ตอนที่ 98 แสดงให้เห็นความจริง (1)
ตึกฝึกซ้อมตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของมหาวิทยาลัย
เป็นตึกที่สูงเก้าชั้น โดยส่วนมากตึกในมหาวิทยาลัยก็สูงเก้าชั้นเช่นกัน
ตึกฝึกซ้อมจึงไม่ถือว่าสูงมาก แต่ครองพื้นที่ค่อนข้างกว้าง
วันนี้ไม่ได้เปิดทุกชั้น มีเพียงสี่ชั้นแรกเท่านั้น
—
ตึกฝึกซ้อม ชั้นเก้า
ชั้นเก้าไม่ใช่ชั้นฝึกซ้อมทั่วไป แต่เป็นห้องโถงโล่งกว้างแห่งหนึ่ง
ทั้งสี่มุมเต็มไปด้วยจอภาพขนาดใหญ่ นี่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่จะถูกถ่ายทอดหลังจากพวกนักศึกษาเข้ามาในตึกแล้ว
ปกติชั้นเก้าจะไม่ค่อยมีคนมา เวลานี้กลับมีอาจารย์และผู้มีอำนาจในมหาวิทยาลัยนั่งบ้างยืนบ้างเกือบหนึ่งร้อยคน
นักศึกษาปีหนึ่งมีทั้งหมดไม่ถึงหนึ่งพันหกร้อยคน อาจารย์สายศิลปะการต่อสู้มีประมาณหนึ่งร้อยคน อาจารย์สายสังคมอีกหลายสิบคน
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้มีนักศึกษาทั้งหมดหกพันกว่าคน อาจารย์สายศิลปะการต่อสู้และสายสังคมกลับปาไปกว่าหนึ่งพันคนแล้ว
เทียบสัดส่วนนักศึกษากับอาจารย์ ก็ประมาณห้าต่อหนึ่ง นี่ถือเป็นจุดเด่นของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เหมือนกัน อาจารย์สายศิลปะการต่อสู้จะสอนลูกศิษย์ไม่เยอะ
ในกลุ่มคนพวกนี้ หวงจิ่งยังคงเป็นที่สะดุดตาเหมือนอย่างเคย อาจารย์และผู้มีอำนาจคนอื่นต่างกระจัดกระจายอยู่รอบกายหวงจิ่ง
รอจนถึงเวลาที่พวกนักศึกษาต้องเข้ามาในตึก กลางห้องโถงก็มีคนเอ่ยขึ้นว่า
“ตอนแรกก่อตั้งสี่สาขา นั่นเพราะว่าไม่อยากให้ผู้ฝึกยุทธ์สนใจแค่ศิลปะการต่อสู้ กลายเป็นคนที่ใช้กำลังเพียงอย่างเดียว แต่ตอนนี้สาขายุทโธปกรณ์กลับได้รับการจัดสรรทรัพยากรมากที่สุด เลือกนักศึกษาที่ดีที่สุดไป นักศึกษาบางคนไม่ได้สนใจการต่อสู้ แต่ชื่นชอบการค้นคว้าวิจัย ธุรกิจการค้าและการเมือง ความรุ่งเรืองของประเทศเกิดจากความหลากหลายของอาชีพ ไม่ใช่พลังของผู้ฝึกยุทธ์อย่างเดียว! ตอนนี้แต่ละสาขาของมหาวิทยาลัยต่างๆ กลับหนีห่างจากความตั้งใจแรกไปไกลแล้ว ลำเอียงให้ทรัพยากรกับสาขายุทโธปกรณ์มากเกินไป ทำให้นักศึกษาหัวกะทิเลือกไปสาขายุทโธปกรณ์กันหมด คณบดีหวง แบบนี้มันเหมาะสมหรือไง?”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา ทุกคนต่างคล้อยตามไปด้วย
ผู้พูดไม่ใช่คนอื่นไกล เป็นคณบดีสาขาสังคมศาสตร์ เฉินเจิ้นหวา
แม้เฉินเจิ้นหวาจะไม่ใช่ปรมาจารย์ แต่ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกตอนปลาย ทั้งยังเป็นศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศด้านการคิดค้นวิจัยและการเมือง
สาขาสังคมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ หลายปีนี้ทำคะแนนได้ดีทีเดียว อย่างน้อยก็จัดอยู่อันดับต้นๆ ของสาขาสังคมศาสตร์ในแต่ละมหาวิทยาลัย
ผู้บังคับการในแต่ละมณฑล กลับเป็นศิษย์เก่าจากสาขาสังคมของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ถึงเจ็ดแปดคนแล้ว กำลังรับหน้าที่ใหม่อีกประมาณสี่คน
แต่เป็นเรื่องจริงที่ทุกปีมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ลำเอียงให้ความสำคัญกับสาขายุทโธปกรณ์มากกว่า สาขาสังคมศาสตร์ได้รับการจัดสรรทรัพยากรน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบคุณภาพของนักศึกษากับสาขายุทโธปกรณ์แล้ว นับวันมีแต่จะแย่ลง
เมื่อก่อนยังมีนักศึกษาเก่งๆ เลือกเรียนสาขาสังคมศาสตร์อยู่บ้าง แต่ตอนนี้แทบจะไม่มีใครเลือกเลย
เมื่อเห็นว่าการแบ่งสาขากำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง เฉินเจิ้นหวาจึงนั่งไม่ติดที่ จำต้องออกมาพูดเรื่องนี้สักหน่อย
หวงจิ่งเผยสีหน้าเรียบนิ่ง “นักศึกษาสาขายุทโธปกรณ์เป็นพวกที่ใช้แต่กำลัง? หลายปีมานี้ สาขายุทโธปกรณ์ได้ผลิตต้นกล้าออกไปมากมาย! ผลิตนักการเมืองที่พัฒนาประเทศ ผลิตนักการทูตที่รักษาเขตแดน ผลิตนักธุรกิจที่บริหารกิจการอย่างรุ่งเรือง ผลิตนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อเสียงก้องโลก…ใครกล้าพูดว่านักศึกษาสาขายุทโธปกรณ์ใช้เป็นแต่กำลัง? วิชาความรู้ใช้บริหารประเทศ การต่อสู้และวรยุทธ์ทำให้ประเทศอยู่ร่มเย็นเป็นสุขเช่นกัน! คณบดีเฉิน ไม่อาจจะพูดแบบนี้ได้!”
เฉินเจิ้นหวาเอ่ยอย่างไม่พอใจ “คณบดีหวา อย่ามองภาพรวมของปัญหาแค่ด้านเดียวสิ ศิษย์เก่าสาขายุทโธปกรณ์หลายรุ่นที่จบไป ส่วนมากล้วนเลือกทำงานในกองทัพและหน่วยสืบสวนทั้งนั้น…”
“นั่นเพราะนับวันถ้ำใต้ดินก็อันตรายขึ้นเรื่อยๆ!”
หวงจิ่งเผยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเขากำลังรับใช้ประเทศชาติ”
“พวกเขาสละชีวิตในสนามรบ พลีชีพอย่างกล้าหาญ มีใครบ้างที่รู้เรื่องนี้!”
“เห็นพวกนักศึกษาดีเด่นกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า วิ่งออกรบอยู่แนวหน้า ใช้ชีวิตวัยเยาว์มุ่งหาความดับสูญ คนอย่างพวกคุณที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ข้างหลังเข้าใจเรื่องนี้อย่างนั้นเหรอ?”
“ทำไมถึงต้องให้ทรัพยกรกับสาขายุทโธปกรณ์มากกว่า! ทำไมถึงต้องเลือกนักศึกษาหัวกะทิ!”
“เพราะคนที่บัญชาการอยู่แนวหน้านับวันยิ่งน้อยขึ้นเรื่อยๆ ตายมากขึ้นเรื่อยๆ! พวกคุณเคยรู้บ้างหรือเปล่า?”
“แม้คำพูดนี้จะไม่ยุติธรรมกับทหารทั่วไปอยู่บ้าง แต่พวกคุณต้องยอมรับว่า ถ้าไม่มีพวกผู้ฝึกยุทธ์ที่เก่งกาจของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้คอยรักษาการณ์ ควบคุมการรบ เสี่ยงอันตรายและพลีชีพตัวเอง พวกคุณยังจะสุขสบายอยู่ทุกวันนี้เหรอ?”
หวงจิ่งเผยสีหน้าเจ็บปวด เอ่ยด้วยน้ำเสียงโมโหอยู่บ้าง “ถึงจะเป็นแบบนี้ ทุกปีก็ยังมีอัจฉริยะหลายคนเอาชีวิตไปทิ้งในถ้ำใต้ดิน ปีนั้นเพื่อไม่ให้โลกตกสู่ความวุ่นวาย ให้คนธรรมดาได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขปลอดภัย ไม่ต้องกังวลหวาดผวากับเรื่องพวกนี้ คนรุ่นก่อนถึงตัดสินใจไม่เปิดเผยข้อมูลนี้ให้คนทั่วไปทราบ! แต่นี่มันยุติธรรมหรือไง? นับวันพวกเด็กๆ ที่มีความสามารถกลับตายอยู่แนวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีกระทั่งชื่อเรียกอย่างวีรบุรุษ ยังทำได้แค่ประกาศออกไปข้างนอกว่าพวกเขาตายในการฝึกซ้อมและระหว่างทำภารกิจ! นี่มันไม่ยุติธรรม คนอ่อนแอยังคงตั้งคำถาม ทำไมผู้ฝึกยุทธ์ถึงได้รับอภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่น? ทำไมล่ะ? พวกคุณคิดว่ามันเพราะอะไร?…”
“คณบดีหวง คุณใจเย็นลงหน่อยเถอะ!”
เฉินเจิ้นหวาเอ่ยว่า “เรื่องมันยังไม่ถึงขั้นนั้น ผมไม่ได้เห็นต่างเรื่องคุณงามความดีหรืออุทิศตนของใคร แต่นักศึกษาสาขาสังคมก็จ่ายความพยายามของพวกเขาออกไปเช่นกัน! ทำให้สังคมสงบสุข เศรษฐกิจรุ่งเรือง ประเทศถึงได้มีเงินและทรัพยากรมากมายมาสนับสนุนสายศิลปะการต่อสู้ พวกนักศึกษาสาขาศึกษาวิจัย คอยคิดค้นยาบำรุง ปรับปรุงการฝึกวิชาและพัฒนาอาวุธ พวกนักศึกษาสาขายุทธศาสตร์ ก็บัญชาการอยู่แนวหน้าเหมือนกัน คนที่บุกโจมตีศัตรูไม่ได้มีแค่สาขายุทโธปกรณ์อย่างเดียว การแบ่งสาขาทั้งสี่ มีไว้เพื่อมอบหมายหน้าที่ของแต่ละฝ่าย แต่ตอนนี้การให้ความสำคัญกับสาขายุทโธปกรณ์มากเกินไป ไม่ยุติธรรมกับคนอื่นจริงๆ !”
“ยุติธรรม?”
หวงจิ่งเอ่ยอย่างเยือกเย็น “มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ให้ความนับถือผู้ฝึกยุทธ์เป็นหลัก ถ้าคุณเป็นปรมาจารย์ คงจะพูดคุยเรื่องยุติธรรมกับผมได้ แต่ในเมื่อไม่ใช่ คงพูดเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว!”
“นาย!”
เฉินเจิ้นหวาโมโหอย่างมาก พูดคุยเหตุผลกับเขา เขากลับใช้อำนาจข่ม พอพูดว่าเอาแต่ใช้กำลัง เขาก็มาใช้เหตุผลพูดอีก
แต่ฐานะปรมาจารย์ของหวงจิ่ง กลับสามารถข่มทั้งสามสาขาจนไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้จริงๆ
เฉินเจิ้นหวามีโทสะอย่างถึงที่สุด เอ่ยเสียงแข็งว่า “รออธิการกลับมา ฉันจะพูดเรื่องนี้กับเขา!”
“แล้วแต่คุณ!”
หวงจิ่งไม่สนใจ เอ่ยเรียบนิ่ง “พอการแบ่งสาขาเริ่มต้น แต่ละสาขาต้องแข่งขันกันอย่างยุติธรรม หากมีการข่มขู่คุกคามอะไรเกิดขึ้น จะถูกจัดการขั้นเด็ดขาด! คนที่ฉันพูดถึงคืออาจารย์ โดยเฉพาะอาจารย์สาขาอื่น ระวังความเหมาะสมด้วย!”
พวกอาจารย์สาขาสังคมกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง เรื่องนี้ถ้าพวกคุณทำยังพอว่า อาจารย์สาขาสังคมอย่างพวกเขาจะเอาความสามารถที่ไหนมาทำเรื่องแบบนี้
—
ลานกว้างหน้าตึกฝึกซ้อม
ถังเฟิงตะโกนเสียงดัง “ชั้นหนึ่งสาขาสังคมศาสตร์ ชั้นสองสาขาศึกษาวิจัย ชั้นสามสาขายุทธศาสตร์ ชั้นสี่สาขายุทโธปกรณ์!”
“ตอนนี้เวลาเจ็ดโมงห้าสิบเจ็ดนาที ปิดตึกตอนแปดโมง เก้าโมงจะเปิดตึกอีกครั้ง!”
“เมื่อเปิดตึก นักศึกษาอยู่ชั้นไหนก็จะได้เรียนสาขานั้น แต่ละชั้นรองรับได้มากสุดสี่ร้อยคน หากมีคนเกิน นักศึกษาชั้นนั้นทั้งหมดจะถูกหักสามสิบคะแนน!”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา พวกนักศึกษาจึงเกิดความโกลาหลขึ้นทันที
คำพูดนี้เห็นได้ชัดว่าชี้ชวนให้พวกเขาต่อสู้แข่งขันกัน ไม่อย่างนั้นถ้ามีคนฝืนเข้ามาอยู่เกินในชั้น อาจจะทำให้คนนับร้อยถูกหักคะแนนได้
สามสิบคะแนน แลกยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งได้สามเม็ด กระทั่งฟู่ชางติ่งที่ฐานะทางบ้านไม่ขัดสน ยังไม่คิดประมาทเช่นกัน
ฟู่ชางติ่งตัดสินใจจะอาศัยยาบำรุงในการสร้างชื่อครั้งนี้เหมือนกัน เขาเตรียมยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งมาสามเม็ด
แม้จะเกิดความวุ่นวาย แต่กลับไม่มีใครสงสัย ทั้งไม่กล้าสงสัยด้วย
ไม่นาน ค่อยมีนักศึกษาถามว่า “อาจารย์ เอาอาวุธเข้าไปได้หรือเปล่า?”
ถังเฟิงกวาดสายตามองคนพูด เห็นเขาถือมีดสั้นเล่มหนึ่งในมือ จึงเงียบไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยว่า
“อาวุธที่เป็นโลหะไม่อนุญาต ชั้นหนึ่งมีไม้พลองสำหรับฝึกอยู่ นำมาใช้ได้ พวกคุณเป็นนักศึกษาใหม่ ลงมือไม่รู้หนักเบา อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายได้ง่าย ใช้ไม้พลองถือว่าลดการบาดเจ็บล้มตายได้บ้าง…”
ใช้คำว่า ‘ลดการบาดเจ็บล้มตาย’ แต่ไม่ใช่ป้องกันการบาดเจ็บล้มตาย ทำให้นักศึกษาหลายคนเข้าใจความหมายทันที เผยใบหน้าซีดเผือดอยู่บ้าง
เห็นได้ชัดว่า เคยมีคนตายจากเรื่องนี้เช่นกัน
ไม้พลองที่ใช้ฝึก หากโจมตีจุดสำคัญ อาจทำให้ตายได้เหมือนกัน แต่แค่ไม่อันตรายเท่าอาวุธโลหะพวกนั้น
ถังเฟิ่งเอ่ยต่อว่า “นอกจากพวกอาวุธโลหะแล้ว อย่างอื่นล้วนทำได้ทั้งนั้น จะร่วมมือ ล้อมโจมตี นี่อยู่ที่ตัวพวกคุณเอง ผู้ฝึกยุทธ์ต้องแข่งขัน แต่ว่าต้องดูความสามารถด้วย เรื่องไหนทำได้หรือทำไม่ได้ อยู่ในที่ทางเหมาะสมดีกว่าฝืนดันทุรังเกินตัว! แต่ละสาขาล้วนมีข้อดีข้อเสียของตัวเอง ไม่ใช่ว่าสาขายุทโธปกรณ์เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด สิ่งที่เหมาะกับตัวเองต่างหากถึงจะดีที่สุด!”
ถังเฟิงพูดจบ ก็ตะโกนเสียงดัง “ตอนนี้เข้าไปข้างในได้!”
พวกนักศึกษาได้ยิน ชั่วพริบตานั้นจึงกรูกันเข้าไปทันที
———————