ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 413 อย่าได้รังแกล่วงเกินภรรยาเพื่อน!

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 413 อย่าได้รังแกล่วงเกินภรรยาเพื่อน!

นี่คือคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง คนแรกที่ฝังอำพรางศพคือชายชราที่ฆ่าชำแหละศพเมื่อสิบหกปีก่อน และคนที่ภายหลังได้ก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องทุกปี ก็คือชายชราที่กินเนื้อมนุษย์คนนั้น ชายชราคนนี้น่าจะถูกหยกผีควบคุม จนกลายเป็นหุ่นเชิดที่ถวายเครื่องเซ่นไหว้ให้หยกผีทุกปี

แต่ของอย่าง ‘หยกผี’ นี่ หากเขากล้าใช้เป็นหลักฐานรายงานขึ้นไปละก็ เดาว่าเบื้องบนคงไม่พูดพร่ำทำเพลงสั่งพักงานเขาทันที เพื่อให้เขาสะดวกในการไปพบจิตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา

แต่ตอนนี้ หลังจากได้หลักฐานชิ้นนี้ นักพรตเฒ่าก็จะสามารถลบล้างความผิดไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว

ส่วนเรื่องที่นักพรตเฒ่าถูกพบและถูกจับในที่เกิดเหตุ รวมถึงในเวลาต่อมา เรื่องที่เขายอมรับว่าตัวเองคือฆาตกร ก็สามารถอ้างได้ว่าฆาตกรพยายามคิดจะฆ่าเขา เขาทำไปเพื่อป้องกันตัว หลังจากฆ่าฆาตกรแล้ว ด้วยอายุที่มากเมื่อเสียขวัญอย่างหนัก จึงทำให้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและพูดจาเลอะเลือน

ประกอบกับตอนนี้นักพรตเฒ่ายังร้องแหกปากว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่ในห้องขังไม่หยุด เขากลับคำรับสารภาพของตัวเองก็อธิบายได้ในตัวมันเองอยู่แล้ว ต้องไปดูรายละเอียดอีกทีว่าจะผลักดันเรื่องนี้อย่างไร สิ่งสำคัญเลยก็คือ นักพรตเฒ่าเพิ่งเข้ามาอาศัยอยู่ในทงเฉิงเมื่อปีที่แล้วเอง ยากที่จะบอกว่าเขามีส่วนร่วมกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในทงเฉิงตั้งแต่เมื่อสิบหกปีที่แล้ว

“จริงสิ วานตรวจสอบให้ผมหน่อย วันที่เกิดคดีในปี 2016 ลู่ฟ่างเวิงอยู่ที่ไหน”

“ผมจำได้ว่าจากการตรวจสอบกิจกรรมคร่าวๆ ของเขาในตอนนั้นแล้ว เขาน่าจะอยู่ที่หรงเฉิง อ้อ หัวหน้าครับ คุณรอผมแป๊บหนึ่ง” ขณะที่พูด เสี่ยวเฉ่าหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและเริ่มค้นหา หลังจากนั้นประมาณห้านาที เขาก็ยื่นโทรศัพท์มือถือส่งให้จางเยี่ยนเฟิง

“หัวหน้าครับ หาเจอแล้ว นี่เป็นวิดีโอถ่ายทอดสดของเขาในหนึ่งวันนั้น วันนั้นเขาไปร่วมงานศพและทำการถ่ายทอดสด การถ่ายทอดสดของเขาได้รับความนิยมอย่างมากบนอินเทอร์เน็ตมาโดยตลอด แพลตฟอร์มการถ่ายทอดสดนี้จะบันทึกประวัติการถ่ายทอดสดของนักถ่ายทอดสดที่มีชื่อเสียงเอาไว้ ซึ่งหมายความว่าตอนที่เกิดคดีขึ้น ลู่ฟ่างเวิงอยู่ที่หรงเฉิงไม่ได้อยู่ที่ทงเฉิง เขาไม่มีโอกาสในการก่อคดีอย่างแน่นอน”

“ความเกี่ยวข้องระหว่างผู้เสียชีวิตทั้งสองคนที่ระบุตัวตนได้ก่อนหน้านี้กับเขา สามารถอธิบายได้ไหม” จางเยี่ยนเฟิงถาม

“คนหนึ่งเป็นหนุ่มจากมณฑลเสฉวนที่ทำงานในเมืองทงเฉิง เคยได้รับทุนช่วยเหลือส่วนตัวจากลู่ฟ่างเวิงตอนเรียนชั้นมัธยมต้น ส่วนผู้เสียชีวิตอีกคนที่เสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว เวลาการเสียชีวิตของเขา บังเอิญเป็นวันที่สองที่ลู่ฟ่างเวิงนั่งเครื่องบินเดินทางมาทงเฉิงพอดี ภายใต้คำให้การที่บ่งชี้ว่าเขาเป็นฆาตกรต่อเนื่อง หลักฐานเหล่านี้เป็นหลักฐานที่ใช้เพิ่มเติม แต่ถ้าตัดอคติส่วนตัวทั้งหมดแล้วมองอย่างเป็นกลางละก็ หลักฐานทั้งสองชิ้นนี้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญและชักนำให้สรุปความเอาเอง ไม่มีมูลความจริง”

จางเยี่ยนเฟิงพยักหน้า “คุณกลับไปรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับซย่าชุนฮวาที่เราเพิ่งได้รับ และจัดการรายงานไปยังทีมเฉพาะกิจด้วย”

“หัวหน้าครับ อันที่จริงผมมีเรื่องที่สงสัยมากมาโดยตลอด ทำไมคุณถึงยืนกรานพลิกคดีของชายชราคนนั้นเหรอครับ”

“พวกเราเป็นตำรวจจะปล่อยให้คนชั่วลอยนวลไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถปรักปรำคนดี! เครื่องมือของรัฐอยู่ในกำมือของเรา หากเราไม่สืบสวนเรื่องนี้ให้ชัดเจนและไม่สามารถให้ความยุติธรรมกับใครได้ อย่างนั้นชีวิตของคนคนหนึ่งและแม้แต่ครอบครัวของเขาก็คงจะพังพินาศไปเพราะเหตุนี้”

“เอ๊ะ คำพูดนี้คุ้นหูมาก ตอนที่หัวหน้าจางในอดีตของผมยังมีชีวิตอยู่ก็มักจะพูดอย่างนี้บ่อยๆ หัวหน้าครับ คุณดูเหมือนหัวหน้าจางเลย จริงๆ นะครับ พวกเราหลายๆ คนต่างก็รู้สึกแบบนี้เช่นกัน”

จางเยี่ยนเฟิงอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วยิ้ม ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาตอบโต้

หลังจากจอดให้เสี่ยวเฉาลงที่สี่แยก จางเยี่ยนเฟิงรีบขับรถตรงไปที่ร้านหนังสือทันที ตอนนี้ในความคิดของเขาร้านหนังสือคือกลุ่มผู้ก่อการร้าย!

วางแผนปล้นคุก แม่งเอ๊ย เรื่องบ้าบอคอแตกชัดๆ !

โดยเฉพาะในช่วงต้นปี ทงเฉิงเพิ่งจะมีพ่อค้ายาเสพติดคนหนึ่งแหกคุกได้สำเร็จระหว่างคุมตัวส่งศาล เพราะเหตุนี้จึงสร้างความโกลาหลและเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน หากเกิดเรื่องแหกคุกอีกครั้งละก็ ตำรวจในทงเฉิงจะมีหน้าไปเจอคนอื่นๆ อย่างไร

หากมีช่องทางที่สามารถแก้ปัญหาตามกฎหมายได้ก็ทำเถอะ! ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามจงเชื่อในกฎหมาย! นี่คือความเชื่อของจางเยี่ยนเฟิง

ในขณะที่นึกถึงเบาะแสที่ได้รับ และคาดการความยากง่ายในการพลิกคดี รถของจางเยี่ยนเฟิงแล่นไปถึงที่ตั้งด่านเก็บค่าผ่านทางด่วนหวนเฉิง รถตำรวจไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าผ่านทางด่วน ไม้กั้นลดลงและไม่นานก็ยกขึ้นอีกครั้ง

“สวัสดีครับ เรายินดีที่ให้บริการท่าน ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ!”

จางเยี่ยนเฟิงหันหน้าไปมองเจ้าหน้าที่เก็บเงิน เห็นเพียงเจ้าหน้าที่เก็บเงินชายนั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งทื่อยิ่งกว่าอะไร ยิ้มจนทำให้เขาผวาไปถึงข้างใน แม้กระทั่งทำให้เขาเข้าใจผิดนึกว่าญาติ (ผีดิบ) ของเถ้าแก่เขาแจ้นมาทำงานที่ด่านเก็บค่าผ่านทางแล้ว

“ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ!” เจ้าหน้าที่เก็บเงินยังคงยิ้มและทำท่าโบกมือ ‘ลาก่อน’ ให้จางเยี่ยนเฟิงอย่างแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์

เมื่อรถของจางเยี่ยนเฟิงแล่นออกไป เขาก็หันกลับไปยืดตัวตรงอีกครั้ง เมื่อรถคันต่อไปมาถึง เขาก็หันกลับมาตัวตั้งตรงอีกครั้งพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มอย่างแข็งทื่อต่อไป และพูดตามมาตรฐานเหมือนเดิมอย่างกับแกะ

หลังจากขับรถออกไป เหล่าจางคาบบุหรี่หนึ่งมวนด้วยความเคยชิน ไม่ได้จุดเพียงแค่คาบเอาไว้ ทุกอย่างอยู่ภายใต้ระบบ เขาเข้าใจดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าผีดิบของชายคนนั้น จะต้องเป็นคำสั่งของหัวหน้าแน่ๆ ข้างในนั้นยังมีกล้องอีกต่างหาก บริการอย่าง ‘ยิ้มแย้มแจ่มใส’ ในทุกย่างก้าวถูกกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด หากโชคร้ายถูกจับภาพได้ว่าไม่ทำตามก็จะถูกปรับและตำหนิ

นี่ดีนะที่ยังเป็นช่วงกลางวัน หากผ่านด่านเก็บค่าผ่านทางช่วงกลางคืน คาดว่าคงจะช็อกจนหัวใจวายได้

หลายๆ คนต่างก็คิดว่างานข้าราชการนั้นดี แต่ความเป็นจริงแล้ว จางเยี่ยนเฟิงรู้ดีว่าข้าราชการระดับล่างส่วนมากหน้าชื่นอกตรม โดยเฉพาะหลังจากเจอหัวหน้าประเภทที่เอาแต่อยู่ในสำนักงานห้องแอร์ทั้งยังพิสดารไม่เหมือนมนุษย์มนาและเจ้าชู้เกี้ยวพาราสี นั่นก็ยิ่ง ‘เพลิดเพลิน’ อยู่บนสวรรค์ชั้นเจ็ดเลยทีเดียว แค่ตบตูดก็สามารถตั้ง ‘กฎ’ น่าเหลือเชื่อสารพัดออกมา

อย่างเช่น เมื่อไม่นานมานี้เคยได้ยินเถ้าแก่ของเขาบอกว่า การเซ่นไหว้เงินกระดาษเป็นเรื่องต้องห้ามในฮาร์บิน เพราะรู้สึกว่าคล้ายกันกับการเผาเงินกระดาษในเทศกาลเชงเม้ง เป็นตัวการที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม เถ้าแก่ของเขายังสงสารยมทูตในฮาร์บินอยู่เลย รายได้จะลดน้อยลงขนาดไหนกันละเนี่ย

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแล่นมาจอดที่หน้าประตูร้านหนังสือ จางเยี่ยนเฟิงรีบลงจากรถทันที เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังไปหยุดผู้ก่อการร้ายไม่ให้สร้างความเดือดร้อน

แต่ทว่าหน้าประตูร้านหนังสือมีรถคาดิลแลคจอดอยู่คันหนึ่ง หลังจากผลักประตูเปิดเข้าไปก็พบว่ายังมีชายวัยกลางคนที่แต่งตัวภูมิฐานดูเนี้ยบมากนั่งอยู่ตรงนั้น กำลังคุยกับทนายอันอยู่ อีกทั้งดูเหมือนพวกเขาทั้งสองคุยกันอย่างจริงจัง คล้ายๆ กับเสียใจที่เจอกันช้าไปเสียอย่างนั้น

แม้ว่าจะไม่สนิทกัน แต่จางเยี่ยนเฟิงรู้ว่าเขาคือใคร เขาคือพ่อของสาวน้อยโลลิ และก็เป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกันกับเถ้าแก่ของเขา ชื่อหวังเคอ

ในเวลานี้ ทนายอันชวนหวังเคอดื่มกาแฟสำเร็จรูปหมดอายุ ‘ที่มีค่าที่สุด’ ของเถ้าแก่ของเขาด้วยกันอย่างกระตือรือร้น หวังเคอดื่มแล้วใบหน้าขรึมลง แต่เมื่อเห็นความกระตือรือร้นของทนายอันที่ไม่ได้เสแสร้งต่อเขา เลยแสร้งจิบไปเพียงเล็กน้อยเพื่อเอาใจ

หวังเคอก็โตมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเช่นกัน หลังจากอาศัยความพยายามจนเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่เคยทำให้ตัวเองลำบากในด้านการใช้ชีวิต คนที่ยากจนข้นแค้นในวัยเด็กเมื่อโตขึ้นก็มักจะตอบสนองความพึงพอใจในด้านนี้กับตัวเอง อย่างเช่น ตอนไปซื้อไอศกรีมหรือขนมอื่นๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่ากินเยอะขนาดนั้นไม่ได้ แต่ก็ยังอยากซื้อกลับมาทีละมากๆ พูดง่ายๆ เลยคือแค่เพลิดเพลินกับความพึงพอใจที่ตอนนี้ตัวเองสามารถหาเงินซื้อของที่เมื่อก่อนซื้อไม่ได้

ด้วยเหตุนี้ กาแฟนี้เป็นอย่างไรนั้น หวังเคอสามารถแยกแยะออกได้ แต่เมื่อเห็นทนายอันกระดก ‘แก้วโคตรใหญ่’ คำโตๆ ไม่หยุด เขาทำได้แค่เสียสละชีวิตดื่มเป็นเพื่อนสุภาพบุรุษท่านนี้แล้วละ

เมื่อจางเยี่ยนเฟิงเดินเข้าไป ได้ยินพวกเขาทั้งสองคนคุยหัวข้ออะไรบางอย่างเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของมนุษย์

หวังเคอเป็นจิตแพทย์ เป็นปรมาจารย์ในด้านนี้ แถมยังเป็นชายที่สามารถทำให้หลินเข่อรู้สึกอาลัยอาวรณ์กับเขาเป็นพิเศษ ส่วนทนายอันก็เชี่ยวชาญเรื่องวิชาลวงตา จริงๆ แล้วมันเป็นวิชาชีพจิตวิทยาอีกประเภทหนึ่ง ทั้งสองจึงสามารถคุยกันได้จริงๆ

“ในความเป็นจริงแล้ว นิสัยของมนุษย์แฝงไปด้วยความหลากหลายที่เด่นชัด แม้จะรู้สึกว่าตัวเองพิเศษและดีเลิศมาก แต่ความพิเศษและดีเลิศอย่างนี้มักจะเป็นภาพลวงตา ยกตัวอย่างสักสองสามข้อ

อย่างเช่น ไม่ชอบเปิดรับอะไรใหม่ๆ ไม่อยากเจอคนใหม่ๆ

อย่างเช่น หลังจากลืมตอบข้อความของใครสักคนในทันที ก็จะคิดอยู่นานว่าหากตอบได้ไม่ดีก็ไม่ตอบเสียดีกว่า

อีกตัวอย่างหนึ่ง หลังจากได้เข้าร่วมกลุ่มมีความกระตือรือร้นสุดๆ และทักทายอย่างร่าเริง จากนั้นรีบออกมาแล้วบล็อกข้อความกลุ่มนั้นทันที

พวกนี้ล้วนเป็นลักษณะที่เหมือนกันของจิตวิทยาในมนุษย์ ส่วนจะใช้ประโยชน์จาก ‘คุณลักษณะ’ ที่ตัวเองคิดว่าเป็นเอกลักษณ์นี้อย่างไร เพื่อไปทำลายเกราะป้องกันทางจิตใจของเขา เปลี่ยนเรื่องพิเศษให้เป็นเรื่องธรรมดา เปลี่ยนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย การเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ต้องใช้ความรู้และความพยายามอย่างมาก”

“พูดได้ถูกต้องมาก มา ชนแก้ว!”

“อึกๆ…”

กาแฟสำเร็จรูปที่หมดอายุถูกกระดกเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว อิงอิงถึงกับติดต่อตัวแทนกาแฟสำเร็จรูปเพื่อขอรับเอาสินค้าที่หมดอายุในมือของพวกเขามาโดยเฉพาะ

ทนายอันหลงใหลและคลั่งในรสชาติกาแฟสำเร็จรูปหมดอายุ ไม่กี่วันที่ผ่านมาอิงอิงหาซื้อสินค้าที่หมดอายุไปแล้วไม่ได้จริงๆ ที่มีบนชั้นก็ยังไม่หมดอายุ ทนายอันยังก่นด่าเถ้าแก่มั่วซั่วหาว่าขี้เหนียว ไม่ยอมเอากาแฟดีๆ มาให้เขาดื่ม

“เหล่าจาง คุณกลับมาแล้วเหรอครับ” ทนายอันทักทายเหล่าจาง

เหล่าจางนั่งลงข้างทนายอัน

“สำหรับคดีของนักพรตเฒ่า มีเบาะแสใหม่และมีความหวังที่จะพลิกเกมโดยไม่ต้องปล้นคุก ก็สามารถทำให้นักพรตเฒ่าพ้นผิดได้ คุณเป็นทนายความ ผมมาคุยกับคุณน่ะ เรามาคิดวิธีการอย่างละเอียดกันเถอะ!”

“ครับ” ทนายอันรับปากทันที เรื่องเมื่อคืนเหล่าจางไม่ได้เข้าร่วมเลยไม่รู้เรื่องที่ว่า เพียงเพื่อช่วยนักพรตเฒ่า ได้ดึงดูดภาพเสมือนของสัตว์เทพออกมา ถ้าเถ้าแก่ไม่ใช้สูตรโกงละก็ ผลลัพธ์ที่ได้คงจะแย่ไม่น้อยเลยจริงๆ ในเมื่อตอนนี้มีความหวังว่าจะสามารถใช้วิธีที่ถูกต้องและเหมาะสมช่วยนักพรตเฒ่าให้พ้นโทษได้ ทนายอันต้องเห็นด้วยแน่นอนอยู่แล้ว

“งั้นพวกคุณคุยกันเถอะ ผมจะขึ้นไปดูลูกสาวผมหน่อย” หวังเคอลุกขึ้นและขอตัว แล้วเดินตรงขึ้นบันไดไป

ผ่านไปครู่หนึ่ง ทนายอันที่กำลังฟังเหล่าจางพูดถึงการค้นพบใหม่รีบตบหัวและอุทานขึ้นทันที

“ฉิบหายแล้ว!”

“มีอะไรเหรอครับ” จางเยี่ยนเฟิงที่ไม่รู้ว่าทำไม

“ไม่ควรให้เขาขึ้นไปน่ะสิ เฮ้อ เพราะเรื่องของคุณ ผมลืมไปด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองถึงได้นั่งฝอยกับเขาที่นี่ตั้งนานสองนาน”

“สรุปว่ามันเรื่องอะไรกันแน่”

“พวกเถ้าแก่นอนหลับอยู่ข้างบนไง”

“นอนหลับแล้วทำไมเหรอครับ”

………………………………………………

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

Status: Ongoing
หลังจากการตายที่ไม่คาดคิด สิ่งที่เขาได้รับคือ ตัวตนใหม่ ร้านหนังสือใกล้เจ๊ง และตำแหน่งยมทูตจำเป็น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท