ตอนที่ 184 การแข่งขันไม่ใช่เป้าหมายหลัก (1)
ในโรงแรม
ทุกคนกำลังเตรียมโทรศัพท์แจ้งมหาวิทยาลัย จู่ๆ ฟางผิงก็เอ่ยว่า “ฉันจะโทรเอง!”
พวกเขามองฟางผิงอย่างสงสัยอยู่บ้าง ฟางผิงกลับไม่สนใจ ครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนจะโทรหาถังเฟิงโดยตรง ถังเฟิงถือเป็นหัวหน้าอาจารย์ของนักศึกษาปีหนึ่ง
“อาจารย์ถัง”
“พูดมา”
ถังเฟิงยังเหมือนเช่นเคย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ไม่พูดเยิ่นเย้อ
“วันนี้ทีมของพวกเรามาหนานเจียง เตรียมจะรับภารกิจจำนวนหนึ่ง ถือโอกาสมาเดินที่มหาวิทยาลัยหนานเจียงด้วย”
“อืม”
“จากนั้นนักศึกษาของหนานเจียงมาท้าทายพวกเรา บอกว่าเซี่ยงไฮ้สู้หนานเจียงไม่ได้ ก่อนหน้านี้ถูกหวังจินหยางดักจัดการที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย”
“หืม?”
“หลังจากนั้นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์หนานเจียง หวังจินหยางเป็นฝ่ายออกหน้า ส่งสาสน์ท้ารบให้พวกเรา เสนอเงื่อนไขให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสูงสุดห้าคนของหนานเจียงประลองการแข่งขันกับพวกเรา…พูดแฝงความนัย…ดูแคลนมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้
“สู้ไปเลย!”
“ไม่ใช่…”
ฟางผิงชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยอย่างลำบากใจ “อาจารย์ พวกเราคิดดูแล้ว เพื่อไม่เป็นการทำลายมิตรภาพทั้งสองฝ่าย ทั้งเพื่อไม่ให้ขายหน้าเซี่ยงไฮ้ จึงตัดสินใจปฏิเสธไป พวกเรายังเป็นนักศึกษาใหม่ อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสูงสุดห้าคน จะให้สู้ยังไง? หากแพ้เซี่ยงไฮ้คงไม่มีหน้าไปเจอคนอื่นจริงๆ แล้ว แม้ว่าหนานเจียงจะเป็นฝ่ายส่งสาสน์ท้ารบ แต่พวกเราเป็นแค่นักศึกษาปีหนึ่ง ปฏิเสธแล้วเรื่องแพร่งพรายออกไป คงไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ พวกเราเอาชนะการแข่งขันแลกเปลี่ยน นั่นพิสูจน์ความสามารถของพวกเราแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเปลืองแรงกับเรื่องแบบนี้ ผลออกมาชนะก็เป็นเรื่องที่สมควร เซี่ยงไฮ้แข็งแกร่งที่สุดอยู่แล้ว แต่ถ้าแพ้จะได้ไม่คุ้มเสีย ถึงหนานเจียงจะเป็นฝ่ายท้าทายก่อนมาตลอดก็ตาม…”
พวกฟู่ชางติ่งที่อยู่ด้านข้างทำหน้างุนงง เหตุการณ์มันเป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ?
เหมือนว่า…เหมือนว่าฟางผิงจะไม่ได้พูดเกินจริงเช่นกัน
“เฮ้อ นักศึกษาบางคนของหนานเจียงเกินไปจริงๆ แหละครับ เป็นแค่คนธรรมดา นึกไม่ถึงว่าจะมารังแกหยางเสี่ยวม่าน ทำหน้าดูหมิ่นดูแคลน…พูดตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะนึกถึงส่วนรวม ผมคงไม่ทนเหมือนกัน อาจารย์ถัง พวกเรามาแจ้งให้คุณทราบเท่านั้น หวังให้ผู้มีอำนาจของมหาวิทยาลัยช่วยกดเรื่องนี้เอาไว้ ตอนนี้บรรยากาศทางหนานเจียงไม่ค่อยดีนัก สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ยิ่งกระเพื่อมระลอกคลื่นเป็นวงกว้างอีก บอกว่านักศึกษาเซี่ยงไฮ้ไม่กล้ารับสาสน์ท้ารบ…”
“เหอะ!”
ถังเฟิงแค่นเสียงในลำคอ ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “สู้ไปเลย! เธออย่ามาไม้นี้ ต้องการอะไรพูดมาตรงๆ!”
“อาจารย์ถัง คุณเข้าใจผมผิดเกินไปแล้ว เรื่องนี้ผมไม่ได้พูดเองเออเองนะ คุณถามกับหยางเสี่ยวม่านและจ้าวเหล่ยเองได้…หยางเสี่ยวม่าน เธอถูกนักศึกษาธรรมดาของหนานเจียงดูถูกที่หน้าประตู เรื่องนี้ฉันโกหกหรือเปล่าล่ะ?”
ฟางผิงเปิดเป็นลำโพง ก่อนจะถลึงตาใส่หยางเสี่ยวม่าน
หยางเสี่ยวม่านเอ่ยด้วยใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “มีเรื่องแบบนี้จริงๆ ค่ะอาจารย์”
“จ้าวเหล่ย หวังจินหยางเอ่ยถึงเรื่องที่กวาดล้างเซี่ยงไฮ้ก่อนหน้านี้ซ้ำไปซ้ำมา บอกว่าพวกเราควรจะซาบซึ้งใจในตัวเขา เรื่องนี้นายอยู่ในเหตุการณ์เหมือนกัน จริงหรือไม่จริงล่ะ?”
จ้าวเหล่ยมุมปากกระตุก จนใจอยู่บ้าง เอ่ยอย่างลำบากใจว่า “จริงครับอาจารย์”
ถังเฟิงที่อยู่ปลายสายเงียบไป ฟางผิงจึงเอ่ยว่า “อาจารย์ถัง ผมคนเดียวอาจจะพูดจาเกินจริงไปบ้าง แต่ลูกศิษย์สองคนของคุณ จะร่วมมือกับผมหลอกคุณด้วยหรือยังไง?”
เวลานี้ถังเฟิงเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็นไม่น้อย “เธอโทรหาฉันมีจุดประสงค์อะไร?”
“มหาวิทยาลัยหนานเจียงจัดสังเวียนที่สมาคมผู้ฝึกยุทธ์แล้ว คืนนี้อธิการบดีหนานเจียง ผู้ว่าหนานเจียง ปรมาจารย์สองท่านจะมาชมการประลอง นักศึกษาห้าพันคนจากหนานเจียงอาจจะเข้ามาในสนามด้วย! จะสู้จะถอย หรือเซี่ยงไฮ้จะส่งนักศึกษาคนอื่นลงสนาม ทั้งหมดยกให้มหาวิทยาลัยตัดสินใจ! ถ้าต้องการให้พวกเราลงสนาม แม้พวกเราจะมีพลังน้อยนิด ก็จะสู้ตายอย่างถึงที่สุด ไม่อาจปล่อยให้หน้าตาของเซี่ยงไฮ้อับอายเพราะน้ำมือของพวกเราได้! อย่างมากก็สู้จนตัวตาย ไม่ตายไม่ถอย!”
ประโยคสุดท้ายของฟางผิง พูดได้ฮึกเหิมอย่างยิ่ง
ถังเฟิงกลับรู้นิสัยของเขาดี แทบจะกัดฟันว่า “ว่ามา เธอต้องการยาบำรุงเท่าไหร่ถึงจะรับประกันว่าเอาชนะได้!”
“ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสองห้าสิบเม็ด…”
“…”
ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสองห้าสิบเม็ด ยึดตามราคาตลาดก็สามสิบห้าล้านแล้ว
ฟางผิงรู้สึกว่าราคานี้ไม่ถือว่าสูงด้วยซ้ำ
ปรากฏว่าสองวินาทีต่อมา ถังเฟิงกลับตะเบ็งเสียงอย่างโมโห “เธอคิดว่าฉันปัญญาอ่อนหรือไง! พวกเธอไปหาเรื่องข้างนอกเอง อยากให้มหาวิทยาลัยรับผิดชอบให้ทั้งหมด วางแผนได้ดีไม่น้อย! ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งยี่สิบเม็ด ขั้นสองอีกห้าเม็ด แค่นี้แหละ ไม่งั้นฉันจะให้มหาวิทยาลัยจัดทีมไปหนานเจียงเอง!”
ฟางผิงขยี้หูเล็กน้อย พึมพำว่า “อาจารย์ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้คนอื่น ต่อหน้านักศึกษาตะโกนคำหยาบแบบนี้ไม่ดีเท่าไหร่นะครับ? ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของพวกเราแค่คนเดียว หรือคุณจะบอกว่าไม่เกี่ยวกับเกียรติยศศักดิ์ศรีของมหาวิทยาลัย? พวกเราประลองไปลวกๆ แพ้ชนะไม่เป็นไร คนที่เสียหน้าอย่างแท้จริงไม่ใช่พวกเราสักหน่อย พวกเราเป็นนักศึกษาใหม่ที่เข้าเรียนไม่ถึงปีด้วยซ้ำ…”
“อย่ามาพูดเหลวไหล เอาแบบนี้แหละ การต่อสู้ครั้งนี้ต้องชนะ! ฉันจะไปแจ้งคณบดีให้เข้าไปช่วงบ่ายนี้ ป้องกันไม่ให้หนานเจียงเล่นตุกติกอะไร!”
ถังเฟิงตัดสายโทรศัพท์ตรงๆ ไม่เปิดโอกาสให้ฟางผิงพูดไร้สาระอีก
ส่วนเรื่องที่ให้คณบดีเข้าไป ไม่ใช่เพื่อป้องกันปรมาจารย์สองคนนั้น แต่เป็นหลักประกันให้กับอัจฉริยะปีหนึ่งพวกนี้ต่างหาก
ใครจะรู้ว่าหนานเจียงวางแผนอะไร หากถือโอกาสทำร้ายนักศึกษาพวกนี้ของเซี่ยงไฮ้ อัจฉริยะรุ่น 2008 ของเซี่ยงไฮ้คงจบแค่นี้แล้ว
วางสายแล้ว ฟางผิงก็พูดแขวะว่า “มหาวิทยาลัยขี้เหนียวจริงๆ ไม่สิ ราชสีห์ถังต่างหาก! ให้แค่ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งยี่สิบเม็ด ขั้นสองห้าเม็ด ไม่ถึงสิบล้านด้วยซ้ำ! พวกเราสู้อย่างเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อเกียรติยศของมหาวิทยาลัย กลับให้ของเล็กน้อยพวกนี้ ยังคาดหวังให้พวกเราชนะอีก?”
คนอื่นๆ ต่างตกตะลึงไปหมดแล้ว
จ้าวเหล่ยพึมพำว่า “ทำแบบนี้ได้ด้วย?”
เขานึกไม่ถึงว่าสามารถหลอกเอาเงินก้อนโตจากมหาวิทยาลัยได้ด้วย
ฟางผิงยิ่งแล้วใหญ่ เอาแต่พูดกลับกลอกไปมา ถังเฟิงยังรับปากให้ยาบำรุงจริงๆ แม้จะไม่ได้ให้เยอะเหมือนที่ฟางผิงเสนอ แต่นี่ก็ให้ไม่น้อยแล้วเถอะ!
มูลค่าเกือบสิบล้าน แม้จะเฉลี่ยกันแล้ว คนเดียวก็ยังได้ส่วนแบ่งไม่น้อยแล้ว แทบเทียบได้กับรับภารกิจขั้นสองสูงสุด ถึงกระทั่งยังมากกว่านั้นอีก หากเจอขั้นสองที่จนๆ ต้องทำหลายภารกิจถึงจะได้เงินเยอะขนาดนี้
นี่นับเป็นเรื่องอะไรกัน?
พวกเขาเป็นฝ่ายรับการประลองเอง ยังไงก็ต้องไป แต่พอเรื่องราวออกจากปากของฟางผิง เหมือนจะกลายเป็นคนละเรื่องอย่างสิ้นเชิง
ฟางผิงไม่สนใจเขา ยังคงก่นด่าขมุบขมิบ “ราชสีห์ถังไม่ถูกชะตาฉัน ฉันรู้ตั้งนานแล้ว หนานเจียงจนขนาดนั้น เหล่าหวังยังให้สิ่งตอบแทนเป็นยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสองตั้งคนหนึ่งต่อสามเม็ด ยาบำรุงขั้นสองสิบห้าเม็ด ศัตรูยังสนับสนุนพวกเรามากกว่ามหาวิทยาลัยซะอีก! พวกนายว่าเรื่องแบบนี้เหมาะสมหรือไง? ครั้งหน้าถ้าราชสีห์ถังยังทำแบบนี้อีก พวกเราเป็นฝ่ายไปท้าประลองผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งของปักกิ่งก่อน จากนั้นเป็นฝ่ายเอ่ยปากยอมแพ้ ดูสิว่าเซี่ยงไฮ้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”
“นายพอได้แล้ว!”
หยางเสี่ยวม่านกลอกตาใส่ เอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “ถ้านายไม่กลัวปรมาจารย์และผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางไล่ล่าก็ไปทำเลย อย่ามาดึงพวกเราไปเกี่ยว”
ฟู่ชางติ่งเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ตอนนี้ฉันเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาแล้วว่านายหาเงินเร็วขนาดนี้ได้ยังไง”
เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องง่ายๆ พอแจ้งกับมหาวิทยาลัย ปรากฏว่าทุกคนกลับได้รับรางวัลกลับมาไม่น้อย
——————