ตอนที่ 151 แม้แต่ฟางผิงยังสู้ไม่ได้ (2)
ตอนนี้ภายในสนามกีฬาดุเดือดขึ้นมาแล้ว
“หล่อมาก!”
“จ่านเผิงเฟย ฉันรักคุณ!”
“จะหล่อเกินมนุษย์ไปแล้ว!”
“…”
ฟู่ชางติ่งที่อยู่ตรงข้ามดูงุนงงอย่างเห็นได้ชัด นี่มันเรื่องอะไรกัน!
แม่งไม่คิดจะป้องกันตัวหรือไง?
เขาทำตามที่ถังเฟิงกำชับไว้ แม้ว่าหอกนี้จะยั้งมืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนปกติจะรับได้เช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้แบบดุดันไม่ใช่วิถีทางของจ่านเผิงเฟย เวลานี้หากเขาไม่ถอยหลีกเพื่อเว้นระยะห่าง ก็คงต้องเลือกเปลี่ยนท่า ประชิดฟู่ชางติ่งเพื่อต่อสู้ระยะใกล้
ทว่ากระบี่บางกลับเคลื่อนไหวล่องลอยอ่อนช้อย ตอนนี้อีกฝ่ายไม่มีทีท่าหลบหลีก หรือคิดจะใช้กระบี่ปัดป้องกัน?
แต่ไม่เห็นจะใช้สองมือจับกระบี่!
“หรือจะเป็นยอดฝีมือ?”
ฟู่ชางติ่งระแวดระวังอยู่บ้าง หอกยาวกลับแทงออกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือหรือไม่ ลองดูก็รู้แล้ว!
ตอนนี้จ่านเผิงเฟยเพิ่งจะเริ่มหมุนกระบี่ปัดป้อง เป็นเหมือนที่ฟู่ชางติ่งคาดไว้พอดี เขาต้องการจะใช้กระบี่บางเฉียบนั้นสกัดหอก
แน่นอนว่าไม่ใช่การสกัดเสียทีเดียว กระบี่ของจ่านเผิงเฟยโรมรันกับปลายหอก เห็นได้ชัดว่าอยากจะทำให้หอกของฟู่ชางติ่งเปลี่ยนทิศทาง แทงไม่ถูกคน…
แต่การพึ่งแค่จินตนาการเป็นเรื่องไร้ประโยชน์!
จ่านเผิงเฟยพยายามดึงหัวหอก กลับไม่ประสบผลสำเร็จ ปลายหอกของฟู่ชางติ่งยังคงตรงดิ่งเข้ามา ไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนทิศทางแม้แต่น้อย
เวลานี้จ่านเผิงเฟยไม่อาจใจเย็นได้อีกแล้ว รีบถอยหลบออกไป
ทว่าฟู่ชางติ่งไม่ใช่ศพไร้ชีวิต ปลายหอกขยับ คนก็ขยับเช่นกัน
ตอนที่จ่านเผิงเฟยถอยหลัง ฟู่ชางติ่งจึงตามไปด้านหน้าเช่นกัน หอกยาวไม่ได้แทงออกไปอย่างเดียว เขาเขย่าด้ามหอก ทำให้ปลายหอกสั่นไหวขึ้นมา
กระบี่ของจ่านเผิงเฟยสั่นสะท้านตามทันที แทบจะร่วงหลุดจากมือ
“พวกนายกล้าดูถูกฉันงั้นเหรอ!”
ฟู่ชางติ่งโมโหไม่น้อย ตอนนี้เขามองออกแล้ว อีกฝ่ายอ่อนด้อยอย่างมาก!
ฟู่ชางติ่งเป็นอัจฉริยะของเซี่ยงไฮ้ นึกไม่ถึงว่าครุศาสตร์หวาตงจะให้คนอ่อนแอเช่นนี้ขึ้นเวที เห็นได้ชัดว่าดูถูกเขาคนนี้
พอเขามีโทสะ ปราณจึงพลุกพล่านขึ้นมาทันที ปลายหอกสั่นสะท้านอย่างรุนแรงอีกครั้ง ทำให้กระบี่ของจ่านเผิงเฟยหลุดจากมือทันที
ฟู่ชางติ่งไม่เลิกรา งัดปลายหอกจนกระบี่ลอยออกไปปักเข้าที่ฐานของเวที สั่นคลอนอย่างไม่หยุด
ฟู่ชางติ่งไม่คิดแทงไปที่ลำคอเขาอีก ขยับด้ามหอกทำให้ปลายหอกแฉลบลำคอออกไป ก่อนจะฟาดไปที่ต้นคอจ่านเผิงเฟยอย่างแรงแทน
“พลั่ก” เสียงดังก้องไปทั่ว
จ่านเผิงเฟยร้องด้วยความเจ็บปวด เบื้องหน้าดำมือไปหมด ร่างกายโอนเอนจนเกือบล้ม หอกในมือของฟู่ชางติ่งสั่นไหว เหวี่ยงเป็นวงกลมอีกครั้ง
“พลั่ก” ครั้งนี้ตีเข้าที่แก้มของอีกฝ่าย!
ชั่วพริบตานั้นใบหน้าของจ่านเผิงเฟยก็ปรากฏคราบเลือดออกมาทันที…
เวลานี้ฟู่ชางติ่งไม่คิดลงมืออีก หมุนตัวเดินลงจากเวที สีหน้าดูไม่ดีนัก เสี้ยวนาทีนั้นทั่วทั้งสนามกีฬาต่างตกสู่ความเงียบสงบ
—
ชั้นสอง
ถังเฟิงขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยอารมณ์คุกรุ่นอยู่บ้าง “ครุศาสตร์หวาตงให้นักศึกษาแบบนี้ขึ้นเวที ดูถูกเซี่ยงไฮ้ของเราว่าไร้ความสามารถหรือไง?”
ฝั่งครุศาสตร์หวาตงเงียบเป็นเป่าสาก
เนิ่นนาน ก่อนเหล่าเสอจะพูดว่า “ขอโทษด้วย พวกเรา…พวกเราก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน…”
ไป๋รั่วฉีขมวดคิ้วขึ้นเช่นกัน “ทุกท่าน นี่ไม่ใช่การแข่งขันแสดงการต่อสู้!”
จ่านเผิงเฟยระบำกระบี่ได้อย่างงดงาม หากเป็นการแข่งขันแสดงการต่อสู้คงนับว่าไร้ที่ติ
แต่ตอนนี้ใช่การแข่งขันแสดงการต่อสู้หรือเปล่าล่ะ?
นี่เป็นการอุ่นเครื่องก่อนการแข่งขันแลกเปลี่ยน!
อาจารย์ของครุศาสตร์หวาตงหลายคนหน้าขึ้นสี พวกเขาจะไม่รู้อย่างนั้นเหรอ?
พวกเขารู้ว่านี่ไม่ใช่การแข่งขันแสดงการต่อสู้!
แต่ความสามารถของจ่านเผิงเฟยไม่ได้อ่อนด้อยขนาดนั้นจริงๆ บางทีในครุศาสตร์หวาตงอาจมีคู่ต่อสู้แค่ไม่กี่คนด้วยซ้ำ ครั้งนี้ประมาทศัตรูเกินไปแล้ว
ทั้งฟู่ชางติ่งยังชำนาญการใช้อาวุธ แม้ว่าจะอยู่ในเซี่ยงไฮ้ความสามารถก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มหัวกะทิ แต่จ่านผิงเฟยไม่ถือว่าเป็นแนวหน้าของครุศาสตร์หวาตง
และต่อให้หัวกะทิของครุศาสตร์หวาตงจะมาอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ก็ใช่ว่าจะสามารถจัดอยู่ในระดับเดียวกันได้เสมอไป
สรุปแล้ว จ่านเผิงเฟยนั้นอยู่ต่ำกว่าฟู่ชางติ่งสามระดับ
ส่วนเรื่องความสามารถ หลี่จ้าวซวี่ที่อ่อนแอที่สุดของเซี่ยงไฮ้ เกรงว่าอาจจะแข็งแกร่งกว่าเขาเสียอีก แน่นอนว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฟู่ชางติ่งอยู่แล้ว ประเด็นสำคัญอยู่ที่พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถเกินไป!
ทั้งยังห่างชั้นกันอย่างมาก
เมื่อครู่ด้านล่างเวทียังมีเสียงร้องเกรียวกราว พอผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบนี้ กระทั่งพวกอาจารย์ต่างรับไม่ได้อยู่บ้าง
เหล่าเสอสูดลมหายใจเข้าลึก หันหน้ามองไปทางพวกนักศึกษาที่เผยสีหน้าไม่น่ามองเช่นเดียวกัน เอ่ยว่า “เฉินหงเหว่ย ครั้งนี้ตาเธอขึ้นไปแล้ว ลองทำอะไรแผลงๆ อีกสิ เหอะ!”
เห็นได้ชัดว่าเหล่าเสอโมโหเช่นกัน
ครุศาสตร์หวาตงพ่ายแพ้ให้เซี่ยงไฮ้ได้ นี่อยู่ในการคาดการณ์ของพวกเขาเช่นกัน แต่ไม่ควรพ่ายแพ้อย่างน่าอดสูแบบนี้ เสียหน้าเกินไปแล้ว!
ถังเฟิงมองเฉินหงเหว่ยที่เงียบไม่ปริปาก ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อครู่ที่เขาโมโหก็เพราะอยากบีบให้ครุศาสตร์หวาตงปล่อยยอดฝีมือที่พวกเขาซ่อนไว้ลงสนาม นั่นถึงจะเห็นประสิทธิภาพในการฝึกได้อย่างแท้จริง
หากเป็นเหมือนกับจ่านเผิงเฟยกันหมด หรือจะให้เขาส่งพวกฟู่ชางติ่งออกมาเก๊กหล่ออย่างเดียว?
“จินเหล่ย ครั้งนี้ตาเธอขึ้นไป”
จินเหล่ยรูปร่างไม่ได้สูงมาก ไม่พกอาวุธยาว แต่สวมนวมไว้ที่มือทั้งสองข้าง
ได้ยินแบบนั้นจึงพยักหน้าเบาๆ หยัดกายเดินลงไปยังเวที
—
ชั้นสอง ฟู่ชางติ่งเดินขึ้นมาก็บ่นอุบอิบ “เล่นอะไรกัน เสียทีที่ฉันระวังตัว…”
“เอาเถอะ!”
ถังเฟิงเห็นฝ่ายครุศาสตร์หวาตงต่างมีสีหน้าไม่ดี จึงไม่คิดยั่วยุพวกเขาอีก กระตุ้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว หากทำซ้ำๆ จะเป็นการหักหน้าเข้าจริงๆ
เวทีด้านล่าง จินเหล่ยและเฉินหงเหว่ยเริ่มประมือกันแล้ว
ครั้งนี้ เสียงเชียร์ของครุศาสตร์หวาตงไม่ดังเท่าก่อนหน้านี้อีกแล้ว เป็นเพราะจนถึงตอนนี้ทุกคนยังคงดึงสติกลับมาไม่ได้!
จ่านเผิงเฟยที่ผู้หญิงหลายคนหลงรักนึกไม่ถึงว่าจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว ทั้งน่าอดสูขนาดนั้น หน้าแทบจะถูกทุบจนเบี้ยวไปแล้ว
ในเวลาสั้นๆ ทุกคนต่างยากจะรับได้!
ตอนนี้แม้ว่าบนเวทีเฉินหงเหว่ยและจินเหล่ยจะต่อสู้กันอย่างยอดเยี่ยม แต่ทุกคนกลับไม่มีความกระตือรือร้นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
พอผ่านไปพักหนึ่ง เห็นเฉินหงเหว่ยเหมือนจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ นักศึกษาของครุศาสตร์หวาตงก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกครั้ง
พวกฟางผิงกลับคร้านที่จะสนใจเรื่องพวกนี้ กำลังฟังการวิเคราะห์ของไป๋อวิ๋นซี
“เฉินหงเหว่ยอยู่ขั้นหนึ่งสูงสุดแล้ว เขาน่าจะใช้อาวุธ แต่ตอนนี้ไม่เอามาใช้ คงจะซ่อนความสามารถไว้ส่วนหนึ่ง แน่นอนว่าแม้จะระเบิดพลังทั้งหมด อย่างมากก็เทียบเท่าถังซงถิงเท่านั้น เขาน่าจะเป็นคนที่เก่งที่สุดของหนึ่งในสามคนของนักศึกษาครุศาสตร์หวาตงพวกนี้ การแข่งขันแลกเปลี่ยนครั้งนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะให้เขาลงสนาม ทั้งยังเป็นสมาชิกทีมหลัก”
หยางเสี่ยวม่านมองเวทีด้านล่าง ทั้งพูดไปพลาง “สมาชิกทีมหลักของพันธมิตรแปดมหาวิทยาลัยอยู่แค่ระดับนี้?”
ไป๋รั่วฉีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉันแค่วิเคราะห์ตามความสามารถของนักศึกษาในตอนนี้ ผลอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป ถึงเวลานั้นดูว่าเขาเป็นสมาชิกของทีมหลักหรือเปล่าก็รู้ได้แล้ว”
หยางเสี่ยวม่านพยักหน้าเล็กน้อย “หากกำลังหลักของพันธมิตรแปดมหาวิทยาลัยอยู่ระดับนี้จริงๆ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะมีคนสามารถชนะห้าคนรวดได้!”
“มั่นใจเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าลำพองตัวคงไม่ดีแล้ว พันธมิตรแปดมหาวิทยาลัยต้องมีผู้เข้าแข่งขันที่เป็นไพ่ตายอยู่แล้ว ในทีมพันธมิตรแปดมหาลัย มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หวากั๋วนั้นแข็งแกร่งที่สุด ครุศาสตร์หวาตงถูกจัดอยู่ในอันดับท้ายๆ!”
ไป๋รั่วซีเอ่ยเตือนหนึ่งประโยค ก่อนจะเอ่ยว่า “ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยพวกเขาก็สู้พวกเธอไม่ได้แล้ว ทั้งพวกเธอยังตั้งใจฝึกฝนอยู่ตลอด จะอยู่เหนือชั้นจากพวกเขาถือเป็นเรื่องปกติ แต่ทีมพันธมิตรแปดมหาลัยมีนักเรียนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์สอบเข้าเช่นกัน คนพวกนี้จนถึงตอนนี้แล้วยังไม่เปิดเผยตัวด้วยซ้ำ!”
ระหว่างที่พูด จินเหล่ยที่อยู่บนเวทีก็ถูกเฉินเหว่ยหงเตะเต็มๆ ใช้มือประคองหน้าอก ไม่อาจลุกขึ้นยืนได้
ผู้ตัดสินตรวจสอบสักพัก ก่อนจะประกาศว่าเฉินหงเหว่ยเป็นผู้ชนะ ครั้งนี้เสียงเชียร์จากครุศาสตร์หวาตงดังขึ้นอีกครั้ง
“ครั้งต่อไปหลี่จ้าวซวี่ แล้วก็สวีอี้ข่าย สุดท้ายเป็นถังซงถิง!”
“อาจารย์คะ…” หยางเสี่ยวม่านผิดหวังอยู่บ้าง ไม่ใช่เพราะตัวเอง แต่เป็นเฉินอวิ๋นซี นึกไม่ถึงว่าเฉินอวิ๋นซีจะไม่มีกระทั่งโอกาสในการขึ้นเวทีรอบอุ่นเครื่อง
ถังเฟิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ตัวเธอเองยังไม่แย่งชิง งั้นคงไม่มีความจำเป็นต้องขึ้นไป! ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุด หรือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุดที่หลอมกระดูกสองครั้งของเด็กใหม่หวากั๋วทั้งหมด หากดูแค่การหลอมกระดูกและปราณ เธอยังคงถือว่าจัดอยู่ในกลุ่มหัวกะทิ ปรากฏว่ากลับขี้ขลาดตาขาว แม้แต่ฟางผิงยังสู้ไม่ได้!”
“ให้ตายเถอะ!”
ฟางผิงหน้าเขียวคล้ำไปหมด ฉันไปล่วงเกินอะไรนายกัน?
อะไรคือแม้แต่ฟางผิงยังสู้ไม่ได้!
ฉันไปขี้ขลาดตาขาวเมื่อไหร่กัน?
ในหมู่นักศึกษาใหม่ของเซี่ยงไฮ้ มีคนฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองได้เยอะเท่าฉันหรือเปล่าล่ะ?
ราชสีห์ถังจะเกินไปหน่อยแล้ว!
———————-