ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 346 ความจริง

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 346 ความจริง

หลังกินอาหารเย็นเสร็จก็อยู่ล้างจานเป็นเพื่อนภรรยา จากนั้นก็เล่นเกมพ่อแม่ลูกอยู่กับเด็กๆ พักหนึ่ง หลังจากกล่อมเด็กๆ ให้หลับแล้ว เขาก็กลับไปที่ห้องของตัวเองเช่นกัน

ภรรยากำลังอาบน้ำในห้องน้ำที่อยู่ภายในห้อง เสียงน้ำไหลกระตุ้นให้รู้สึกจั๊กจี้

เขานอนอยู่บนเตียง หนุนนอนบนมือทั้งสอง และมองดูรูปถ่ายงานแต่งงานที่แขวนอยู่บนผนัง ในรูปนั้นเขายังหนุ่มยังแน่น ภรรยาก็ยังสาวสะพรั่ง

เมื่อนอนไปเรื่อยๆ ตาของเขาก็เริ่มหรี่ลง และผล็อยหลับไปอีกครั้ง ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน เมื่อเขาตื่นขึ้นรอบๆ ตัวก็มืดสนิท เขายื่นมือคลำหาท่ามกลางความมืดมิดแล้วเปิดไฟ

เตียงก็ยังเป็นเตียงเดิม แต่ทว่ามีเพียงเขาแค่คนเดียวที่นอนอยู่ตรงนั้น เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างเงียบๆ และขดเท้าตัวเองเข้ามา ความรู้สึกอ้างว้างและความเหน็บหนาวกำลังถาโถมเข้าใส่เขา ภาพที่แตกเป็นเสี่ยงๆ บางส่วนเริ่มผุดขึ้นในความคิดอย่างต่อเนื่อง

เมฆครึ้ม

ฟ้าผ่า

ฝนตกหนัก

ห้องนั่งเล่น

โซฟา…

เขารู้สึกหายใจลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์ที่เรียกว่า ‘สิ้นหวัง’ เริ่มเข้าครอบงำเขา เริ่มขนลุกชันไปทั่วร่าง เขาไม่กล้าเดินออกจากห้องนอน ไม่กล้าเปิดประตู เขากลัวจะไม่ได้ยินเสียงเด็กๆ กลัวว่าจะไม่ได้เจอภรรยาของเขา ยิ่งกลัวว่าเดินลงบันไดจะมองเห็นว่าบนโซฟาในห้องนั่งเล่น…

“เฮือก…ฮะ…เฮือก…”

เสียงหอบหายใจหนักกลับทำให้สมองของเขาว่างเปล่ามากขึ้นเรื่อยๆ เขาพยายามย่องเงียบผลักเปิดประตูราวกับขโมย หลับตาและอุดหู จินตนาการตามภาพจำเท่าที่ทำได้ วิ่งเข้าห้องหนังสือที่อยู่ข้างๆ ไป

‘ปัง!’

วินาทีที่เขาปิดประตูห้องหนังสือ เขารู้สึกว่าก้อนหินในใจตกหล่นลงก้นบึ้งในจิตใจเขา

เขาจ้องมองไปทางปากกาที่วางอยู่บนโต๊ะเงียบๆ ตรงนั้นด้วยสายตาที่ขุ่นมัว ราวกับเขาเจอที่พึ่งพิงของตัวเองแล้ว เขาเดินเข้าไปหยิบปากกาขึ้นมาและพลิกเปิดสมุดหน้าที่ว่างเปล่า จากนั้นหยิบหนังสือ ‘คนสองด้าน’ ของภรรยาตัวเองออกมาเริ่มคัดลอกอีกครั้ง

เขาลืมตัว เขาหมกมุ่น นอกจากคัดลอกตัวอักษรแล้ว เขาไม่มีความรู้สึกนึกคิดอื่นใดแล้ว และไม่กล้ามีมันด้วย

ไม่มีใครรบเร้าเขา แต่เขากลับหวงแหนเวลาเป็นพิเศษ เขาเขียนไวมาก ลายมือก็เริ่มกลายเป็นไก่เขี่ย เพราะในใจของเขารอไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

เขาไม่ทันสังเกตว่าผิวหนังของเขาเริ่มเหี่ยวย่นเหมือนเปลือกต้นเอล์มจีนที่ขาดน้ำ และไม่ทันสังเกตว่าเบ้าตาของตัวเองค่อยๆ เว้าลึกลงไป เขายังอายุไม่ถึงสามสิบปี แต่บนหัวเริ่มมีผมหงอกปรากฏขึ้นเป็นหย่อมๆ แล้ว

ดูเหมือนว่าหมึกในปากกายังคงไม่มีวันหมด สามารถเขียนตัวอักษรออกมาได้เรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องเติม เขียนไปเรื่อยๆ เขียนไปจนฟ้าสว่าง เขียนจนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดอีกครั้ง

กริ่งประตูดังขึ้น เขาลุกขึ้นยืนทันที รีบผลักประตูแล้วเดินออกไป

เมื่อยืนอยู่บนชั้นสองเขามองเห็นภรรยาของเขาเดินผ่านไปเปิดประตู มีแขกมาเยี่ยม ว่ากันว่าเป็นแฟนคลับสาวตัวยงของภรรยาเขา

เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาดูการ์ตูนอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น เมื่อเห็นฉากนี้เขาก็ฉีกยิ้มและหัวเราะขึ้นมา แม้ว่าเขาจะซีดเซียวมากและริมฝีปากที่แห้งแตกดูเหมือนจะมีเลือดซึมออกมาก็ตามที

เขียนสิ เขียนต่อไปเรื่อยๆ คัดลอกหนังสือจบเล่มแล้วก็คัดลอกเล่มต่อไปอีก เขาหยุดมันไม่ได้ และไม่อยากหยุดด้วย เขียนจนลืมกินข้าวกินปลา เขียนจนไม่ยอมหลับยอมนอน เว้นเสียแต่ว่าได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงออกไปดูเป็นระยะ ดูภรรยาของเขา แล้วดูลูกๆ ของเขา จากนั้นก็กลับมาเขียนต่อ เขากลัวว่าถ้าเขาไม่เขียนต่อ ก็จะไม่ได้เจอพวกเขาอีกแล้ว

เรื่องราวสยองขวัญของภรรยาเขียนขึ้นโดยมีบ้านพักหลังนี้ของครอบครัวตัวเองเป็นต้นแบบทั้งนั้น ดังนั้นในเรื่องจึงมีครอบครัวนี้ มีเธอและมีพวกเด็กๆ

ภายใต้แสงโคมไฟตั้งโต๊ะในห้องหนังสือ มีเงาร่างหนึ่งกำลังนั่งคัดลอกหนังสืออยู่ เงาร่างนั้นผอมมากจนแสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะดูเหมือนจะส่องทะลุตัวเขาได้

ตัวหนังสือที่เขียนมีมากขึ้นเรื่อยๆ หนังสือที่คัดลอกก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มค่อยๆ ผอมลงและซีดเซียวมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งวันหนึ่งที่เขาคัดลอกหนังสืออีกเล่มหนึ่งเสร็จ เมื่อวางปากกาลง ขาทั้งสองข้างได้ลีบเล็กเหลือเท่าตะเกียบไปแล้ว มีเพียงผิวหนังชั้นเดียวที่แนบติดกับใบหน้า เบ้าตาเว้าลึกจนมองไม่เห็นลูกตาดำแล้ว เห็นเพียงแสงสว่างรำไรสองดวงที่คล้ายกับดวงไฟวิญญาณไหลเวียนระยิบระยับอยู่…

เขาเปิดประตูอย่างสั่นเทา เมื่อเดินออกไปเขาก็ได้ยินเสียงภรรยาของเขา และได้ยินเสียงลูกๆ ของเขาเช่นกัน ทั้งหมดนี้ช่างงดงามและน่าฟังมาก มันคือเสียงของธรรมชาติ คือความหวังและการหยัดยืนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปของเขา

ไม่รู้สึกลำบาก และไม่รู้สึกเหนื่อยล้า อะไรคือความลำบาก อะไรคือ…ความเหนื่อยล้า ไม่อีกแล้ว

ฝ่ามือจับราวบันไดไว้ เขาไม่กล้าเดินลงไป เขาได้แต่เฝ้าดูอย่างเงียบๆ และฟังอย่างเงียบๆ เพลิดเพลินไปกับวันเวลาแสนเงียบสงบของตัวเอง

ในเวลานี้เขาได้ยินเสียงแว่วๆ ภรรยาของเขากำลังร้องไห้ ลูกๆ ของเขาก็กำลังร้องไห้

เขาชะงักไป ทำไมกัน ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ ทั้งครอบครัวใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและเรียบร้อยดีนี่นา ทำไมถึงร้องไห้กันล่ะ

เขาลนลานและสับสนเล็กน้อย เขาใช้มือทั้งสองข้างจับราวบันได และเดินลงไปทีละขั้นด้วยความยากลำบาก

การลงบันไดแต่ละขั้นในเวลานี้ถือเป็นความท้าทายสำหรับเขาอย่างมาก เขากลัวตัวเองจะร่วงตกลงไป ถ้าเขาตกลงไปละก็อาจจะกลายเป็นผุยผงไปเลยก็ได้ เขาไม่ได้กลัวหล่นจนกลายเป็นผุยผง แต่กลัวว่าจะไม่มีคนคัดลอกงาน จะไม่มีใครหยิบปากกามาเขียนต่อได้อีกแล้ว แต่เขาก็ยังอยากลงไป เขาอยากถามภรรยาและลูกๆ ของเขาให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ร้องไห้ทำไม

ในที่สุดเขาก็เดินลงไปจนสุดขั้นบันได เขาหอบหายใจถี่ หลังค่อม ไม่สามารถยืดตัวตรงได้ และใช้มือคลำหาทางไปข้างหน้าต่อ

เขามาถึงห้องนั่งเล่น มองเห็นตรงกลางโซฟา ภรรยานั่งตรงกลาง ส่วนลูกๆ นั่งขนาบทั้งสองข้าง ภรรยากำลังร้องไห้ ลูกชายกำลังร้องไห้ ลูกสาวก็กำลังร้องไห้ด้วย

บนพื้นมีเจ้าอลาสกันหมอบอยู่ตรงนั้น มีเครื่องเล่นเยอะแยะมากมาย แล้วยังมีหน้ากาก มีเสื้อคลุม มีใบหน้าคน มีเงาดำ มีสิ่งน่าสะพรึงกลัวต่างๆ นานากำลังวนเวียนไปมาและกำลังกะพริบโอบล้อมรอบอยู่

ท่ามกลางความมืดมิด คุณยังสามารถได้เสียงดวงวิญญาณไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรกำลังคร่ำครวญ กำลังร้องไห้และโหยหวนอยู่!

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นบทบาทตัวละคร ฉาก และอุปกรณ์การแสดงที่เคยปรากฏในนวนิยายสยองขวัญของภรรยามาก่อนแล้วทั้งนั้น เขาไม่คิดว่ามันแปลกอะไร และไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไร

เขาอ้าปาก อยากถามภรรยา อยากถามลูกๆ ว่า พวกเธอร้องไห้กันทำไม เรายังมีชีวิตอยู่และยังสามารถอยู่ด้วยกันได้ มันดีมากแล้วไม่ใช่เหรอ แต่เขาทำได้เพียงเปล่งเสียงแหบแห้งออกไปราวกับยุงที่พูดไม่ได้เลย

เลือดเริ่มไหลออกมาจากดวงตาของภรรยา ในดวงตาของพวกเด็กๆ ก็เช่นกัน

ฉากนี้ทำให้เขาหวาดกลัว

ภรรยาปีนลงจากโซฟาพร้อมกับลูกๆ และคลานมาหาเขา เขามองเห็นสองมือของภรรยากอดขาของเขาไว้ เธอกำลังอ้อนวอน กำลังขอร้อง กำลังร้องไห้อย่างเจ็บปวด และเขาก็เห็นลูกทั้งสองคนของเขาทำแบบเดียวกัน

“ที่รักปล่อยฉันไปเถอะนะ ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันทนความทรมานแบบนี้ไม่ไหวแล้ว ฉันทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ปล่อยฉันไปเถอะ ได้โปรด ที่รัก ปล่อยฉันไปเถอะ ปล่อยฉันไปเถอะนะ…”

“พ่อจ๋า พ่อปล่อยพวกหนูไปเถอะ…ที่นี่มันน่ากลัวมากเลย มันทรมานทุกวัน พวกหนูกลัวจังเลย…”

“พ่อครับ ได้โปรดปล่อยพวกเราไปเถอะนะ ผมกับน้องทนไม่ไหวแล้ว ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ…”

เมื่อมองไปที่ด้านล่างของตัวเขา เขาเห็นใบหน้าของภรรยาและลูกๆ บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด วินาทีนั้นเสียงสายฟ้าฟาดดังขึ้นในสมองของเขาทันที เขาเริ่มถอยโซเซไปด้านหลังพลางส่ายหน้า เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

ทำไม ทำไมกัน เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง ไม่ เป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้!

หลังจากที่ความจริงอันเย็นเยือกแต่เดิมถูกม่านสวยงามบดบังไว้ ทำให้คนเกิดภาพลวงตาอันแสนงดงาม

ภาพลวงตา สุดท้ายแล้วก็เป็นภาพลวงตา

เขาคลานลงกับพื้น สองมือกุมศีรษะ ทุกวันนี้เขาเอาแต่คัดลอกตัวอักษรอยู่ในห้องหนังสือมาโดยตลอด ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเลย

แต่ว่าในโลกภายนอก เขายังปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนทุกวัน ยังคงสั่งงานและมอบหมายให้พนักงานในโรงงานจัดการตามคำสั่งซื้อจนแล้วเสร็จเหมือนเดิม กระทั่งหลังจากที่น้าแม่บ้านในบ้านมีปัญหา เขาก็ยังหาพี่เลี้ยงในบ้านคนใหม่มาให้

ทั้งหมดนี้เขาเป็นคนทำ แต่เขากลับไม่รู้เลย ไม่รู้เรื่องเลย

เขารู้เพียงแต่ว่าเมื่อภรรยาและลูกๆ ของเขามาขอร้องอ้อนวอนให้ปล่อยพวกเขาไปต่อหน้าเขา เขาได้เสียสติไปแล้ว และตกอยู่ท่ามกลางความสับสน

สายตาเริ่มพร่ามัว ในการมองเห็นที่พร่ามัวนี้ เขามองเห็นพี่เลี้ยงคนใหม่เข้ามาที่ประตู เมื่อมองเห็นศพภรรยาและลูกๆ ของเขา ก็ส่งเสียงกรีดร้อง หนำซ้ำยังมีจดหมาย ‘ลาตาย’ ที่ภรรยาเขียนทิ้งเอาไว้บนโต๊ะรับแขกด้วย เป็นคำพูดที่ภรรยาขอร้องให้เขาปล่อยเธอไป เขาเขียนมันลงไปตามสัญชาตญาณ เหมือนกับกำลังคัดลอกหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์ของภรรยาเขา เขียนตัวอักษรสีดำลงไปในกระดาษขาว

และสิ่งนี้ประกอบกับรอยฟกช้ำเมื่อนานมาแล้วบนตัวภรรยาและลูกของเขา ได้กลายเป็นหลักฐานเอาผิดสำคัญที่ทำให้เขาถูกตัดสินว่าใช้ความรุนแรงในครอบครัว

ความยุ่งเหยิงของความเป็นจริงและสิ่งสมมุติได้พังลงแล้วสร้างขึ้นใหม่วนเวียนอยู่ในความคิดของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้จบ แต่เมื่ออยู่ในคุกเขามีเวลามากมายให้ขบคิดและจัดระเบียบความคิดของเขาใหม่อีกครั้ง

ดังนั้นเขารู้สึกขอบคุณสภาพแวดล้อมของเรือนจำแห่งนี้ เป็นการแสดงความขอบคุณจากใจจริง

ภาพความทรงจำในแววตาค่อยๆ เลือนหายไป มุมปากของเขาค่อยๆ ร่างเส้นโค้งออกมา เขาเคยลองพยายามกลับมาใช้ชีวิตอีกครั้ง แต่กลับทำให้เขาพบกับความเป็นจริงที่น่าทึ่ง การมีอยู่ของเขากลับไม่มีตัวตนอยู่จริง คนรอบข้างยังสามารถมองเห็นและพูดคุยกับเขาได้ หัวหน้าเรือนจำยังชื่นชมเขามาก ตัวอักษรที่เขาเขียนยังสามารถตีพิมพ์และได้รับรางวัลอีกด้วย

แต่เขามีตัวตนอยู่จริงๆ น่ะเหรอ

เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้กลายเป็นเฉกเช่นวิญญาณตนหนึ่งอย่างแท้จริง แต่ไม่ใช่ประเภทวิญญาณผีแบบนั้น เห็นอยู่ชัดๆ ว่าทุกคนรู้จักคุณ แต่คุณกลับไม่มีตัวตน มันเป็นความขัดแย้งอย่างหนึ่ง และเป็นความทรมานอย่างหนึ่งอีกเช่นกัน

เขาใช้เวลาถึงสี่ปีกว่าๆ ในคุกและเพิ่งจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้

เมื่อมองหญิงสาวที่หวาดกลัวอย่างสุดๆ ตรงหน้า เขาอ้าปากและขยับริมฝีปากทำท่า ‘ชู่ว’ จากนั้นพูดช้าๆ

“หรือว่าผมจะรู้วิธีใช้ปากกาด้ามนี้แล้วว่าใช้ยังไง”

“ชะ…ใช้ยังไง…”

หญิงสาวที่มาจากสะพานไน่เหอมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความหวาดกลัวจากใจจริง

“นั่นก็คือการทำให้ตัวเองกลายเป็นตัวละครในเรื่องที่เขียนขึ้น แต่ไม่ใช่…คนที่มีชีวิตอยู่จริง”

นักโทษสูดหายใจลึก แหงนหน้าพิงพนักเก้าอี้

“ดังนั้นทำไมเรื่องราวถึงได้ราบรื่นขนาดนี้ พอคุณออกมาจากนรกก็สามารถหาผมเจอได้ทันที มันราบรื่นเสียจนดูเหมือนว่าถูกจัดวางโครงเรื่องไว้อย่างดี ใช่ไหมล่ะ”

หญิงสาวพยักหน้า ใช่แล้ว มันราบรื่นจนเกินไป

“เหอะๆ…” นักโทษหัวเราะ “ผมเสียใจที่ต้องบอกคุณว่า เรื่องนี้น่ะ ผมไม่มีความสามารถพอ และมันจบแล้ว…ขอโทษด้วยที่รบกวนคุณ หายไปกับผมซะเถอะ”

ในห้องนอนบนชั้นสองของร้านหนังสือ

ทนายอันที่เพิ่งช่วยนักพรตเฒ่าปลดพันธนาการนั่งอยู่บนเตียง นักพรตเฒ่ารีบเผ่นลงไปทาน้ำมันดอกคำฝอยนู่นแล้ว หลังจากที่จางเยี่ยนเฟิงถูกทนายอันยับยั้งเอาไว้ก็ตกอยู่ในสภาวะหมดสติอีกครั้ง

แต่ลมหายใจคงที่แล้ว หัวใจก็เต้นขึ้นมาแล้ว ได้นอนหลับสักตื่นคาดว่าน่าจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้จริงๆ แล้ว ทุกอย่างกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดี

ทนายอันรู้สึกว่านี่มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์เล็กน้อย การทำให้วิญญาณธรรมดาที่เพิ่งตายยืมซากศพคืนชีพกลับมา ทำได้สำเร็จจริงๆ

ขณะที่ใช้ผ้าขนหนูเช็ดหยดน้ำบนเส้นผม ก็หยิบวารสาร ‘คุกเดือด’ เล่มนั้นขึ้นมาพลิกเปิดไปเรื่อยๆ ครึ่งเล่มแรกของวารสารเป็นการพูดสุนทรพจน์ของหัวหน้าเรือนจำและการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ส่วนครึ่งหลังผู้ต้องขังในเรือนจำเขียนถึงแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงและข้อคิดที่ได้จากประสบการณ์ อ่านแล้วค่อนข้างน่าสนใจมากทีเดียว

เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ จนพลิกมาถึงหน้าสุดท้าย

เอ๊ะ

ทนายอันชะงักไปครู่หนึ่ง หน้าสุดท้ายแล้วนี่นา แต่ดูเหมือนว่าบางอย่างจะขาดหายไป เหมือนว่าเดิมทีตรงนี้มันควรจะมีบทความอยู่เรื่องหนึ่ง คลับคล้ายคลับคลาว่าเขาเคยอ่านมัน แต่กลับหายไปแล้ว

หรือผมจำผิดงั้นเหรอ

……………………………………………………….

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

Status: Ongoing
หลังจากการตายที่ไม่คาดคิด สิ่งที่เขาได้รับคือ ตัวตนใหม่ ร้านหนังสือใกล้เจ๊ง และตำแหน่งยมทูตจำเป็น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท