดอ้อนวอนว่า “ดังนั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะพยายามหน่อย รีบเป็นผู้จับกุมเร็วๆ แบบนี้พื้นที่การเคลื่อนไหวของข้าจะได้ใหญ่ขึ้นบ้าง ข้าไม่อยากกลายเป็นโศกนาฏกรรมเหมือนน้องสาวภรรยาของเจ้า เซ่อซ่าจนแยกตัวเองไม่ออก”
“อ้อ”
“ใช่แล้ว พอพูดถึงเรื่องนี้ ข้าลืมไปเลย เจ้ากับหมอคนนั้น เป็นยังไงบ้าง เซ็นใบหย่าหรือยัง ข้าเห็นเจ้าวันๆ ทำตัวเป็นปลาเค็มอยู่ในร้านมีความสุขจนลืมตัว จนข้าเกือบลืมไปแล้วว่าเจ้ามีเจ้าของแล้ว”
“กลับไปดูแม่ของคุณให้ดีเถอะ”
สาวน้อยโลลิเดินมาถึงหน้าประตู จากนั้นยื่นกำปั้นเล็กทั้งสองข้างของตัวเองให้โจวเจ๋อ กำปั้นข้างหนึ่งโบกไปมาและกำปั้นอีกข้างหนึ่งชูนิ้วกลางขึ้นมาช้าๆ สุดท้ายชูนิ้วกลางตั้งไปหาโจวเจ๋อ “ผู้ชายเฮงซวย”
“ผมไม่เคยนอนกับเธอ” โจวเจ๋อคัดค้าน
“เหอะๆ” สายตาของสาวน้อยโลลิมองต่ำลงช้าๆ จากนั้นจึงหรี่ตาเหมือนว่าเธอมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
“อายุน้อยแค่นี้ก็คิดเรื่องไม่ดีแล้ว สงสัยอินเทอร์เน็ตของประเทศยังเข้มงวดไม่พอ ดูนิสัยของพวกคุณแต่ละคนสิแก่แดดจริงๆ” โจวเจ๋อพูดไล่แขก
สาวน้อยโลลิส่ายหน้า หลังจากมือนั้นเอามือไพล่หลังทำท่าเหมือนผู้ใหญ่ในคราบเด็ก จนถึงตอนนี้ก็ยังน่ารักไร้เดียงสา แต่ตอนที่ผลักประตูร้านหนังสือ เธอกลับหยุดเดินแล้วพูดว่า “โจวเจ๋อ เจ้าบอกว่าข้าได้รับผลกระทบจากร่างที่อาศัยอยู่ ข้ายอมรับ แล้วเจ้าล่ะ”
“ผลกระทบจากสวีเล่อเหรอ” โจวเจ๋อถาม “เขา เขาไม่อยู่นานแล้ว”
บางทีตอนแรกอาจจะมีอยู่บ้างเล็กน้อย ตอนนี้ผลกระทบจากสวีเล่อถูกโจวเจ๋อกำจัดทิ้งหมดแล้ว เขาในตอนนี้ก็คือโจวเจ๋อ
“อ้อ” สาวน้อยโลลิขานรับหนึ่งที “ถ้าหาก ไม่ใช่สวีเล่อล่ะ”
“คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่”
สาวน้อยโลลิเม้มปาก คืนนั้นเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน โจวเจ๋อที่เข้าสู่สภาวะ ‘ผีดิบ’ หยิบซือตันใส่ปากของตัวเองแล้วค่อยนำใส่ปากของไป๋อิงอิงทำแบบนี้วนไปวนมาไม่หยุด นี่มีความหมายว่าอะไร
หนึ่งร่างสองจิตสำนึก จะไม่มีผลกระทบซึ่งกันและกันจริงๆ เหรอ สุดท้ายสาวน้อยโลลิไม่พูดอะไรอีก แล้วเดินออกจากร้านหนังสือไป
โจวเจ๋อจุดบุหรี่หนึ่งมวนแล้วสูบสักพักหนึ่ง ตอนนี้โทรศัพท์ของเขาดังขึ้นในทันใด พอหยิบมาดูจึงเห็นว่าเป็นเบอร์ของนักพรตเฒ่า
จะว่าไปแล้ว นักพรตเฒ่านั่งเก้าอี้รถเข็นไฟฟ้าพร้อมเสียงเพลงประกอบออกไปนานแล้ว ทำไมยังไม่กลับมาอีกหรือว่านั่งรถเข็นของตัวเองออกไปอวดต่อโลกจนยากที่จะถอนตัวแล้ว
“ฮัลโหล”
“เถ้าแก่ ช่วยข้าหน่อยสิ รถเข็นของข้าติดหลุม”
“อย่างนั้นคุณก็เรียกคนใจดีแถวนั้นช่วยดันให้คุณ จากนั้นคุณก็นั่ง ‘ตู๊ดๆๆ’ กลับมา”
“เอ่อ ข้าเกรงใจ” นักพรตเฒ่าพูดอย่างเหนียมอาย
“คนที่เอายันต์กระดาษมาขายทำเงินหยวน รู้สึกอายด้วยเหรอ”
“ไม่ใช่ เอ่อ เถ้าแก่ ข้ามีอีกเรื่องอยากให้เจ้าช่วย ถ้าหากเป็นตอนเย็น ข้าจะให้เจ้าลิงมาหา แต่ตอนนี้ยังเป็นตอนกลางวันอยู่ มันออกมาไม่สะดวก”
“คุณอยู่ที่ไหน” โจวเจ๋อถาม นักพรตเฒ่ายังอยู่ในสภาพพักฟื้น เถ้าแก่โจวจึงต้องดูแลเขาด้วย
“เถ้าแก่ ข้าจะส่งตำแหน่งให้เจ้า ข้าอยู่ไม่ไกลจากร้านหนังสือ” นักพรตเฒ่าอยู่ไม่ไกลจากร้านหนังสือจริงๆ โจวเจ๋อเดินเจ็ดแปดร้อยเมตรก็เจอเขาแล้ว ล้อของเก้าอี้รถเข็นติดอยู่ในร่องน้ำ โจวเจ๋อเดินเข้าไปใช้แรงผลักนิดหน่อยล้อรถก็ออกมาแล้ว
“กลับร้านเลยไหม” โจวเจ๋อถาม
“ไปตรงนั้น” นักพรตเฒ่าชี้ไปที่ตู้เอทีเอ็มที่อยู่ข้างหน้า โจวเจ๋อพยักหน้า เข็นรถพานักพรตเฒ่าเข้าไปในห้องกั้นของตู้เอทีเอ็ม
นักพรตเฒ่าหยิบกระดาษออกมาหนึ่งใบ บนนั้นมีชื่อและหมายเลขติดต่อกันหลายตัว
“ผมช่วยใส่ให้คุณไหม” โจวเจ๋อถาม
“เอ่อ…” นักพรตเฒ่าถือบัตรอยู่ในมือ แล้วมองโจวเจ๋ออย่างเกรงใจเล็กน้อย ความหมายชัดเจนว่า เชื่อใจคุณไม่ได้ ใครสั่งให้คุณจนที่สุดในร้านหนังสือ
โจวเจ๋อเลียปากแต่เขาไม่ได้โกรธเพราะเรื่องนี้ จากนั้นเปิดประตูห้องกั้นของตู้เอทีเอ็มเตรียมจะออกไปซื้อบุหรี่
ตอนนี้เองนักพรตเฒ่าเนื่องจากยื่นมือไปจับตู้เอทีเอ็มทำให้โทรศัพท์ที่หนีบอยู่บริเวณรักแร้ร่วงลงมา
โจวเจ๋อโน้มตัวช่วยเก็บให้เขา
“ผมจะไปซื้อบุหรี่”
“ได้เลย เถ้าแก่”
โจวเจ๋อเดินไปที่ร้านสะดวกซื้อฝั่งตรงข้ามเพื่อซื้อบุหรี่หนึ่งซอง ตอนที่คิดเงิน โทรศัพท์ได้ดังขึ้น เขาเหลือบมองโทรศัพท์ของตัวเองก่อน เมื่อพบว่าไม่ใช่จึงนึกถึงโทรศัพท์ของนักพรตเฒ่าที่ตัวเองช่วยเก็บเมื่อครู่
โจวเจ๋อกดรับสาย “ฮัลโหล เขาไม่อยู่ มีธุระอะไรค่อยโทรมา”
“ไม่อยู่อะไร! หาเหตุผลอะไร! เป็นคนหลอกลวงแล้วยังจะเสแสร้งอีกเหรอ”
โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วย้อนถามว่า “เขาหลอกเงินคุณเหรอ”
ปกติเวลานักพรตเฒ่าทำอะไรมักจะไม่ค่อยระวังตัวมาโดยตลอด อย่างเช่นเวลาไลฟ์สดขายยันต์ระดาษ ถ้าหากลูกค้าซื้อแล้วเพิ่งนึกได้ทีหลังอยากจะมาหาเรื่องก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แน่นอนว่า ในห้องไลฟ์สดคนที่ยินดีจ่ายเงินซื้อยันต์กระดาษ ส่วนใหญ่แค่อยากเข้ามาหาความคึกคักและร่วมสนุกเท่านั้น อยากหาสิ่งแปลกใหม่ ดังนั้นจึงไม่น่ามีใครคิดจริงจังกับเรื่องนี้
“เหลวไหล หลอกเงิน หลอกเงินฉันสองหมื่น!” ซื้อยันต์กระดาษเยอะขนาดนั้นเชียว คุณโง่หรือเปล่า โจวเจ๋อแอบพูดในใจ
โจวเจ๋อครุ่นคิดพร้อมกับจ่ายเงินค่าบุหรี่แล้วเดินออกจากร้านสะดวกซื้อ นักพรตเฒ่ากำลังทำธุรกรรมอยู่หน้าตู้เอทีเอ็ม เขากดตัวเลขพลางตรวจเช็กกับกระดาษที่อยู่ในมือ
“แม่งเมื่อไรคุณจะให้เงิน! อย่าบอกนะว่าจะคืนคำ ฉันจะบอกคุณให้ เป็นคนจะทำตัวแบบนี้ไม่ได้!”
“ผมเป็นเพื่อนของเขา ตอนนี้เขาไม่อยู่ ผมจะให้เขารับ…”
“แม่งเอ๊ย ยังจะหลอกอีก คิดจะตบตากันหรือไง! ตอนแรกไอ้แก่คนนั้นพูดเสียดิบดีว่าจะช่วยส่งลูกของฉันเรียนหนังสือ ขอแค่เด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาจะส่งเงินค่าเล่าเรียนสองหมื่นทุกปี! ตอนนี้คะแนนสอบออกมาแล้ว ลูกของฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับสองได้แล้ว เงินล่ะ เงินอยู่ไหน ไหนบอกว่าจะให้เงินสองหมื่น หนึ่งหมื่นเป็นค่าเล่าเรียน อีกหนึ่งหมื่นเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เงินล่ะ”
“คุณพูดอะไร” ไม่ใช่เรื่องการหลอกเงินเหรอ
“คุณแกล้งโง่เหรอ บอกไอ้แก่คนนั้นด้วย เชี่ยเอ๊ย ถ้ายังไม่ให้เงิน ฉันคงโดนเขาหลอกยับเยิน! เดิมทีฉันอยากส่งลูกเรียนจบชั้นมัธยมต้นแล้วให้ออกมาทำงาน ฉันเห็นลูกคนอื่นออกไปทำงานทุกวัน ไม่นานก็ได้สร้างบ้านใหม่ แต่งงานมีภรรยามีลูกกันหมดแล้ว แต่ลูกของฉันน่าสาร ฉันก็น่าสงสาร ตอนแรกเหมือนโดนป้ายยาเชื่อคำพูดของไอ้แก่ เขาบอกว่าจะส่งเงินค่าเรียนมาให้ทุกเดือน ทำให้ฉันต้องส่งลูกเรียนถึงชั้นมัธยมปลาย พอมาถึงตอนนี้ สอบเอ็นทรานซ์จบแล้วคะแนนก็ออกมาแล้ว แต่เขากลับไม่รับผิดชอบเสียนี่!
ไอ้แก่หน้าหมา โทรไปแม่งก็ไม่ติด ไม่มีคนรับสาย เล่นเกมหายตัวหรือไง แสร้งทำตัวเป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ แสร้งทำตัวเป็นคนดีไม่ได้ก็อย่าทำ ฉันเกลียดที่สุดก็คือพวกคนหลอกลวงแต่อยากจะได้ชื่อเสียง เห็นว่าเรียนหนึ่งปีต้องใช้เงินหนึ่งหมื่นหยวนมันแพงใช่ไหม เสียดายเงินใช่ไหม แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก!”
“นั่นคือลูกของคุณ สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็ต้องให้เขาเรียน” โจวเจ๋อพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เข้าเรียนแม่มึงสิ ตัวฉันเองยังติดหนี้บานเบอะ จะเอาเงินที่ไหนส่งเขาเรียนหนังสือ! อีกอย่างตอนนี้เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วจะมีประโยชน์อะไร! เด็กมหาวิทยาลัยที่หางานไม่ได้เกลื่อนกลาดเต็มถนน แล้วจะไปเรียนมหาวิทยาลัยให้ขาดทุนทำไม! คุณไปบอกไอ้แก่นั่นด้วย ถ้าไม่โอนเงินมา หนังสือรับแจ้งเข้าของมหาวิทยาลัยฉันจะเอาไปเผา แล้วให้เขาไปทำงาน!”
โจวเจ๋อตัดสาย เขาอยากจะด่าคน อยากจะด่าเอามากๆ เขามาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ตอนแรกค่าเล่าเรียนถึงระดับมัธยมต้นได้รับการยกเว้นจากรัฐบาลท้องถิ่น หลังจากขึ้นชั้นมัธยมปลายตัวเองต้องออกไปทำงานกับหวังเคอในวันหยุดทุกฤดูหนาวและฤดูร้อน ถึงแม้จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ก็ยังต้องกัดฟันขยันทำงานและประหยัดเงินทองศึกษาเล่าเรียนจนจบ
โจวเจ๋อในตอนนั้น ไม่เคยเจอคนใจดีช่วยเหลือออกเงินทุนให้ตัวเองเลย เขาเปิดประตูตู้เอทีเอ็ม มองนักพรตเฒ่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นอดทนกับความเจ็บปวดของร่างกายแล้วกดหมายเลขโอนเงินทีละตัว ตานี่อยากออกมาสูดอากาศเป็นเรื่องโกหก ความจริงแล้วอยากออกมาโอนเงินต่างหาก
โจวเจ๋อจู่ๆ ไม่รู้ว่าโกรธมาจากไหน พูดตามตรงว่า “คุณกำลังโอนเงินทุนค่าเล่าเรียนให้นักเรียนเหรอ”
“ใช่ รอบนี้ล่าช้าไปหน่อย เมื่อก่อนข้าจะโอนเงินทุกต้นเดือน ให้เด็กได้เงินเร็วหน่อยจะได้เรียนหนังสืออย่างสบายใจ ครั้งนี้มีนักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยถึงเจ็ดคน ข้าได้สัญญากับพวกเขาก่อนหน้านั้นแล้ว ค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยข้าเป็นคนเหมาเอง แต่รอบนี้ล่าช้าไปมาก สงสัยพวกเด็กๆ คงร้อนใจแย่”
“คุณไม่มีลูกหลาน แล้วจะเลี้ยงคนเนรคุณพวกนั้นทำไม มีเงินแล้วเอาไปซื้อขนมให้เจ้าลิงของคุณเยอะๆ จะดีกว่าผมเห็นคุณบาดเจ็บมาหลายวัน สรุปใครกันแน่ที่คอยดูแลปรนนิบัติคุณ อีกอย่างคนเฮงซวยพวกนั้นยังโทรเข้ามาเหมือนตามทวงหนี้ ไม่มีใครถามคุณสักคนว่าคุณบาดเจ็บหรือไม่สบายหรือเปล่า”
นักพรตเฒ่าไม่กล้าเถียง แต่ยังคงกดโอนเงินต่อไป
“คุณบ้าเหรอ!”
โจวเจ๋อยื่นมือปัดกระดาษใบนั้นที่อยู่ในมือของนักพรตเฒ่าโดยตรง กระดาษร่วงลงไปบนพื้น ตั้งแต่ต้นจนจบ มีชื่อคนนับร้อย ซึ่งหมายความว่าเขาต้องกดโอนเงินเป็นร้อยบัญชีเช่นกัน
ในที่สุดโจวเจ๋อก็เข้าใจสาเหตุที่นักพรตเฒ่าทำเงินได้เยอะจากการไลฟ์สด แต่ปกติแล้วตัวเองกลับทำตัวขี้งก เพราะว่ามีปลิงดูดเลือดหลายตัวเกาะอยู่บนหลังของเขานี่เอง ถ้าเขาอยู่อย่างสุขสำราญสิถึงจะแปลก!
“เฮ้อ” นักพรตเฒ่าไม่กล้าทะเลาะกับโจวเจ๋อเหมือนเดิม จึงได้แต่โน้มตัวอยากจะหยิบกระดาษขึ้นมาด้วยตัวเอง
โจวเจ๋อโกรธสุดขีดแต่กลับยิ้มออกมา นักพรตเฒ่าปกติเป็นคนฉลาดหลักแหลม ทำไมตอนนี้ถึงดูเป็นคนโง่ขนาดนี้
โจวเจ๋อเดินไปข้างนอกประตูกระจก เขาจุดบุหรี่หนึ่งมวนแล้วสูบเต็มปอด
‘ครืด!’ นักพรตเฒ่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นเพื่อที่จะเก็บกระดาษขึ้นมา เขาจึงเอามือข้างหนึ่งป้องหน้าอกด้วยความเจ็บปวดแล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งหยิบกระดาษใบนั้นขึ้นมา
โจวเจ๋อกัดฟันแล้วเหยียบก้นบุหรี่ใต้ฝ่าเท้า เปิดประตูเดินเข้าไปอีกครั้ง โจวเจ๋อช่วยประคองนักพรตเฒ่าขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงช่วยเขาเก็บกระดาษใบนั้นขึ้นมาแล้วยื่นให้เขา
“คุณโอนเลย โอนเลย! ตอนที่ผมเรียนหนังสือชาติที่แล้ว ทำไมถึงไม่เจอคนโง่อย่างคุณนะ!”
………………………………………………………………….