ตอนที่ 301 เข้าใจผิด!
“นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่” จางเยี่ยนเฟิงไม่เข้าใจ เพราะเขาไม่เคยเห็นผีมาก่อน ก่อนหน้านั้นตอนที่วิญญาณของเด็กหนุ่มมาหาที่ร้านหนังสือเขาก็ไม่อยู่
โจวเจ๋อดูเหมือนกำลังครุ่นคิด เขาไม่สนใจเสียงร้องเอะอะข้างล่างที่คิดว่าตำรวจมาจับพวกซื้อขายบริการ แต่เริ่มตรวจสอบแต่ละห้อง
ที่นี่เมื่อก่อนน่าจะเป็นตึกออฟฟิศเก่า และน่าจะเคยเป็นอพาร์ตเมนต์มาก่อนระยะหนึ่ง ตอนนี้มีสองสามห้องได้ทำความสะอาดแล้ว และถูกสาวๆ ใช้เป็นห้องสำเร็จความใคร่ แต่ก็มีห้องอีกส่วนมากที่ถูกล็อกมาตลอดจนมีฝุ่นหนาเกรอะ เห็นได้ชัดว่าไม่มีคนทำความสะอาดนานหลายปีแล้ว
เถ้าแก่ห้องเต้นรำรู้ว่าตัวเองกำลังทำธุรกิจสีเทา ดังนั้นถึงแม้จะไม่ได้ห้ามสิ่งที่เกิดขึ้นที่ชั้นบน แต่ก็ไม่โง่มากถึงขั้นสนับสนุน ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีคนทำความสะอาดเป็นธรรมดา
‘ปังๆๆ!’ โจวเจ๋อถีบประตูแต่ละบาน ด้านในมีฝุ่นคลุ้งขึ้นมาพาให้สำลักเป็นอย่างมาก
ตอนที่วิญญาณมาหาที่ร้านหนังสือในเมื่อเขาร้องเพลงของที่นี่ ถ้าหากนักพรตเฒ่าพูดไม่ผิด เพลงนี้เป็นเพลงต้นฉบับจริง มีความเป็นไปได้สูงที่เด็กหนุ่มผมสีเหลืองจะตายที่นี่
เวลานี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของห้องเต้นรำวิ่งขึ้นมา อย่างแรกคือได้ยินเสียงจากชั้นบน อย่างที่สองคือไม่มีตำรวจมา และคุณป้าที่บอกข่าวได้พูดแล้วว่า ชายชราในชุดนักพรตที่อยู่ชั้นบนนั้น ‘จุดสัญญาณไฟหลอกลวง’
จางเยี่ยนเฟิงเดินมาที่หน้าบันไดเมื่อรู้ตัว ตอนที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองสามคนนั้นจะขึ้นมา เขาจึงสกัดกั้นพวกเขาเอาไว้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองสามคนนั้นอยากจะพูดข่มสองสามประโยคกระทั่งอยากจะลงไม้ลงมือจัดการคนที่ ‘พูดเล่น’ สักหน่อย แต่หลังจากที่จางเยี่ยนเฟิงหยิบบัตรของเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองสามคนนั้นได้แต่ยิ้มหน้าแห้ง เหมือนสุนัขฮัสกีหน้าโง่ ไม่กล้าทำอะไรอีก
“เหล่าจาง ตรงนี้!” โจวเจ๋อตะโกน
จางเยี่ยนเฟิงได้ยินดังนั้น จึงวิ่งเข้าไปโดยตรงโดยไม่สนใจเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองสามคนนั้น ภายในห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นเกรอะกรัง มีคนแขวนคอตายอยู่บนพัดลมเพดาน
แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนเด็กหนุ่ม เพราะผมของเขาไม่ใช่สีเหลือง แต่กลับเป็นสีเทา ทว่าพอมองอย่างละเอียดแล้วกลับเป็นเด็กหนุ่มจริงๆ เพราะผมของเขาถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น จึงแปดเปื้อนจนกลายเป็นสีเทา
จางเยี่ยนเฟิงไม่ได้เข้าไปยังที่เกิดเหตุโดยตรง แต่หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดโทรออก เตรียมขอแรงสนับสนุนจากสถานีตำรวจ
หลังจากโทรศัพท์เสร็จแล้ว จางเยี่ยนเฟิงจึงขมวดคิ้วมองโจวเจ๋อ เพราะว่าศพถูกเขาค้นพบจริงๆ ถ้าหากไม่ใช่ตัวเองรู้ถึงความพิเศษของเขา ยังคงทำตามขั้นตอนและความคุ้นชินเหมือนก่อน จางเยี่ยนเฟิงคงจะจับโจวเจ๋อเป็นผู้ต้องสงสัยรายแรกแล้วนำตัวไปสอบสวนอย่างไม่ลังเล
เพราะฆาตกรที่ฆ่าคนแล้วโทรแจ้งลุงตำรวจให้มาที่สถานที่เกิดเหตุใช่ว่าจะไม่มี และเรื่องจริงก็มีไม่น้อย ฆาตกรเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์จะปะปนอยู่ในกลุ่มชาวบ้านหลังจากที่ตำรวจเจอสถานที่เกิดเหตุแล้ว และความคุ้นชินนี้ก็เหมือนคนที่ถ่ายหนักในชักโครกแล้วต้องก้มหน้าดูอุจจาระที่เพิ่งถ่ายออกมาเป็นอย่างแรก เป็นหลักการเดียวกัน
ไม่ช้ารถตำรวจหลายคันได้ขับมาที่นี่ ทำให้ผู้ดูแลห้องเต้นรำและเถ้าแก่ตกใจ แม่งเอ๊ย แค่มาจับการซื้อขายบริการไม่เห็นต้องทำให้เอิกเกริกขนาดนี้ ฉันแค่ทำธุรกิจสีเทา และเป็นธุรกิจขายบริการเท่านั้น ไม่ได้ค้ายาเสียหน่อย
ตำรวจล้อมสถานที่เกิดเหตุทันที ผู้ชายและผู้หญิงภายในห้องเต้นรำถูกกักตัวอยู่ที่นี่ เพราะเกิดคดีในร้านแห่งนี้และสภาพแวดล้อมของที่นี่ก็ดูวุ่นวายชุลมุน ดังนั้นต้องมีการสอบปากคำ
ด้วยเหตุนี้ผู้ชายที่แอบหนีภรรยามาเที่ยวจำนวนไม่น้อย เอ่อ…มีผู้หญิงด้วย ต่างรู้สึกตื่นตกใจมาก
หมอนิติเวชเฉพาะทางมาแล้ว จึงเริ่มจัดการพื้นที่เกิดเหตุ ส่วนโจวเจ๋อกับนักพรตเฒ่าเมื่อเสร็จภารกิจแล้วจึงเดินลงมาแล้วสูบบุหรี่อยู่ข้างรถนิสสัน
“เถ้าแก่ เรื่องนี้ประหลาดมาก แก๊งปล้นสุสานหกคน ตายในสุสานสองคน ตอนนี้สุสานก็หาไม่เจอแล้ว และมีคนหนึ่งตายในสถานที่แย่ๆ แบบนี้ ข้าเดาว่า อีกสองคนที่จับได้ตอนกลางวัน น่าจะท่าไม่ดี”
โจวเจ๋อพยักหน้า เหตุการณ์นี้มีกลิ่นตุๆ ผิดปกติจริง
“หรือว่าวิญญาณเจ้าของสุสานมาทวงเอาชีวิตจริงๆ” นักพรตเฒ่าพูดเดา
โจวเจ๋อไม่สามารถตัดบทสรุปได้ ถ้าหากวิญญาณตามฆ่าคนจริงๆ อย่างนั้นก็อยู่ในขอบเขตการดูแลของเขา พูดตามจริงนะ ผีที่สามารถออกมาฆ่าคนแก้แค้นได้ ถึงแม้จะเป็นเถ้าแก่โจวก็เจอน้อยมาก วิญญาณส่วนใหญ่มักจะมาที่ร้านหนังสือด้วยตัวเองอย่างว่าง่ายด้วยการชี้นำท่ามกลางความมืด จากนั้นถูกโจวเจ๋อ ‘จับยึด’ แล้วส่งพวกเขาไปลงนรก
แต่เมื่อเป็นยมทูตนานแล้ว โจวเจ๋อก็รู้จักผีอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ภาพจำที่เกี่ยวกับสุสานของคนสมัยใหม่ส่วนใหญ่มาจากนิยายโจรปล้นสุสานหรือไม่ก็ภาพยนตร์โทรทัศน์ที่เกี่ยวกับการปล้นสุสาน แต่ในความเป็นจริงการกระทำอุกอาจถึงขนาดระเบิดสุสานใต้ดินของจิ๋นซีฮ่องเต้กลับมีน้อยถึงน้อยมาก กระทั่งใช้นิ้วนับสิบนิ้วก็ยังพอ
โจวเจ๋อชาติที่แล้วเคยมีภารกิจหนึ่งตอนที่เป็นหมอ ครั้งหนึ่งเขาจัดทีมแพทย์หน่วยเล็กติดตามทีมนักโบราณคดีไปร่วมขุดของโบราณเพื่อการอนุรักษ์
สุสานที่ไปขุดเหมือนจะเป็นสุสานของท่านอ๋องสมัยราชวงศ์หมิง ตอนนั้นนิยายโจรปล้นสุสานกำลังมาแรงที่สุด หมอวัยรุ่นคนอื่นๆ ในทีมเหมือนสาวๆ ที่ชะเง้อคอมองหน้าลูกค้า อยากจะหาโอกาสเข้าใกล้เพื่อดูสถานที่ขุดค้น
โจวเจ๋อก็เห็นแล้ว แต่ผลที่ได้กลับผิดหวังมาก ประตูสีแดงของสุสาน ด้านหลังมีทางเดินยาวไม่ถึงสิบเมตร ห้องปีกสองห้อง ด้านในเป็นสุสานหลัก มีพื้นที่ใหญ่ประมาณบ้านชั้นเดียวตามชนบท และด้านในก็ไม่มีของดีอะไรให้ดู
สาเหตุที่ต้องมีทีมแพทย์ เป็นเพราะป้องกันความเสี่ยงจากการบาดเจ็บหรือการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นขณะขุดค้นสถานที่ ส่วนเจ้าของสุสานที่กลายเป็นผีดิบกระโดดออกมาฆ่าคนไปทั่วกลับไม่เห็นเลย
โจวเจ๋อเดาว่าผีดิบที่นักวิชาการด้านโบราณคดีเหล่านี้เคยเห็นยังไม่เยอะเท่าตัวเขาที่ตายแล้วกลับชาติมาเกิดได้เห็นในปีนี้ด้วยซ้ำ มีหลายคนที่ชาตินี้ไม่เคยเจอสักตัวก็มี ตัวเขาเองยังส่องกระจกได้ แล้วยังเห็นอิงอิง นี่ไง มีสองตัวแล้ว
แต่ตอนนั้นมีนักวิชาการคนหนึ่งของทีมนักโบราณคดีกลุ่มนั้นได้คุยกับโจวเจ๋อ บอกว่าความจริงแล้วสุสานของชนชั้นสูงและท่านอ๋องแบบนี้จริงๆ แล้วพอใช้ได้ ล้วนทำตามกฎเกณฑ์ ของที่ฝังไปพร้อมศพที่อยู่ด้านในก็ได้มาตรฐานและทำตามแบบแผน แต่สุสานของเจ้าของที่ดินและเศรษฐีท้องถิ่นแบบนั้น ถึงจะเป็นสิ่งที่ยากที่คนจะจินตนาการได้อย่างแท้จริง
ดังคำกล่าวประโยคหนึ่งที่ว่าการตกผลึกสติปัญญาของคนงานยากที่จะจินตนาการได้ แต่ในด้านของสุสานสามารถยืมประโยคนี้มาใช้ได้แต่ต้องแก้ไขนิดหน่อย นั่นก็คือสติปัญญาในการคิดสร้างสรรค์ของคนงานสมัยโบราณยากที่จะจินตนาการได้
นักวิชาการคนนั้นได้ยกตัวอย่างให้โจวเจ๋อฟัง ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกเหมือนเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน นั่นก็คือเจ้าของที่ดินตายแล้ว คนในครอบครัวกลัวว่าเขาอยู่ข้างล่างจะเหงา ดังนั้นจึงซื้อผู้ชายมาหนึ่งคน ผู้หญิงหนึ่งคน และเด็กอีกสองคน ก่อนที่จะปิดทางเข้าสุสานได้นำเด็กเข้าไปก่อน พร้อมกับน้ำและอาหารจำนวนหนึ่งแต่น้อยมาก
หลังจากเด็กกินของที่อยู่ข้างในหมดแล้ว ก็จะหิวตายอยู่ในนั้นกลายเป็นคนรับใช้อยู่ข้างล่าง ดังนั้นเจ้าของสุสานที่อยู่ด้านในอาจจะลงนรกไปเกิดใหม่แล้วก็เป็นได้ แต่พลังอาฆาตของจริง น่าจะเป็นของคนที่ถูกบังคับให้ต้องโดนฝังไปพร้อมกับศพมากกว่า
ลองคิดในมุมมองอื่นดูสิ ในสุสานที่ถูกปิดมืดสนิทออกมาไม่ได้ และข้างๆ คุณก็คือโลงศพ อาหารกับน้ำของคุณก็น้อยเหลือเกิน คุณจะรู้สึกอย่างไร
‘ปัง!’ โจวเจ๋อสะดุ้งตกใจ ตื่นขึ้นมาจากความคิด เป็นจางเยี่ยนเฟิง “สาเหตุการตายจากการสันนิษฐานในขั้นต้นคือฆ่าตัวตาย และสถานที่เกิดเหตุก็ไม่พบร่องรอยของคนร้ายหรือลายนิ้วมือของคนอื่น”
“อ่อนแอขนาดนี้เชียว” นักพรตเฒ่าบ่นพึมพำ “แค่ปล้นสุสานไม่ได้ค้ายาเสียหน่อย คงไม่ถึงขั้นถูกยิงเป้าหรอกใช่ไหม”
จางเยี่ยนเฟิงส่ายหน้า
“ฆ่าตัวตายเหรอ” โจวเจ๋อครุ่นคิดสองสามคำนี้ และสิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดก็คือ ฆ่าตัวตายทำไมถึงเลือกสถานที่แบบนี้ มีบางคนตอนที่เลือกสุสานจะพิจารณาสถานที่ที่ติดภูเขาและแม่น้ำ แต่เด็กหนุ่มกลับเลือกฆ่าตัวตายที่นี่เพราะหลังจากที่ตายไปแล้วเวลาเหงาก็ลงไปเต้นข้างล่างได้ แถมยังลูบๆ คลำๆ ได้อย่างนั้นเหรอ
อีกอย่าง คนที่ฆ่าตัวตายหมายความว่าเขาละทิ้งความวุ่นวายทุกอย่างแล้ว อยากตายอย่างเดียว ถ้าอย่างนั้นจะวิ่งมาที่ร้านหนังสือของโจวเจ๋อทำไม น่าจะลงนรกด้วยตัวเองไปเลยถึงจะถูก
“หัวหน้าจาง ได้รับการแจ้งมาว่า พบศพอีกหนึ่งศพ”
…
หลังจากขับรถสี่สิบนาที ทุกคนมาที่ริมแม่น้ำ และศพก็ถูกลากขึ้นมาแล้ว วางอยู่บนพื้นหญ้าถูกปิดด้วยผ้าขาว
คนที่พบศพเป็นพนักงานร้านอาหารที่เลิกงานตอนกลางคืนคนหนึ่ง ตอนแรกคิดว่ามีคนลงมาว่ายน้ำตอนดึก แต่หลังจากที่มองอย่างละเอียดแล้วจึงพบว่าเป็นศพคนตายที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ
เถ้าแก่โจวนั่งลงยองๆ ข้างศพพิจารณาดูพักหนึ่ง จากนั้นจึงเดินออกมา
“เถ้าแก่ มีคนกระโดดน้ำฆ่าตัวตายอีกแล้วเหรอ” ‘ฆ่าตัวตาย’ นักพรตเฒ่ากัดฟันพูดสองสามคำนี้
โจวเจ๋อส่ายหน้า “ตั้งแต่ผมเห็นเขาตอนกลางวัน กระทั่งเขาหนีไปจนถึงตอนนี้ เพิ่งกี่ชั่วโมงเอง แต่ดันมีศพอืดลอยอยู่ในน้ำเหมือนถูกแช่มาหนึ่งสัปดาห์”
จางเยี่ยนเฟิงนั่งลงยองๆ สูบบุหรี่ริมแม่น้ำ สูบบุหรี่ติดกันมวนแล้วมวนเล่า เดิมทีเขาคิดว่าเคลียร์คดีโจรปล้นสุสานได้นับว่าเป็นผลงานที่ไม่เลวชิ้นหนึ่ง เวลาที่เขียนใบรายงานสามารถเขียนได้ว่าตัวเองเดินอยู่ริมถนนตาแหลมเห็นพวกเขาดูผิดปกติ ต่อหน้าคุณธรรมความชั่วร้ายไม่มีทางหลบหนีได้ ตอนนี้เป็นไงล่ะ ผู้ต้องสงสัยหนีไปสองคน คนหนึ่งแขวนคอตาย อีกคนหนึ่งจมน้ำตาย คดีโจรปล้นสุสานง่ายๆ กำลังมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง
“เถ้าแก่ วิญญาณสองคนในแก๊งที่ถูกทิ้งอยู่ในสุสานได้ตามมาแก้แค้นหรือเปล่า” นักพรตเฒ่าพูดเดาอยู่ข้างๆ
“ใช่ ต้องหาสุสานให้เจอก่อน” จางเยี่ยนเฟิงกัดฟัน ทิ้งกุ้นบุหรี่ในมือลงบนพื้น แล้วขยี้อย่างแรงด้วยรองเท้าหนังของเขา
“ช่วยผมตามหาสุสานหน่อยครับ” จางเยี่ยนเฟิงหันไปทางโจวเจ๋อ
โจวเจ๋อส่ายหน้า
“ทำไมครับ”
“ถ้าหากผมเป็นคุณ ผมคิดว่าน่าจะทำเรื่องอื่นก่อน”
“เรื่องอะไรครับ”
“ก็คือ…”
เวลานี้โทรศัพท์ของจางเยี่ยนเฟิงดังขึ้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าโทรมาจากสถานีตำรวจ จางเยี่ยนเฟิงจึงทำสัญญาณบอกโจวเจ๋อว่าอีกสักพักค่อยคุยกัน เพราะเขาต้องรับสายก่อน ขณะที่ฟัง สีหน้าของเขาได้เปลี่ยนไปทันที หลังจากวางสายแล้ว เขาจึงมองโจวเจ๋อด้วยสีหน้าเหม่อ
“เป็นอะไร” นักพรตเฒ่าถาม
“ผู้ต้องสงสัยที่ผมกับคุณจับได้ตอนกลางวัน คนอายุมากกว่า กัดลิ้นฆ่าตัวตายแล้ว ส่วนคนที่อายุน้อยกว่าพยายามกินของผิดสำแดงฆ่าตัวตาย โชคดีที่ถูกพบและช่วยชีวิตได้ทัน ตายไม่สำเร็จ”
โจวเจ๋อแลบลิ้นออกมาแล้วเลียริมฝีปากของตัวเอง
“เมื่อกี้คุณอยากจะพูดอะไรนะครับ” จางเยี่ยนเฟิงถาม
“จะบอกว่าให้คุณเพิ่มเจ้าหน้าที่ ปกป้องคนที่ถูกจับทั้งสองคนให้ดี เอ่อ ตอนนี้ไม่น่าจะมีประโยชน์แล้ว”
…………………………………………………………………………
วันนี้มี5ตอนคะ@ploy