ตอนที่ 535 สัญจร!
เขาไม่ได้ไปที่อื่น แต่หาห้องน้ำสาธารณะที่อยู่ใกล้ๆ ขณะเดียวกันก็วางป้าย ‘กำลังทำความสะอาด’ ไว้หน้าประตู โจวเจ๋อกดผู้เชี่ยวชาญด้านการขัดหลังไว้ใต้ร่าง ไม่ใช่ว่าโจวเจ๋อชอบท่านี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการขัดหลังหลบหนีได้ง่ายจริงๆ แม้ว่าห้องน้ำจะมีเพียงทางออกเดียวก็ตาม แต่ตราบใดที่คุณให้โอกาสและช่องว่างแก่เขา เขาก็พร้อมที่จะมุดผ่านท่อระบายในหลุมนั่งยองได้เลย
ทนายอันตามมาหาในภายหลัง หลังจากจ่ายบิล สวมเสื้อผ้า เมื่อเดินเข้ามาก็เตะอัดผู้เชี่ยวชาญด้านการขัดหลังไปหนึ่งที
“ไอ้เวร!” จากมุมมองที่เกลียดแค้นเข้าไส้เป็นการส่วนตัวแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเกือบจะถูกไอ้หมอนี่ตัดวิญญาณไปแล้ว มันเป็นการตัดตอนทางจิตวิญญาณจริงๆ และคนที่เสียชีวิตด้วย ‘โรคพิษสุนัขบ้า’ ในมุมมองของสาธารณชนสองสามคนนั้น ก็ล้วนเป็นเพราะไอ้หมอนี่กันทั้งนั้น
เตะอัดไปยกหนึ่ง คลายความโกรธได้มากทีเดียว
“คุณสอบสวนได้ไหม” โจวเจ๋อถามทนายอัน โดยทั่วไปแล้ว ทนายอันถนัดเรื่องประเภทนี้มาก เพราะเป็นคนที่เคยเห็นการลงทัณฑ์ในนรก
แต่ใครจะไปรู้ว่าทนายอันกลับส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ภาพลวงตาของผมควบคุมไอ้เวรนี่ไม่ได้ เมื่อกี้ผมก็เกือบถูกเล่นงานกลับแล้ว”
โจวเจ๋อถอนหายใจเฮือก และพูดกับผู้เชี่ยวชาญด้านการขัดหลังว่า “งั้นแกจะยอมบอกตัวตนของตัวเองและจุดประสงค์ในการทำเรื่องพวกนี้หรือเปล่า”
ผู้เชี่ยวชาญด้านการขัดหลังเชิดหน้าขึ้น เห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิ!
โจวเจ๋อพยักหน้า “งั้นแกก็ตายเสียเถอะ” ขณะที่พูดเล็บก็แทงเข้าหน้าอกของผู้เชี่ยวชาญด้านการขัดหลัง!
“เอ่อ…” ผู้เชี่ยวชาญด้านการขัดหลังเบิกตากว้าง ราวกับไม่อยากจะเชื่อเลย
ง่ายดายขนาดนี้เลยหรือ
คุณไม่ถามอีกสักหน่อยหรือ
ฉันดื้อดึงอีกสองสามครั้งไม่ได้หรือ
แล้วกระบวนการล่ะ
แล้วลูกไม้ล่ะ
แล้วความซื่อสัตย์และขั้นตอนของทั้งสองฝ่ายล่ะ
โจวเจ๋อขยับเล็บตามสถานการณ์ที่เป็นไป ได้ยินเพียงเสียงแตกละเอียดดังออกมาจากในร่างกายของอีกฝ่ายเป็นระยะๆ ไม่มีเลือดไหลออกจากบาดแผล และไม่มีแม้กระทั่งของเหลวไหลออกมาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการขัดหลัง โจวเจ๋อถอนเล็บกลับมาอีกครั้ง ฉวยโอกาสดึงสิ่งที่น่าขยะแขยงคล้ายเส้นผมออกมาเป็นกลุ่มเป็นก้อน
“ฉัน…” ผู้เชี่ยวชาญด้านการขัดหลังยังไม่ตาย และกำลังจะปริปากพูด
“ให้ตายสิ แกสกปรกเป็นบ้าเลย!”
‘ฉึก!’ แทงเล็บเข้าไปอีกครั้ง!
แกทำให้ผู้ป่วยโรครักความสะอาดรังเกียจขยะแขยง ไปตายซะ!
“เอ่อ…” ผู้เชี่ยวชาญด้านการขัดหลัง
“…” ทนายอัน
ทนายอันอยากเตือนโจวเจ๋อเหลือเกิน ดูเหมือนไอ้หมอนี่คิดจะอธิบายอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นเถ้าแก่ใช้เล็บแทงทะลุซ้ำไปซ้ำมาอย่างต่อเนื่องราวกับถูกกระตุ้นอารมณ์ เขาจึงได้แต่เม้มริมฝีปาก ไม่พูดอะไร
ในที่สุด หลังจากแทงผู้เชี่ยวชาญด้านการขัดหลังประมาณสิบรูเห็นจะได้ โจวเจ๋อถึงหยุดการกระทำลง ผู้เชี่ยวชาญด้านการขัดหลังเหมือนตุ๊กตาที่ถูกปล่อยลมออก ร่างกายพลันแห้งเหี่ยวเล็กน้อย
หมอนี่ไม่ใช่คนธรรมดา บางทีเมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แน่ๆ ตรงจุดนี้ได้รับการพิสูจน์เมื่อตอนที่เขาไหลลงท่อระบายพร้อมกับกระแสน้ำในอ่างอาบน้ำได้ ดังนั้นการแทงทะลุติดต่อกันไม่สามารถฆ่าเขาให้ตายได้อย่างสมบูรณ์ และไม่ใช่สิ่งที่เข้าใจยากเลย แน่นอนว่า เขาจะต้องทุกข์ทรมานมาก
“ฉัน…ฉันจะพูด!” ผู้เชี่ยวชาญด้านการขัดหลังยอมสารภาพแล้ว แม้ว่าตอนนี้จะคนก็ไม่ใช่จะผีก็ไม่เชิง แต่เขาก็ยังอยากมีชีวิตอยู่
“เหล่าอัน เฝ้าเขาไว้ ผมจะไปล้างมือ”
…
รถหยุดอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านด้านล่างอำเภอหรูเกา บอกว่าเป็นหมู่บ้าน อันที่จริงก็ไม่นับรวม เพราะที่นี่มีการย้ายถิ่นฐานหมู่บ้านใหม่เมื่อสิบปีก่อน ชาวบ้านในนั้นย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านพักหลังเล็กๆ อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยตั้งนานแล้ว เดิมทีจะทำโครงการพัฒนา หมู่บ้านที่นี่ถูกทุบไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่ทราบสาเหตุ โครงการหยุดชะงักไป ที่นี่จึงกลายเป็นซากปรักหักพังไปโดยปริยาย
โจวเจ๋อที่นั่งอยู่ข้างคนขับเอ่ยถามพลางชี้ไปด้านหลัง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการขัดหลังถูกมัดและแปะยันต์ไว้ทั้งหน้าผากและแขนขานั่งอยู่ “คุณเอายันต์มาจากไหนเนี่ย เอาจากนักพรตเฒ่าเหรอ”
“ผมขอเขาก่อนน่ะ แต่เขาก็พล่ามบอกว่าเป็นยันต์บรรพบุรุษเหลืออยู่แค่แผ่นเดียว บอกว่าอันก่อนๆ ใช้หมดแล้ว เหลืออยู่แค่แผ่นเดียวจริงๆ จากนั้นก็ล้วงออกมาจากเป้ากางเกง ทะนุถนอมมาก ทำใจไม่ได้เหลือเกินและเจ็บปวดใจมากขณะเดียวกันก็หนีบติดขนเพชรสองสามเส้นยื่นมาให้ผมด้วย”
“หึ…” โจวเจ๋อขำ ภาพนี้เขาเห็นมาหลายครั้งหลายหนแล้ว ทุกครั้งที่นักพรตเฒ่าใช้ยันต์ เขาบอกตลอดว่าเป็นยันต์แผ่นสุดท้ายที่เหลือตกทอดจากบรรพบุรุษเพียงแผ่นเดียวเท่านั้น แต่ครั้งต่อมา เมื่อเขาคลำเป้ากางเกง รับรองได้ว่ายังคลำออกมาได้อีกดฮณ๊ฯดฯฌซ,
“ต่อมาผมเอาโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ไปแลกยันต์ยี่สิบถึงสามสิบแผ่นจากเจ้าลิง” ขณะที่พูด ทนายอันก็ชี้มือชี้ไม้ด้วยความไม่พอใจ “ผมเห็นแล้วว่ายังมีอีกกองหนาปึ้กอยู่ในกระเป้าเจ้าลิง”
นักพรตเฒ่าดีกับเจ้าลิงเหลือเกิน
“เวรเหอะ ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในห้องอาบน้ำ ไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลยไม่ได้พกยันต์ไว้กับตัว ไม่อย่างนั้นไอ้ระยำนี่ไม่มีทางหนีรอดแน่นอน” ขณะที่พูด ทนายอันก็เอื้อมมือไปตบปากผู้เชี่ยวชาญด้านการขัดหลังอีกครั้ง “หนีอีกสิ แกลองหนีดูอีกทีสิ!”
เถ้าแก่โจวไม่พูดอะไร ไม่รู้สึกแย่เลยสักนิดจริงๆ ที่ทำร้ายทารุณหมอนี่ จงรู้ไว้ว่าผู้ป่วย ‘โรคพิษสุนัขบ้า’ สองสามคนนั้นต้องผ่านความเจ็บปวดทรมานมากแค่ไหนก่อนที่จะเสียชีวิต
ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของไอ้หมอนี่
ในมุมมองระดับหนึ่ง เขาโกรธแค้นเกลียดชังยิ่งกว่าฆาตกรต่อเนื่องประเภทนั้นเสียอีก
“นี่น่ะเหรอ” โจวเจ๋อชี้ไปที่หมู่บ้านร้างตรงหน้า เหลือบ้านที่ยังตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นเพียงไม่กี่หลัง
“ใช่ พวกคุณรับปากฉันแล้ว ถ้าฉันเล่าทุกอย่างให้พวกคุณฟัง พวกคุณต้องปล่อยฉันไป”
“เอาน่าๆ แกเองก็รู้ว่านี่มันเป็นไปไม่ได้” ทนายอันโบกมือ “แต่ว่าดูจากพฤติกรรมที่ดีและมีความกระตือรือร้นในการเปิดโปงพรรคพวกของแกแล้ว สามารถเอาวิญญาณของแกออกมาแล้วส่งลงนรกไป ส่วนจะมีโอกาสกลับชาติมาเกิดในที่สุดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่ายมโลกจะลงโทษยังไงแล้วละ”
“ลงรถเถอะ ลองเข้าไปดูหน่อย” โจวเจ๋อเปิดประตูรถพร้อมกับเดินลงมา พอได้ลงจากรถ กลิ่นลมทะเลเค็มๆ ก็ปะทะจมูก หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้ทะเลมาก
ทนายอันเดินมาอยู่ข้างๆ โจวเจ๋อ เอ่ยกระซิบเสียงเบา “ไอ้หมอนั่นคงไม่น่าจะซื่อสัตย์ขนาดนั้น”
“เป็นไปไม่ได้หรอก บางทีอาจจะพยายามล่อให้เราไปที่แหล่งของเขา แล้วรอพรรคพวกของเขาออกมาช่วย” ระหว่างที่พูด ร่างของคนสามคนปรากฏขึ้นที่ทางเข้าของหมู่บ้านอย่างไม่คาดคิด
ชายชราหนึ่งคน
เด็กผู้หญิงหนึ่งคน
ชายวัยกลางคนแบกจอบหนึ่งคน
ทั้งสามคนโผล่มาตั้งแต่เมื่อไร แม้แต่โจวเจ๋อก็ไม่ได้สังเกตเห็น เวลานี้พวกเขายืนอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน ถือได้ว่ายืนอยู่ในตำแหน่งของลม ลมทะเลพัดผ่าน ร่างของพวกเขาทั้งสามก็เริ่มไหวไปมา
คล้ายกับตุ๊กตากระดาษ
“ตุ๊กตากระดาษนี่ทำออกมาได้เลิศทีเดียว” ทนายอันเอียงศีรษะพินิจพิเคราะห์ตาม “ละเอียดประณีตขนานแท้”
“ผู้มาเยือนเป็นแขก ผมที่เป็นเจ้าบ้านมาต้อนรับ” ชายชราทำท่าทางเชื้อเชิญ
โจวเจ๋อวางนิ้วแตะปลายจมูกแล้วดมครู่หนึ่งพลางบอก “ล้างมาหลายครั้งหลายคราแล้ว แต่ก็ยังมีกลิ่นอยู่”
“กลิ่นอาหารทะเลเหรอ”
“พูดบ้าๆ เป็นกลิ่นแป้งเปียกต่างหาก” โจวเจ๋อบิดขี้เกียจพลางพูดต่อ “หมอนั่นที่อยู่บนรถก็น่าจะทำมาจากตุ๊กตากระดาษที่เต็มไปด้วยแป้งเปียก แถมยังยัดเส้นไหมมากมายไว้อีก” แป้งเปียกชนิดนี้มักจะนำมาใช้เป็นกาว ทั้งชามเป็นสีขาวข้น ปัจจุบันนี้ช่างผลิตตุ๊กตากระดาษจำนวนมากในหมู่บ้านชนบทยังใช้เจ้าสิ่งนี้แทนกาวสำเร็จรูปอยู่
“เดินสิ เข้าไปดูหน่อย เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์แห่งหนใดกันแน่”
“ไม่สนว่าจะเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์แห่งหนใด ห้ามยุ่งเกี่ยวกับกิจการของผมเด็ดขาด” โจวเจ๋อและทนายอันทั้งสองคนเดินต่อไปข้างหน้า ไม่สนใจชายในรถอีก อันที่จริงมาถึงที่นี่แล้ว เจ้าของที่แท้จริงก็น่าจะอยู่ข้างใน ไม่จำเป็นต้องไปสนใจปลาซิวปลาสร้อยอะไรด้วยซ้ำ เมื่อเดินไปถึงหน้าหมู่บ้าน โจวเจ๋อหยุดฝีเท้าข้างๆ ชายชราคนนั้น
“เชิญครับ” ชายชราทำมือผายเชื้อเชิญอีกครั้ง
โจวเจ๋อยื่นมือออกไปจิ้มบนตัวชายชรา ‘ฟุ่บ’ จนเกิดรูทั้งยังสามารถระบายอากาศได้ ชายชราไม่ถือสาและรักษารอยยิ้มต่อไป คุณภาพการบริการดีเยี่ยม
เมื่อทนายอันเห็นเหตุการณ์ก็ยืนอยู่ตรงหน้าเด็กผู้หญิงแล้วพูด “อยากให้น้าช่วยปล่อยหนูไหม”
เด็กผู้หญิงเดินไปข้างหน้าก่อนสองสามก้าวพลางยืดอก หมายความว่า แล้วแต่คุณเลย
“ฉันไม่ชอบเริ่มทำอะไรประเภทนี้ก่อนน่ะ” ทนายอันโบกมือแล้วชักมือกลับ
เมื่อเดินเข้าไปในหมู่บ้าน เดินไปถึงด้านหน้าประตูบ้านที่ยังคงรักษาเอาไว้ได้กว่าครึ่ง ตุ๊กตากระดาษทั้งสามคนถอยหลังสองสามก้าว แล้วหยุดเคลื่อนไหว
‘แอ๊ด…’ ประตูบ้านถูกเปิดออกจากข้างใน หญิงวัยสาวแรกแย้มสวมชุดลายดอกไม้ มวยผม ใบหน้าบอบบางออกจะซีดเซียวเล็กน้อยยืนอยู่ข้างในนั้น
“จุ๊ๆ ถ้าไม่ได้ทำมาจากกระดาษก็คงจะดีไม่น้อย” ทนายอันพูดด้วยความเสียดายเล็กน้อย เพราะว่าหญิงสาวคนนี้บริสุทธิ์และสวยหยาดเยิ้มจริงๆ ก้าวหน้าล้ำกว่าสินค้าราคาถูกอันยั่วยวนใจที่ขายในเถาเป่าถึงหมื่นเท่าก็ว่าได้
“คุณสามารถแนะนำคนที่สร้างมัน ครั้งต่อไปให้ใช้ซิลิกาเจล” โจวเจ๋อแนะนำ
“ทั้งสองท่าน เชิญค่ะ”
โจวเจ๋อสบตากับทนายอันและเดินเข้าไป ในบ้านไม่มีไฟ ที่นี่ร้างมานานแล้ว ถ้ามีไฟฟ้าก็แปลกน่ะสิ แต่ก็จุดเทียนไขสองเล่มไว้แล้ว ชายชราคนหนึ่งเอนกายบนเก้าอี้ไม้โบราณ ชายชราแก่หงำเหงือกสุดๆ เนื้อหนังบนหน้ายับย่น หย่อนลงมาเป็นชั้นๆ ดวงตาเล็กๆ คู่นั้นแทบจะถูกผิวหนังบนใบหน้าปกคลุมอยู่แล้ว ถ้าไม่สังเกตดีๆ คงจะหาไม่เจอจริงๆ
“แค่ก…” เสียงดังออกมาจากลำคอของชายชรา หญิงสาวที่ทนายอันเคยชมว่าสวยมากก่อนหน้านี้รีบคุกเข่าลงข้างๆ ชายชรา อ้าปากรับเอาเสมหะไป
หน้าอกของโจวเจ๋อกระเพื่อมขึ้นลง ขณะเดียวกันก็ถามทนายอันเสียงต่ำ “คุณยังจะเอาอยู่ไหม”
“เหม่ยเหรินอวี๋[1] (กระโถนปากแตรคนงาม) สินะ”
“เหม่ยเหรินอวี๋ (นางเงือก) เหรอ”
“กระโถนปากแตรที่เป็นกระโถนขากเสมหะ สมัยโบราณสาวใช้ก็ปรนนิบัติรับใช้ขนาดนี้นี่แหละ เป็นไง วิปริตพอไหม ว่ากันว่าเหยียนซื่อฟานลูกชายของเหยียนซง[2]ในยุคราชวงศ์หมิงเป็นผู้คิดค้นวิธีการเล่นพิเรนทร์นี่”
โจวเจ๋อไม่เห็นท่าทีรังเกียจสะท้อนออกมาจากสายตาของทนายอันเลยสักนิด กลับกันดันกระตือรือร้นที่จะลิ้มลองแทน
ชายชราคล้ายไม้เลื้อยแห้งเฉา ดูเหมือนว่าเขาจะออกแรงกะพริบตาอย่างมาก ดวงตาคู่เล็กเหลือบมองโจวเจ๋อและทนายอันที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างสิ้นเปลืองแรง แต่แค่พริบตาเดียวพลันเปี่ยมไปด้วยพลังเอ่ยปากพูดว่า “ข้ามีนามว่าลู่ผิงจื๋อแห่งผิงเติ่งหวัง สัญจรใต้ประตูนรกอักษรติงแห่งนรกบริวารขุมที่สิบหก ยินดีที่ได้พบเพื่อนร่วมงานทั้งสอง”
นี่นับว่าเป็นการประกาศศักดาตนเอง
โจวเจ๋อมองทนายอัน เห็นเพียงแต่ทนายอันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก จากนั้นบอกโจวเจ๋อเสียงเบา “ขุมที่เก้าจากนรกทั้งสิบขุม ผิงเติ่งหวังลู่ผู้รับผิดชอบดูแลมหานรกอเวจีเมืองผีเฟิงตู[3] ยังมีนรกบริวารอีกสิบหกขุม เขาเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยของประตูอักษรติงแห่งนรกบริวารขุมที่สิบหก”
โจวเจ๋อมืดแปดด้าน เขารู้เรื่องสลับซับซ้อนอ้อมไปอ้อมมาในนรกเสียที่ไหน จึงได้แต่ถามไปตรงๆ “ตำแหน่งใหญ่หรือเปล่า”
“เทียบเท่าข้าราชการขั้นเจ็ดของราชสำนัก คุณว่าไงล่ะ”
“นี่มัน…”
“ไอ้แก่นี่ใช้ตำแหน่งอำนาจกดขี่ประชาชน”
“อะแฮ่ม…ท่านทั้งสองเป็นยมทูตประจำท้องถิ่นสินะ” หลังจากชายชราประกาศศักดาตนเองแล้วก็ดูเหมือนจะมีพลังอำนาจขึ้นมาแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนข้าราชการเมืองหลวงดูหมิ่นข้าราชการท้องถิ่นในอำเภอเล็กๆ
ทนายอันสูดหายใจเข้าลึกๆ ก้าวไปข้างหน้าแล้วตะโกน “อะแฮ่ม ตั้งใจฟังให้ดี! ฉันคืออันปู้ฉี! ผู้สัญจรภายใต้สังกัดไท่ซานฝู่จวิน! ทะเลแห่งความตายประทานให้ถือหางเสือมรณะ! ผู้ตรวจสอบมือทองอันดับหนึ่งในลำดับยมโลก!”
“…” โจวเจ๋อ
“…” ชายชรา
เมื่อพูดจบ ทนายอันก็ชี้ชายชราพร้อมกับด่ากราด “ไอ้เวรตะไล! ท่านตกต่ำมาถึงจุดนี้แล้วยังจะใช้สถานะอำนาจข่มเหงคนอื่นอีกเหรอ สถานะทางการของผมเป็นไง ตกใจกลัวแทบตายเลยละสิ”
……………………………………………………
[1] 美人盂 เหม่ยเหรินอวี๋ แปลว่า กระโถนปากแตรคนงาม ซึ่งเล่นคำกับคำว่า美人鱼 เหม่ยเหรินอวี๋ ที่แปลว่า นางเงือก 艾琳小說
[2] เหยียนซง เป็นอำมาตย์ บริหารราชการแผ่นดินกับลูกชายกระทำการทุจริต สร้างสมสมัครพรรคพวก สร้างความเดือดร้อนแก่ราษฎร
[3] เมืองผีเฟิงตู อยู่ที่เขตเฟิงตู เมืองฉงชิ่ง เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในการนำด้านความดี ความชั่ว นรก สวรรค์มาเป็นสื่อเพื่อทำให้ผู้คนรู้สึกเกรงกลัว