ตอนที่ 102 เลือกอาจารย์ (2)
ฟางผิงกลับถอนหายใจ อันที่จริงเขาก็ไม่เชื่อว่าจะได้อะไรมาฟรีๆ อยู่แล้ว
อาจารย์ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ สุดท้ายแล้วยังคงถือเป็นผู้ให้วิชาความรู้ ทุกคนใช้เวลาร่วมกันแค่สี่ปี หลังจากนั้นจะยอมรับอาจารย์คนนี้หรือเปล่า ต้องดูที่ตัวเองแล้ว
สถานการณ์แบบนี้ แม้อาจารย์จะลำเอียงไปบ้าง แต่ก็มีข้อจำกัดเหมือนกัน
ไม่อาจจะทุ่มเทจนหมดเนื้อหมดตัวเพื่อนักศึกษา พวกเขาต่างมีลูกหลานของตัวเองเช่นกัน
อาศัยแค่ประโยคที่อีกฝ่ายพูดว่า ‘มีหุ้นส่วนในบริษัทผลิตยาบำรุง’ ‘สามารถไปในสถานที่ที่คนอื่นไปไม่ได้’ รวมทั้ง อู่อู๋ตี๋ยังวเคราะห์เบื้องหลังของตัวเองเทียบกับนักศึกษาคนอื่น ฟางผิงจึงไม่คิดลังเลอีกแล้ว ตัดสินใจเดิมพันสักครั้ง!
กดความไม่พอใจที่เธอสร้างความลำบากไว้ให้ในตอนแรก ฟางผิงก้าวขาเดินเข้าไป เอ่ยอย่างยินดี “อาจารย์ ผมฝากตัวกับคุณด้วยแล้วกัน”
อู่อู๋ตี๋เผยยิ้ม ถังเฟิงที่อยู่ด้านข้างไม่ได้เอ่ยขัดอะไรอีก มองไปยังอู่อู๋ตี๋เอ่ยว่า “เธอต้องรับผิดชอบนักศึกษาของเธอด้วย หลายปีมานี้ เธอรับศิษย์ไปสิบสองคน ยังไม่ทันเรียนจบ กลับล้มตายกันไปกว่าครึ่ง…”
ฟางผิงหน้าเปลี่ยนสีทันที นักศึกษาคนอื่นๆ ที่กำลังเตรียมจะเดินเข้ามาต่างชะงักฝีเท้าโดยพลัน!
ฟางผิงแทบจะหลุดด่าออกมา ‘ทำไมเจ้าสิงโตไม่พูดตั้งแต่เมื่อกี้ล่ะ!’
อู่อู๋ตี๋เผยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่เช่นกัน เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องมากังวลใจ ฉันรู้จักความเหมาะสมพอ”
“หวังว่าจะเป็นแบบนั้น!”
“…”
ทั้งสองคนจบบทสนทนาเพียงเท่านี้ เพราะคำพูดของถังเฟิง สุดท้ายนอกจากฟางผิงแล้ว ยังมีคนมาหาอู่อู่ตี๋อีกคน
จ้าวเสวี่ยเหมย!
นักศึกษาหญิงหน้าตาไม่ค่อยดีคนนั้น เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งที่ยังไม่ได้หลอมกระดูกครั้งที่สอง จวงกงและเคล็ดวิชาต่อสู้ไม่อ่อนด้อยเลย
ฟางผิงคาดไม่ถึงว่า หลังจากถังเฟิงพูดเรื่องนี้ออกมา จะยังมีคนเลือกอู่อู๋ตี๋อีก ทั้งยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
อู่อู๋ตี๋ตกใจอยู่บ้างเหมือนกัน เธอไม่ได้จะกล่าวโทษถังเฟิง เพราะนี่คือเรื่องจริง
แต่หลังจากถังเฟิงพูดออกมาแล้ว นึกไม่ถึงว่ายังจะมีคนมา จึงแปลกใจอยู่บ้าง เด็กผู้หญิงคนนี้ใจกล้าไม่เบาเชียว
การเลือกอาจารย์ ค่อยๆ ทยอยสิ้นสุดลง
เมื่อแบ่งอาจารย์แล้ว ต้องแบ่งห้องเรียนต่อ จุดประสงค์หลักของการแบ่งห้องเพื่อแยกการเรียนวิชาทฤษฏีและวิชาวัฒนธรรม
ตอนนี้ที่ทุกคนเลือกอาจารย์คืออาจารย์ที่สอนฝึกวิชาในวันทั่วไป ไม่ใช่อาจารย์ที่สอนทฤษฎี
นักศึกษาสี่ร้อยคนแบ่งทั้งหมดเป็นแปดห้องเรียน
เพราะทุกคนมีมาตรฐานไม่เท่ากัน บางคนไม่เคยเรียน (เคล็ดวิชาหลอมกระดูก) และจวงกงด้วยซ้ำ บางคนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ไปแล้ว คงไม่อาจแบ่งไปไว้ห้องเดียวกันได้
แม้ฟางผิงจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ แต่มาตรฐานเขาค่อนข้างดี ท้ายที่สุดจึงถูกแบ่งไปห้องหนึ่ง
สามห้องแรก หลักๆ เป็นผู้ฝึกยุทธ์และคนธรรมดาที่พอมีพื้นฐานอยู่บ้าง
ส่วนห้าห้องที่เหลือ จะเป็นนักเรียนทั่วไปที่ไม่แทบไม่เข้าใจเรื่องอะไรเลย
เมื่อแบ่งอาจารย์และแบ่งห้องแล้ว ภารกิจวันนี้จึงเป็นอันสิ้นสุด
ก่อนที่อู่อู๋ตี๋จะจากไป ยังโยนบัตรคีย์การ์ดให้ฟางผิงและจ้าวเสวี่ยเหมยคนละใบ
“สัปดาห์แรกพวกเธอจะเรียนวิชาทฤษฎีและวัฒนธรรมเป็นหลัก ส่วนอาจารย์เฉพาะทางอย่างพวกเรา ถ้าไม่มีคลาสใหญ่ คงมีโอกาสน้อยที่จะสอนพวกเธอตามลำพัง แต่พวกเธอทั้งสอง คนหนึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อีกคนหลอมกระดูกสามครั้ง คงจะเข้าใจเรื่องพวกนั้นบ้างแล้ว ถ้าว่างๆ มีปัญหาอะไรมาหาฉันที่โซนหอพักอาจารย์ได้ โดยเฉพาะฟางผิง หากต้องการยื่นเรื่องทะลวงด่าน มาหาฉันได้ รอถึงเทอมหน้า พวกเธอผ่านช่วงปรับตัวได้แล้ว หลังจากนี้พวกเราอาจมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น”
ขณะที่พูด อู่อู๋ตี๋ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะโยนขวดยาให้คนละขวด
“ยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดา เอาไว้ใช้บำรุง ส่วนยาดีๆ พวกเธอต้องแย่งชิงเอง ยาบำรุงทั่วไปพวกนี้ ใช้เพื่อประหยัดเวลาในการฟื้นฟูปราณเท่านั้น ดูกันเอาเองเถอะ”
ทิ้งท้ายไว้แค่นี้ ก่อนเธอจะเดินจากไป ไม่พูดอะไรอย่างอื่นอีก
ฟางผิงและจ้าวเสวี่ยเหมยรู้สึกทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง ไม่ใช่แค่พวกเขา นักศึกษาคนอื่นๆ ต่างเป็นแบบนี้เหมือนกัน
พากันเลือกอาจารย์อย่างบ้าคลั่ง ปรากฏว่าพวกอาจารย์แทบไม่ใส่ใจ ทิ้งคำพูดไว้ ก่อนส่วนมากจะหายไปแทบไม่เห็นฝุ่น
อาจารย์ส่วนน้อย ยังดีขึ้นมาหน่อย พาพวกเด็กใหม่ไปรู้จักกับรุ่นพี่ปีสูงของพวกเขา
ฟางผิงมองขวดยาที่ถือในมือ อู่อู๋ตี๋ใจป้ำไม่ใช่เล่น ให้ยาบำรุงเลือดและปราณตั้งสิบเม็ดในครั้งเดียว
หากเอาไปขายข้างนอก ราคานั้นแทบเป็นล้าน!
แม้จะเป็นในมหาวิทยาลัย ก็ต้องใช้ตั้งสามสิบคะแนนเพื่อแลกเปลี่ยน!
มองแค่จุดนี้ อีกฝ่ายบอกว่าเธอเป็นหุ้นส่วนบริษัทผลิตยาน่าจะไม่ใช่เรื่องโกหกแล้ว
จ้าวเสวี่ยเหมยตกใจอยู่บ้าง เธอนึกไม่ถึงว่าอาจารย์จะให้ยาบำรุงตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
ทั้งสองคนสบสายตากัน ก่อนฟางผิงจะขำแห้ง “ว่าไง ฉันชื่อฟางผิง…”
“รู้แล้ว!”
จ้าวเสวี่ยเหมยไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ แค่นเสียงว่า “เมื่อกี้นายเพิ่งเตะฉัน ฉันไม่ลืมหรอก!”
พูดจบ ค่อยแนะนำตัวว่า “จ้าวเสวี่ยเหมย”
ทั้งสองคนพูดชื่อแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะพูดกันอีก พวกเขาไม่คุ้นเคยกันด้วย ทั้งเมื่อครู่ฟางผิงยังอัดเธอไปอีก
เวลานี้พวกฟู่ชางติ่งเข้ามาสมทบแล้ว
หยางเสี่ยวม่านดึงจ้าวเสวี่ยเหมย มองฟางผิงอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง เอ่ยว่า “นึกไม่ถึงว่าจะเลือกอาจารย์คนเดียวกับเขา เสวี่ยเหมย เธอควรจะเลือกอาจารย์ถังเฟิงเหมือนฉัน”
จ้าวเสวี่ยเหมยหัวเราะ “ไม่เป็นไรหรอก เลือกอาจารย์ต้องเลือกให้เหมาะกับตัวเอง ฉันคิดว่า…อาจารย์อู่เหมาะกับฉันมากกว่า”
หยางเสี่ยวม่านเอ่ยอย่างขบขัน “เธอแซ่หลู่ อาจารย์อู่อะไรกัน คิดว่าเธอชื่ออู่อู๋ตี๋จริงงั้นเหรอ!”
เห็นได้ชัดว่าหยางเสี่ยวม่านรู้อะไรมาบ้าง
ไม่ใช่แค่เธอ ฟู่ชางติ่งเหมือนกัน เห็นพวกผู้หญิงไม่สนใจเขาและฟางผิง ก็ไม่คิดอยู่ที่นั่น ดึงฟางผิงออกไป “เลือกอาจารย์ ปกติต้องเลือกให้เหมาะกับตัวเอง เมื่อกี้ฉันไม่ได้เตือนนายด้วย อาจารย์หลู่ เอ่อ อาจารย์ของนายนั่นแหละ ชื่อเต็มว่าหลู่เฟิ่งโหรว ที่จริงเธอมีความสามารถไม่น้อย หรือจะพูดได้ว่าแทบไม่ด้อยกว่าอาจารย์ถังเฟิง แต่ก่อนที่ฉันจะมา ได้ยินพวกผู้ใหญ่ในบ้านบอกว่า ถ้าเจออาจารย์หลู่ พยายามอย่าเลือกเธอ ความจริงครั้งนี้เหมือนจะไม่มีอาจารย์หลู่ในรายชื่อสอนเด็กใหม่ ตอนแรกเห็นบนเวที ฉันยังคิดว่าเธอมาเข้าร่วมพิธีเปิดเรียนเท่านั้น ดังนั้นตอนแนะนำอาจารย์ให้นาย ฉันเลยไม่ได้พูดถึงเธอ แต่เล่าเรื่องอาจารย์ขั้นหกคนหนึ่งแทน ใครจะรู้ว่าถึงเวลาจริงจะถูกเปลี่ยนตัว เรื่องราวคร่าวๆ ฉันไม่รู้ชัดเจนเหมือนกัน แต่เหมือนที่อาจารย์ถังเฟิงบอก หลายปีมานี้ ศิษย์ของอาจารย์หลู่มีอัตราบาดเจ็บล้มตายค่อนข้างสูง”
ฟางผิงครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “เธอคงไม่ได้ชอบสร้างความลำบากใจให้นักศึกษาจนติดเป็นนิสัยใช่หรือเปล่า?”
ฟู่ช่างติ่งเอ่ยอย่างขบขัน “ไม่หรอก นิสัยของเธออาจน่าอึดอัดอยู่บ้าง แต่สร้างเรื่องลำบากใจให้นักศึกษา อาจารย์ในมหาวิทยาลับแทบจะไม่ทำแบบนั้น หากเป็นแบบนั้นจริงๆ อธิการและคณบดีคงไม่ให้เธอรับหน้าที่นี้ต่อหรอก”
“งั้นคงไม่มีปัญหา”
ฟางผิงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ชอบสร้างเรื่องลำบากใจให้นักศึกษา แม้จะกังวลเรื่องที่ศิษย์ของเธอมีอัตราบาดเจ็บล้มตายค่อนข้างสูง แต่ก็ไม่ได้คิดมากมาย
เขาเป็นคนเลือกทางนี้เอง ทั้งยังมีผลประโยชน์ก้อนโต อย่างน้อยยาบำรุงกำลังสิบเม็ดคือเครื่องยืนยันแล้ว
ฟางผิงขบคิดก่อนเอ่ยว่า “ใช่สิ เมื่อกี้บอกให้พวกเราไปรับคะแนนที่ฝ่ายบริการ ตอนนี้นายจะไปฝ่ายบริการหรือไปโรงพยาบาลก่อน?”
“ไปโรงพยาบาลทำไม?”
ฟู่ชางติ่งทำสีหน้าฉงนใจ ฟางผิงชำเลืองตามองเขาอย่างเงียบเชียบ
“หน้าบวมขนาดนี้ เมื่อกี้แทบจะจำนายไม่ได้ นายแน่ใจว่าจะไม่ไป?”
ฟู่ชางติ่งตั้งสติไม่ทันอยู่บ้าง ผ่านไปพักใหญ่ค่อยถลึงตามองฟางผิง ยังกล้ามาพูดแดกดันเขาอีก?
——————