ตอนที่ 15 ค่าจิตใจเพิ่มขึ้น
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฟางผิงได้ยินชื่อหวังจินหยาง
วันที่สองที่ตื่นขึ้นมา หยางเจี้ยนก็พูดเช่นกัน
ต่อจากนั้นก็เป็นเฉินฝาน อู๋จื้อหาว ไม่แม้แต่อาจารย์ประจำชั้น
สรุปแล้วภายในเวลาไม่กี่วัน แม้ฟางผิงจะไม่รู้จักหวังจินหยาง แต่เมื่อได้ยินซ้ำๆ เช่นนี้ไม่รู้จักก็ต้องรู้จักแล้ว
นักเรียนห้องเรียนธรรมดาคนหนึ่ง ปกติคะแนนไม่ได้โดดเด่นนัก กลับสอบเข้ามหาวิทยาลัยวรยุทธ์ได้ ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้จึงนับได้ว่าเป็นคนดัง
ชื่อเสียงของหวังจินหยาง ถึงกระทั่งดังกลบนักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยวรยุทธ์ในปีนั้นได้เสียสิ้น
—
เมื่อออกมาจากห้องทำงาน ฟางผิงยังคงนึกถึงคำพูดของอาจารย์
นับว่าอาจารย์ดูแลเขาเป็นพิเศษอีกครั้งแล้ว
หลิวอันกั๋วกล่าวว่า คนอื่นยังพอว่า ทุกคนเตรียมตัวสอบวรยุทธ์มานานแล้ว สิ่งที่ควรรู้ก็รู้หมดแล้ว
ฟางผิงกลับไม่เหมือนกัน เขาสมัครสอบกะทันหันเกินไป
เมื่อวานหลิวอันกั๋วอาจจะไม่คาดหวังกับเขา แต่วันนี้ทราบเรื่องที่เขาตรวจค่าปราณ หลิวอันกั๋วอาจจะคิดว่าเขาเป็นเหมือนหวังจินหยาง สร้างปาฏิหาริย์ได้
พอดีที่ฟางผิงและหวังจินหยางมีหลายสิ่งที่เหมือนกัน
ปกติอยู่ในห้องก็ไม่ได้มีคะแนนโดดเด่น ฐานะทางบ้านธรรมดาเหมือนกัน
หวังจินหยางไม่ได้สมัครสอบกะทันหันเหมือนฟางผิง แต่สมัครก่อนสอบเกาเข่าหนึ่งวัน ทั้งไม่มีใครคิดว่าเขาจะสอบได้
หลิวอันกั๋วคิดว่า หากฟางผิงไป อาจจะพูดถูกคอกับอีกฝ่าย หรือได้รับอะไรกลับมาบ้าง
ดังนั้นการไปรับคนครั้งนี้จึงมีชื่อของฟางผิงอยู่ด้วย
ทางเดินนอกห้องทำงาน อู๋จื้อหาวเผยสีหน้าชื่นมื่น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คาดไม่ถึงว่าอาจารย์จะเจ๋งขนาดนี้ ครั้งนี้มีเพียงห้องพวกเราที่ได้ไปรับรุ่นพี่”
ฟังไม่ผิด ครั้งนี้มีเพียงนักเรียนมัธยมปลายปีสามห้องสี่จำนวนสี่คนไปรับหวังจินหยาง แน่นอนว่า โรงเรียนยังจัดการคนขับรถพร้อมรถหนึ่งคันด้วย
ไม่ใช่ว่าโรงเรียนจัดการอย่างเอริกเกริกเกินไป ความเป็นจริงหวังจินหยางนั้นสอบเข้ามหาวิทยาลัยวรยุทธ์
เมื่อจบการศึกษา ระดับย่อมสูงกว่าพวกเขา อาจารย์หลายคนจึงอยากตีสนิทเอาไว้
แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่หวังจินหยางติดต่อกับโรงเรียน ก็เคยบอกแล้วว่าไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก ตัวเองเดินทางมาโรงเรียนเองก็เพียงพอแล้ว
ภายหลังปฏิเสธน้ำใจของทางโรงเรียนไม่ได้ จึงบอกไปว่าให้พวกรุ่นน้องมารับไม่กี่คนก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องลำบากพวกอาจารย์
แม้ว่านี่อาจจะพูดแค่ตามมารยาท แต่ท้ายที่สุดโรงเรียนยังคงตัดสินใจส่งนักเรียนไปแทน เพื่อไม่ให้เกิดการกระอักกระอ่วน
ครั้งนี้หลิวอันกั๋วก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ อู๋จื้อหาวมีโอกาสสูงที่จะสอบวรยุทธ์ได้ ดังนั้นเดิมทีหลิวอันกั๋วจึงหวังเพียงให้อู๋จื้อหาวได้มีโอกาสทำความรู้จักกับหวังจินหยางเสียหน่อย
ภายหลังทราบเรื่องของฟางผิง ทั้งคิดอยากจะช่วยฟางผิงเล็กน้อย
ยังนึกได้ว่านอกจากสองคนนี้แล้ว ในห้องยังมีหยางเจี้ยนและหลิวรั่วฉีที่ทำได้ดีพอกัน จึงตัดสินใจส่งไปด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่เช้าตรู่เหล่าหลิวจึงยืนขวางอยู่ที่ประตูห้องทำงานของหัวหน้าฝ่ายวิชาการ หากไม่รับปากก็จะไม่ไป!
ตอนนี้ผู้อำนวยการไม่อยู่ในโรงเรียน มีหลายเรื่องที่หัวหน้าฝ่ายวิชาการต้องเป็นคนรับผิดชอบ เมื่อถูกอาจารย์ของตัวเองขวางที่ประตูเช่นนี้ จึงทำได้เพียงตอบรับด้วยยิ้มฝืดเฝื่อน
อย่างไรก็แค่ไปรับคน นับเป็นเพียงการวิ่งเต้นแทน นักเรียนห้องพิเศษบางคนไม่อยากจะทำเรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ
ท้ายที่สุด เรื่องไปรับคนจึงตกอยู่ในความรับผิดชอบของนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสามห้องสี่
ขณะที่อู๋จื้อหาวพูด ก็เอ่ยกับพวกฟางผิงว่า “พรุ่งนี้ไม่ต้องเรียนคาบบ่าย ก่อนเก้าโมงพวกเราไปรวมตัวที่ประตูโรงเรียน นั่งรถโรงเรียนไปสถานีด้วยกัน อาหารกลางวัน พวกเราก็ต้องกินเป็นเพื่อนรุ่นพี่หวังเช่นกัน ตอนบ่ายมาถึงโรงเรียนกับรุ่นพี่หวังแล้ว ภารกิจก็เป็นอันสิ้นสุด”
หยางเจี้ยนและหลิวรั่วฉีพยักหน้า ฟางผิงกลับสงสัยอยู่บ้าง “รุ่งพี่หวังอยู่ขั้นไหนเหรอ?”.
เมื่ออู๋จื้อหาวเจอคำถามนี้ ถึงกับนิ่งไปสักพัก ก่อนเอ่ยอย่างจนใจ “ไม่รู้เหมือนกัน เทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นแล้ว มหาวิทยาลัยวรยุทธ์นั้นมีความลึกลับซับซ้อนกว่ามาก เดิมทีก็มีหลายเรื่องที่ไม่เผยแพร่ต่อสาธารณะชน รุ่นพี่หวังอยู่ขั้นไหนแล้ว พวกเราก็ไม่กระจ่างใจเช่นกัน แต่รุ่นพี่หวังเพิ่งจะอยู่ปีหนึ่ง มหาวิทยาลัยวรยุทธ์หนานเจียงก็เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีแห่งหนึ่งในหนานเจียง แต่เป็นเพียงมหาวิทยาลัยธรรมดาในระดับประเทศเท่านั้น ขั้นไหนนั้น ฉันเดาว่าคงไม่หนึ่งก็สอง”
เขาเพิ่งพูดจบ หลิวรั่วฉีที่ไม่ได้ปริปากตั้งแต่ต้นก็เอ่ยขึ้นมาทันที “ขั้นหนึ่งหรือขั้นสอง? พวกนายคิดกว่านักเรียนสายวรยุทธ์เป็นผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนหรือไง?”
เธอพูดเพียงประโยคเดียว ก็เดินตัวปลิวไปทันที
รอจนเธอไปแล้ว ฟางผิงค่อยเอ่ยอย่างใสซื่อ “ฟังจากความหมายของเธอแล้ว นักเรียนสายวรยุทธ์ ไม่แน่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เสมอไปอย่างนั้นเหรอ?”
อู๋จื้อหาวหัวเราะเจื่อนๆ “เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น หลักๆ ฉันก็ไม่รู้ชัดเจนเท่าไร เหมือนเคยได้ยินว่านักศึกษามหาวิทยาลัยวรยุทธ์ เมื่อถึงเวลาสำเร็จการศึกษาแล้ว ยังไม่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก็มี แต่เรื่องพวกนี้ยังไกลตัวพวกเราอยู่มากโข สถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ พวกเราก็ไม่อาจรู้ได้”
ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อย ที่แท้สอบเข้ามหาวิทยาลัยวรยุทธ์แล้วก็ไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์เสมอไป ไม่แปลกใจที่คนทั่วไปจะยกย่องให้ความสำคัญกับผู้ฝึกยุทธ์
ส่วนหวังจินหยางเป็นผู้ฝึกยุทธ์หรือไม่ ยามนี้ไม่อาจตัดสินใจได้เช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นี่ก็บุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกยุทธ์คนแรกที่ฟางผิงกำลังจะได้เจอ
เขาเคยได้ฟังเรื่องผู้ฝึกยุทธ์ในนิยายอยู่เรื่อยมา ผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงนั้น คาดว่าในโรงเรียนคงมีไม่กี่คนที่เคยปฏิสัมพันธ์มาก่อน
ช่วงเวลานี้ ฟางผิงจึงคาดหวังอยู่บ้าง
—
เมื่อกินข้าวกลางวันเสร็จ รวมกับค่าถ่ายเอกสารโน้ตสรุปของอู๋จื้อหาว ฟางผิงก็ใช้เงินห้าสิบหยวนในมือหมดพอดี
ไม่มีเงินติดตัว จึงไม่อาจเลี้ยงข้าวอู๋จื้อหาวได้
แน่นอนว่าอู๋จื้อหาวก็ไม่ใส่ใจเรื่องนี้ แต่น้ำใจครั้งนี้ฟางผิงย่อมจดจำไว้
นี่เพิ่งจะกลับมาเกิดใหม่ไม่กี่วัน ก็ติดค้างน้ำใจคนไปไม่น้อยแล้ว ทั้งอาจารย์ ทั้งอู๋จื้อหาว
บางครั้งน้ำใจคนนั้นคืนยากยิ่งกว่าเงินทองเสียอีก
เก็บเรื่องพวกนี้ไว้ในใจ ช่วงบ่ายฟางผิงก็อ่านหนังสือทำแบบฝึกหัดด้วยตัวเองต่อ
—
ตอนเย็น
ตอนที่ฟางผิงกลับมา น้องสาวและมารดาก็ถึงบ้านก่อนแล้ว ส่วนฟางหมิงหรงยังไม่กลับมา
จากความเคยชิน เมื่อกลับบ้านมา หากฟางผิงไม่ได้หยิกแก้มฟางหยวน มักจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป
ผลปรากฏว่าสองพี่น้องทะเลาะกันขึ้นมาอีกครั้ง หลี่อวี้อิงที่เตรียมข้าวเย็นอยู่ด้านข้างได้แต่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เด็กสองคนนี้จะมียามที่สงบเหมือนคนอื่นบ้างหรือเปล่า
สองพี่น้องอาละวาดจนเหนื่อยแล้ว ฟางหมิงหรงก็กลับมาถึงบ้าน
เมื่อเข้าประตูมา ฟางหมิงหรงก็ถาม “กดเงินมาหรือยัง?”
หลี่อวี้อิงพยักหน้า ก่อนฟางหมิงหรงจะหันมาเอ่ยกับฟางผิง “เดี๋ยวไปเอาเงินที่แม่ อย่าลืมขอบคุณเพื่อนคนนั้นของลูกและพ่อแม่เขาดีๆ ด้วย ครั้งนี้พ่อไม่เข้าไป รอการสอบเกาเข่าสิ้นสุดลง ต้องเชิญพวกเขาไปกินข้าวให้ได้”
วันนี้ฟางหมิงหรงไปโรงงาน ก็ถามหัวหน้าแผนกมาเช่นกัน
ยาบำรุงเลือดและปราณราคาสามหมื่นหยวนต่อเม็ดจริงๆ ทั้งร้านยายังต่อราคาไม่ได้
รอจนฟางหมิงหรงถามว่า สองหมื่นพอจะซื้อได้หรือไม่ หัวหน้าแผนกก็แทบพ่นน้ำลายใส่เขาไม่หยุด
ซื้อย่อมซื้อได้ เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร แต่ฟางหมิงหรงนับเป็นใครกัน?
กระทั่งหัวหน้าแผนกผู้นี้ ปีก่อนซื้อยาให้ลูกชายเพื่อสอบเกาเข่า อยากจะซื้อถูกๆ กลับไม่อาจหาช่องทางซื้อได้ นับประสาอะไรกับฟางหมิงหรง
ยามนี้ฟางหมิงหรงนับว่าไม่อาจปฏิเสธน้ำใจครั้งนี้ได้แล้ว
ก่อนหน้านี้ พวกเขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเท่าใด แม้ว่าฟางผิงจะสอบวรยุทธ์ได้จริงๆ ภายหลังก็จำเป็นต้องใช้เงิน หากสอบไม่ได้ ยิ่งต้องประหยัดเงิน
เงินหนึ่งหมื่นหยวนไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ประหยัดได้ก็ต้องประหยัด คงต้องยอมติดหนี้น้ำใจครั้งนี้แล้ว
เมื่อพ่อรับปากแล้ว ฟางผิงค่อยรู้สึกสบายใจ
มีเงิน เรื่องหลายเรื่องก็ง่ายขึ้นมาแล้ว
หลายวันมานี้เขายุ่งตัวเป็นเกลียว แม้ว่าจะมีความคิดอยากหาเงิน ก็ไม่มีเวลาอยู่ดี
เพื่อมั่นใจว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยวรยุทธ์ได้ จึงจำเป็นต้องเอาเงินจากทางพ่อแม่ก่อน
เมื่อทั้งครอบครัวกินข้าวเย็นแล้ว หลี่อวี้อิงก็เข้าห้องไปเอาเงินให้ฟางผิง
รอจนเงินสองหมื่นหยวนมาอยู่ในมือฟางผิง เบื้องหน้าฟางผิงก็พร่ามัวเล็กน้อย ตัวเลขปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ทรัพย์สิน : 20000
ปราณ : 1.1
จิตใจ : 1
ฟางผิงถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูท่าตัวเองจะเดาไม่ผิด เงินที่พ่อแม่มอบให้ จึงจะเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินได้
นอกจากนี้ฟางผิงยังอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ คล้ายว่าตัวเองนั้นเก่งพอๆ กับเครื่องนับธนบัตร
เงินหาย มีเงินปลอม ตัวเองมองแวบเดียวก็รู้แล้ว แทบไม่ต้องนับ
หากไม่มีข้อแม้ต้องเป็นเงินของตัวเอง ภายหลังสอบวรยุทธ์ไม่ได้ เป็นผู้ฝึกยุทธ์ไม่สำเร็จ เขาไปเป็นเจ้าหน้าที่นับเงินในธนาคาร คาดว่าคงจะได้แชมป์อันดับหนึ่งของประเทศไปแล้ว
เขาโยนความคิดฟุ้งซ่านนี้ออกไป พูดคุยกับพ่อแม่เล็กน้อย ก่อนจะเข้าห้องเล็กๆ ของตัวเองไป
—
ภายในห้อง
ฟางผิงจ้องมองแถบด้านหน้า ลังเลไปเล็กน้อย ควรจะเพิ่มค่าปราณหรือเพิ่มค่าจิตใจดีนะ?
ตอนนี้เขารู้ประโยชน์ของปราณแล้ว
ถ้าค่าจิตใจเพิ่มขึ้นจะเป็นอย่างไรกัน?
หรือจะเป็นเหมือนที่ตัวเองคาดการณ์ก่อนหน้านี้ จะสามารถเพิ่มความจำและเรียนรู้อะไรได้ง่ายขึ้น?
แม้จะไม่มั่นใจ แต่ฟางผิงก็ตัดสินอย่างรวดเร็ว จะลองเพิ่มค่าจิตใจดู
อย่างไรก็มีทรัพย์สินสองหมื่นหยวน หากเพิ่มค่าจิตใจแล้วไม่มีผลอะไร เงินที่เหลืออีกหนึ่งหมื่นก็ยังสามารถเพิ่มค่าปราณได้
ค่าปราณไม่จำเป็นต้องสูงมากมาย ยามนี้ในโรงเรียนสูงที่สุดคงอยู่ที่หนึ่งร้อยยี่สิบแคล หากค่าปราณของฟางผิงแตะที่หนึ่งร้อยสามสิบแคล ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป
เมื่อตัดสินใจได้ ฟางผิงก็ทำเหมือนครั้งที่แล้ว เอ่ยเสียงเบา “เพิ่มค่าจิตใจหน่อย ไม่งั้นจะตีแกให้ตาย!”
“…”
ตัวเลขไม่ขยับ ชั่วขณะนั้นฟางผิงก็ทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
เจ้าสิ่งนี้เชื่อได้ไม่ได้กันแน่ ครั้งก่อนทำแบบนี้ก็ได้นี่นา?
หลังจากลองอยู่หลายครั้ง ท้ายที่สุดฟางผิงจึงค่อยเข้าใจ
เจ้าสิ่งนี้ไม่มีปฏิกิริยากับคำแช่งอะไรนั่นของเขา ขอเพียงแค่รวบรวมสมาธิ คิดเรื่องนี้ในใจ ตัวเลขก็จะเปลี่ยนเอง
สิ้นเปลืองเวลาไปไม่น้อย ฟางผิงจึงค่อยเพิ่มค่าจิตใจได้
ไม่นาน ตัวเลขเบื้องหน้าก็มีการเปลี่ยนแปลง
ทรัพย์สิน : 10000
ปราณ : 1.1
จิตใจ : 1.1
—
ชั่วพริบตาที่ค่าจิตใจเพิ่มขึ้น ฟางผิงก็รู้สึกว่าสมองของตัวเองเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที
ราวกับมีมือเล็กๆ ของผู้หญิง ลูบที่ศีรษะของตัวเอง รู้สึกสบายอย่างยิ่ง
“ฟู่ว…”
เนิ่นนานกว่าฟางผิงจะได้สติ คายลมขุ่นมัวออกมา รู้สึกเพียงสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ความเหนื่อยล้าทั้งวันมลายหายสิ้น
ฟางผิงไม่ได้รีบเพิ่มค่าปราณ เขาไปหยิบหนังสือขึ้น ก่อนจะเริ่มลงมืออ่าน
—
หลังจากนั้นสิบนาที ฟางผิงก็ปิดหนังสือลง หวนคิดเนื้อหาที่เพิ่งอ่าน ก่อนคิ้วจะแน่นขนัดขึ้นเล็กน้อย
ไม่ได้จำทุกอย่างได้เหมือนที่คิดไว้ แต่ก็มีประสิทธิภาพไม่น้อย
เหมือนว่าความจำจะดีขึ้นมาเล็กน้อย แม้จะสัมผัสได้ไม่ชัดเจนนักก็ตาม
ฟางผิงไม่รู้ว่าเขาปลอบใจตัวเอง หรือเป็นเรื่องจริงกันแน่
แต่เขาเดาว่า อาจเป็นเพราะเพิ่มค่าจิตใจขึ้นมานิดเดียว
ก็เหมือนกับเพิ่มค่าปราณ แม้ค่าปราณเขาจะแตะที่หนึ่งร้อยสิบแคล แต่ฟางผิงก็ไม่ได้เหนือกว่าคนอื่น ถึงกระทั่งหากสู้กับหยางเจี้ยน เขาอาจจะเดินจับทิศจับทางไม่ถูกเป็นแน่
ปราณและจิตใจ เป็นเพียงการปรับเปลี่ยนทางร่างกายอย่างหนึ่งเท่านั้น ยังจำเป็นต้องลองใช้และฝึกฝนด้วยตัวเอง
เมื่อเข้าใจหลักการพวกนี้คร่าวๆ ฟางผิงกลับไม่ได้ร้อนใจนัก
มีประโยชน์ก็เพียงพอแล้ว ต่อไปต้องหาวิธีทำให้ตัวเลขสองรายการนี้เพิ่มขึ้นไปอีก หาก 0.1 ยังไม่ชัดเจนพอ ถ้าเพิ่มอีกหนึ่งเท่าตัวล่ะ?
นึกถึงวันพรุ่งนี้ยังต้องไปรับคน ฟางผิงก็ไม่คิดจะนอนดึก ออกไปอาบน้ำสระผม ไม่นานก็ล่วงสู่นิทรา
———————–