ตอนที่ 228 คำแนะนำของอาจารย์ (1)
บ้านพักหมายเลขแปด
ตอนที่ฟางผิงมาถึง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าในบ้านพักแน่นขนัดไปอยู่บ้าง
มีคนไม่น้อย นอกจากจ้าวเสวี่ยเหมยและเฉินอวิ๋นซีแล้วยังมีผู้ชายอีกสามคน ผู้หญิงหนึ่งคน เป็นเด็กวัยรุ่นเหมือนกันทั้งหมด ฟางผิงไม่คุ้นหน้าเท่าไหร่
หลู่เฟิ่งโหรวนั่งพิงโซฟา ดูเหมือนกำลังงีบหลับอยู่
ฟางผิงก้าวผ่านประตูมา หลู่เฟิ่งโหรวก็เอ่ยขึ้นทั้งที่หลับตา “มาแล้วเหรอ”
“ครับ”
“ทำความรู้จักกันไว้สิ”
สิ้นเสียงของหลู่เฟิ่งโหรว กลุ่มชายหญิงนั้นก็มองไปยังฟางผิงอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เย่ฉิง ปีสามสาขายุทโธปกรณ์ ขั้นสามตอนปลาย”
“เหลียงเฟิงหวา ปีสามสาขายุทโธปกรณ์ ขั้นสามสูงสุด”
“เหลียงหวาเป่า ปีสองสาขายุทโธปกรณ์ ขั้นสามตอนกลาง เหลียงเฟิงหวาคือพี่ชายของฉัน”
“หลิวเมิ่งเหยา ปีสองสาขาศึกษาวิจัย ขั้นสามตอนกลาง”
พวกเขาต่างแนะนำตัวเองออกมา
เย่ฉิงมีสีหน้าเย็นชา ผมตั้งตรง มองดูแล้วก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่คนรับมือง่ายๆ ในความทรงจำของฟางผิง คนที่มีทรงผมประเภทนี้มักจะให้ความรู้สึกกระด้างกระเดื่อง
สองพี่น้องตระกูลเหลียงดูห้าวหาญขึ้นมาหน่อย ทั้งสองคนต่างสอบเข้าเซี่ยงไฮ้ได้ คนหนึ่งอยู่ขั้นสามสูงสุด อีกคนอยู่ขั้นสามตอนกลาง ฝีมือไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
ส่วนหลิวเมิ่งเหยา ดูอ่อนโยนอยู่บ้าง บางทีอาจเป็นเพราะมาจากสาขาศึกษาวิจัย จึงไม่ได้ดุดันเหมือนกับผู้หญิงในสาขายุทโธปกรณ์
ฟางผิงรีบแนะนำตัว “ฟางผิง ปีหนึ่ง ขั้นสามตอนปลาย”
ทุกคนฟังจบต่างพากันมองเขาซ้ำไปซ้ำมา รวมถึงจ้าวเสวี่ยเหมยและเฉินอวิ๋นซีด้วย
นึกไม่ถึงว่าฟางผิงจะทะลวงขั้นสามตอนปลายแล้ว!
“รุ่นน้องเก่งจริงๆ…”
เหลียงเฟิงหวายังไม่ทันชมดี หลู่เฟิ่งโหรวกลับตัดบทขึ้นมาก่อน “รู้จักกันแล้วก็ดี พวกเธอต่างเป็นลูกศิษย์ที่ฉันรับไว้ในช่วงหลายปีนี้ รวมกับฟางผิง เสวี่ยเหมยและอวิ๋นซี ทั้งหมดมีสิบห้าคนพอดี”
เรื่องนี้ฟางผิงรู้เช่นกัน ก่อนหน้านี้หลู่เฟิ่งโหรวเคยบอกเขามาก่อน
แต่ในช่วงเวลาหนึ่งปี ฟางผิงแทบไม่เคยเจอรุ่นพี่พวกนี้ของตัวเองเลย
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยต่อ “สิบห้าคน ตายไปแล้วหกคน”
ฟางผิงม่านตาหดเกร็ง ตอนที่เข้าปีหนึ่ง หากเขาจำไม่ผิด เหมือนหลู่เฟิ่งโหรวจะพูดว่าตายไปสี่คน ขั้นสี่หนึ่งคน ขั้นสามสามคน
นี่เวลายังไม่ถึงปีกลับตายไปอีกสองคนแล้ว?
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “นอกจากนี้อีกสองคน ตอนนี้พิการไปแล้ว กลับไปดูแลรักษาตัวที่บ้าน ลูกศิษย์ของฉัน มีแค่พวกเธอเจ็ดคนนี้แหละ”
“อาจารย์…”
จู่ๆ หลิวเมิ่งเหยาก็ตาแดงก่ำ เอ่ยอย่างสะอึกสะอื้นอยู่บ้าง “รุ่นพี่จาง พวกเขา…”
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างอ่อนล้าอยู่บ้าง “บอกไปตั้งนานแล้ว ถ้าได้รับบาดเจ็บอย่าไปถ้ำใต้ดินอีก ไม่ฟัง ตอนนี้กระดูกเสียหายไปเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ต้องนั่งรถเข็น พอจะใช้ชีวิตที่บ้านอย่างสบายๆ ได้ วันนี้ให้พวกเธอมารวมตัวกัน เพราะอยากบอกพวกเธอว่าตายมามากพอแล้ว สี่ปีนี้ฉันรับลูกศิษย์สิบห้าคน เหลือไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ เทอมหน้าฉันจะไม่รับศิษย์เพิ่มอีกแล้ว อาจจะในอนาคตด้วยเช่นกัน”
เวลาสั้นๆ สี่ปี ลูกศิษย์ตายคนแล้วคนเล่า ในหมู่อาจารย์ทั้งหมด ลูกศิษย์ของเธอนั้นตายเยอะที่สุด
หลู่เฟิ่งโหรวถูขมับตัวเองเล็กน้อย มองไปทางเย่ฉิง “เธอและจางหลงซานออกไปทำภารกิจด้วยกัน คิดว่ามีเรื่องอะไรแปลกๆ หรือเปล่า?”
เย่ฉิงได้ยินจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย ผ่านไปสักพักค่อยส่ายหัวว่า “น่าจะไม่มีนะครับ พวกเราโชคร้ายไปหน่อย เจอกับทีมทหารสอดแนมเล็กๆ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ตอนกลางนำทีม รุ่นพี่เฉินตายในสนามรบ รุ่นพี่จางบาดเจ็บหนัก ผมและอีกสองคนต่างแยกกันไปคนละทิศคนละทาง สุดท้ายรุ่นพี่จางหนีรอดออกมาได้ กลับไม่สามารถฝึกวิชาต่อได้อีกแล้ว…”
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างอ่อนล้า “เป็นเพราะพวกเธอบุ่มบ่ามเกินไป หรือว่ามีใครเล่นสกปรกกับฉันกันแน่? ตายคนแล้วคนเล่า!”
ทุกคนต่างเงียบกริบ
หลู่เฟิ่งโหรวถอนหายใจ จู่ๆ ก็มองไปทางพวกฟางผิง “ครั้งนี้พวกเธอต้องเข้าถ้ำ การเข้าถ้ำครั้งแรกมีความเสี่ยงไม่น้อย ฟางผิง เธอหัวไว ตั้งสติให้ดี อย่าตายล่ะ อีกอย่างพยายามสำรวจมากๆ หน่อย ตกลงเป็นเพราะอุบัติเหตุหรือมีใครตั้งใจพุ่งเป้ามาที่ฉันกันแน่…”
ฟางผิงใจเต้นตุบตับ เอ่ยละล่ำละลัก “อาจารย์ ไม่หรอกมั้งครับ?”
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ใครจะรู้ หลายปีมานี้ฉันล่วงเกินคนไปเยอะแยะ ปีนั้นที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน ฉันทำเรื่องไปไม่น้อย ฉากหน้าทุกคนทำเป็นไม่สนใจ ใครจะรู้ว่าในใจคิดอะไร อีกอย่างมีบางคนกังวลเรื่องที่ฉันจะทะลวงเป็นปรมาจารย์ สร้างปัญหาใหญ่ให้มนุษยชาติ เป็นความผิดมหันต์! ทำให้ลูกศิษย์ฉันตาย บางทีอาจกระทบกระเทือนถึงฉันได้เหมือนกัน ไม่อาจทะลวงเป็นปรมาจารย์ ย่อมไม่อาจสร้างปัญหาให้กับมนุษยชาติได้อยู่แล้ว ใช้ชีวิตของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามพวกนี้แลกกับชีวิตในอนาคตของมวลมนุษยชาติ เธอว่าจริยธรรมนั้นสูงส่งพอหรือยัง?”
“ดังนั้นต้องตื่นตัวหน่อย ในที่แจ้งอาจไม่ทำร้ายพวกเธอ แต่ในที่ลับใครก็พูดได้ไม่เต็มปาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์นอกรีต เป็นคนในลัทธินอกรีตจริงๆ งั้นเหรอ โลกอื่นนั้นมีหรือเปล่า? ทำสงครามกับพวกถ้ำมาหลายปี แม้จะสื่อสารกันไม่ได้ แต่วิจัยหลายปีนี้โดยทั่วไปแล้วสามารถเดาความหมายที่ทุกคนต้องการแสดงออกไปได้ มีคนมาสอดแนมให้พวกถ้ำ มีความเป็นไปได้เช่นกัน ลูกศิษย์ของฉันต่างเป็นคนอัจฉริยะ อัจฉริยะตายไปหนึ่งคน แทบจะเทียบกับคนทั่วไปถึงสิบคน สรุปแล้วมีโอกาสเป็นไปได้ทั้งนั้น ตั้งสติให้ดี เจอเรื่องอะไรต้องครุ่นคิดซ้ำๆ เหลือเจ็ดคนแล้ว ยังต้องตายไปอีกกี่คน?”
หลู่เฟิ่งโหรวถอนหายใจ เอ่ยต่อว่า “จำไว้ให้ดี เข้าถ้ำใต้ดินไปแล้ว อย่าไว้ใจใครง่ายๆ! นั่นเป็นโลกที่ไม่มีกฎเกณฑ์ อย่างน้อยสำหรับมนุษย์อย่างพวกเราแล้ว นอกจากฐานทัพ สถานที่อื่นๆ ก็ไม่อาจควบคุมกฎเกณฑ์ได้อีกแล้ว มนุษยชาติมีศัตรูตัวฉกาจอย่างพวกถ้ำ ก็ต้านกับแรงปะทะภายในไม่ไหวแล้ว แต่จำกัดอยู่ในภาพรวมเท่านั้น ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นตายในถ้ำ ใครจะรู้ว่าตายเพราะอะไร? ฉันไม่ชอบใช้ความคิดในแง่ลบกับคนอื่น แต่ฉันจำเป็นต้องคิด หลายปีมานี้มีคนตายไปมากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะคนของฉัน นับวันก็ตายมากขึ้นเรื่อยๆ”
พวกฟางผิงต่างจมดิ่งในความเงียบ
“แค่อยากเตือนพวกเธอ อย่าเป็นคนตายอีกเลย เฟิงหวาช่วงนี้อย่าลงถ้ำ เตรียมทะลวงขั้นสี่เถอะ เรียนจบแล้วไปรับตำแหน่งขององค์กร อย่าไปหน่วยทหาร หวาเป่า เมิ่งเหยาทั้งสองเตรียมทะลวงขั้นสามตอนปลาย เย่ฉิงพยายามเข้าสู่ขั้นสามสูงสุดให้เร็วที่สุด ช่วงนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดี อย่าเพิ่งลงถ้ำ ส่วนฟางผิงพวกเธอสามคนไม่เคยลงถ้ำมาก่อน ยังคงจำเป็นต้องไป แต่ว่า…จำประโยคนี้ไว้ให้ดี มีชีวิตถึงจะมีอนาคต!”
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างครุ่นคิด “ในมหาวิทยาลัย อาจารย์คนอื่นๆ อาจบอกพวกเธอว่าต้องกล้าต่อสู้ อย่ากลัวสงคราม อย่าหนีสงคราม! ไปถ้ำใต้ดินแล้ว หน่วยทหารจะบอกพวกเธอว่ายอมรบจนตัวตาย ดีว่าต้องคุกเข่ามีชีวิตอยู่ แต่ว่าจำที่ฉันพูดไว้ให้ดี เอาชีวิตไปทิ้งเป็นเรื่องของคนโง่ รู้ว่าสู้ไม่ได้ อย่าได้เอาความฮึกเหิมไปต่อสู้เด็ดขาด ฟางผิงฉันไม่กังวล เสวี่ยเหมยพวกเธอสองคนจำไว้ให้ดี หลังจากเข้าถ้ำแล้วต้องทำตามฟางผิง อย่าเชื่อคำพูดฉันที่ว่าสู้ไม่ถอยอะไรนั่น! ตอนที่ฟางผิงวิ่งหนี พวกเธอต้องวิ่งหนีให้เร็วกว่าเขา…”
ฟางผิงฟังจบก็เผยสีหน้าหมดคำพูด เหล่าหลู่นี่กำลังชมฉันหรือหลอกด่าฉันกันแน่?
ฉันไปวิ่งหนีตอนไหน?
ตอนแรกฉันก็สู้กับขั้นสามสูงสุดทั้งที่ตัวเองอยู่ตอนปลาย ความกล้าหาญนั้นพอออกจากปากเธอทำไมถึงกลายเป็นฉันวิ่งหนีไปได้?
จ้าวเสวี่ยเหมยและเฉินอวิ๋นซีมองหน้ากัน หลู่เฟิ่งโหรวไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว มองไปทางฟางผิง “คนอื่นฉันไม่สนใจ คนต่างมีความเห็นแก่ตัว ตายไปไม่เป็นไร แต่ศิษย์ร่วมอาจารย์ของตัวเอง ต้องพากลับมาด้วยกันทั้งหมด! หากกระทั่งศิษย์ร่วมอาจารย์ยังทอดทิ้งได้ งั้นก็ไม่ใช่ความฉลาดหลักแหลม แต่แค่ขายผ้าเอาหน้ารอดเท่านั้น! อย่าลืมคำพูดของฉัน แน่นอนว่าหากเจอกับวิกฤตที่ต้องตายจริงๆ หนีรอดให้ได้มากเท่าไหร่ก็เท่านั้น ทำเรื่องตามสถานการณ์เถอะ”
ฟางผิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น “อาจารย์ ผมยังไม่ถึงขั้นนั้น”
หลู่เฟิ่งโหรวถูขมับอีกครั้ง ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “คนอื่นๆ กลับไปก่อน พยายามฝึกวิชากันล่ะ ฟางผิงอย่าเพิ่งไป”
คนอื่นๆ ไม่คิดชักช้า บอกลากันแล้วต่างก็แยกย้ายกันไป
—
พวกเขาไปแล้ว หลู่เฟิ่งโหลวที่นั่งบนโซฟาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “กำหนดการเข้าถ้ำครั้งนี้ออกมาแล้ว วันที่ยี่สิบมิถุนายน เข้าถ้ำอย่างเป็นทางการ ถังเฟิงเป็นคนนำทีม!”
ฟางผิงเอ่ยขึ้นทันที “อาจารย์ อาจารย์ถังคงไม่ใช่ศัตรูเก่าของคุณหรอกนะครับ?”
—————