ตอนที่ 265 สู้แล้วจะรู้เอง (1)
ตอนที่ฟางผิงเดินตามชายหนวดเลขแปดเข้าไปลึกในหมู่บ้าน
นักเรียนของโรงฝึกพวกนั้นก็ตามอยู่ด้านหลัง คุยซุบซิบเรื่องฟางผิงอยู่เช่นกัน
“เขาเพิ่งบอกว่าเขาคือฟางผิงจากเซี่ยงไฮ้ ฟางผิงผู้ที่อยู่ในอันดับสามของขั้นสามคนนั้น?”
“เป็นเขานั่นแหละ ฉันเคยดูวิดีโอการแข่งขันแลกเปลี่ยนมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้มาก่อน”
“ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามแล้วเหรอเนี่ย เฮ้อ ไม่แปลกใจที่คนพวกนี้เข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ พวกเราสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนั้นไม่ได้ก็สมควรแล้ว ขนาดเป็นผู้ฝึกยุทธ์เฉยๆ ยังยากเลย”
“ฉันได้ยินว่าหมู่บ้านฉางหยางมียอดฝีมือไม่น้อย แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เห็นการต่อสู้ของพวกเขา พวกนายว่าจะชนะได้หรือเปล่า?”
“ไม่รู้สิ อีกอย่างการจัดอันดับในขั้นสามมีคนของหมู่บ้านฉางหยางหรือเปล่า? ฉันไม่ได้สนใจเลย”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ว่านั่นมันการจัดอันดับของมหาวิทยาลัย…หมู่บ้านฉางหยางไม่ใช่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ฉันไม่เข้าใจสถานการณ์ของผู้ฝึกยุทธ์เท่าไหร่ ยังไงพวกเราก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์”
“ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ความรู้คับแคบ รอพวกเรากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้วน่าจะเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง”
“…”
คำพูดนี้ฟางผิงได้ยิน แต่ไม่ได้พูดอะไร
เขาพูดได้แค่ว่าคนพวกนี้คิดเพ้อฝันเกินไป ผู้ฝึกยุทธ์ของคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้แทบจะหยุดในขั้นหนึ่งขั้นสองเท่านั้น ทั้งยังเป็นได้แค่ผู้ฝึกยุทธ์ปราณ
แม้ตอนนี้ทุกท้องที่ต้องการให้ผู้ฝึกยุทธ์เรียนรู้เคล็ดวิชาต่อสู้ มีการทดสอบทุกปี แต่ถึงคนพวกนี้จะได้ฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้ ก็ไม่อาจรู้เรื่องราวของถ้ำใต้ดิน เว้นเสียแต่จะถึงสถานการณ์คับขัน ต้องการให้พวกเขาเข้าร่วมด้วย
ไม่งั้นเรื่องในแวดวงของผู้ฝึกยุทธ์คงไม่อาจเกี่ยวอะไรกับพวกเขา
—
หลังจากเดินเข้ามาในส่วนลึก เสียงจ้อกแจ้กจอแจด้านนอกก็คล้ายถูกปิดกั้นทันที
ก้าวผ่านเข้ามาในกำแพง สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือลานกว้างขนาดใหญ่
ในลานกว้างตอนนี้มีหลายคนกำลังฝึกมวยอยู่
ชายชราผอมแห้งคนหนึ่งกำลังฝึกมวยให้พวกเด็กๆ อายุสิบห้าสิบหกปี
เด็กพวกนั้นชกหมัดฝ่าสายลมออกไปด้วยพลังเต็มเปี่ยม
แต่ฟางผิงเหลือบมองดูแล้ว ปราณไม่ได้แข็งแกร่งมาก แค่สูงกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าขาดแคลนยาบำรุงหรืออยากให้ปูพื้นฐานก่อนแล้วค่อยมาเสริมสร้างความแข็งแกร่งภายหลัง
ก่อนอายุสิบแปด ปูพื้นฐานให้เรียบร้อย ฝึกจวงกงเคล็ดวิชาต่างๆ พวกนี้จนถึงขั้นหนึ่งแล้ว แม้ว่าปราณจะไม่สูงมากมาย แต่การพัฒนาภายหลังย่อมไม่ช้าเช่นกัน แต่จะเร็วขึ้นอย่างมาก
หลายคนตอนที่เข้าสู่มหาวิทยาลัยฝีมือไม่ได้สูงมาก ส่วนใหญ่จะมีปราณประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบแคล
แต่ในเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี ก้าวสู่ขั้นสามขั้นสี่ก็มีถมเถไป
ในทางตรงข้ามก่อนอายุสิบแปด สิ้นเปลืองทรัพยากรไปมากมาย กลับพัฒนาไปอย่างช้าๆ
ฟางหยวนไม่ได้ก้าวหน้าไว อันที่จริงฟางหยวนใช้ยาบำรุงไปไม่น้อยเช่นกัน นี่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กระดูกของเธอยังไม่เติบโตเต็มที่ ทั้งปราณไม่ได้แตะถึงจุดสูงสุดด้วยเช่นกัน
ดังนั้นการฝึกวิชาในครอบครัวผู้ฝึกยุทธ์รุ่นสอง บางคนฐานะทางบ้านดี ก็จะเริ่มฝึกวิชาเร็วหน่อย ไม่สนใจการสิ้นเปลืองของทรัพยากร
แต่ถ้าฐานะทางบ้านขาดแคลน งั้นก็รอหลังจากสิบแปดปีหรือหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แล้วค่อยฝึกวิชา
แต่พื้นฐานของคนพวกนี้จะค่อนข้างมั่นคง ก้าวหน้าได้ไวอย่างยิ่ง
ชายหนวดเลขแปดพาคนเข้ามา ชายชราผอมแห้งที่กำลังสอนวิชามวยจึงหันมามองแวบหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย
ชายหนวดเลขแปดอยู่ห่างออกไปช่วงหนึ่ง เอ่ยเสียงดังว่า “อาสาม มีคนอยากท้าประลองเจิ้นหวา!”
ชายชราผอมแห้งแค่นเสียงในลำคอ แววตาสว่างวาบขึ้นมาอย่างน่าตกใจ กวาดสายตามองฟางผิง “มีเวลาประลองที่ไหนกัน ออกไป!”
“อาสาม!”
ชายหนวดเลขแปดตะโกน ก่อนจะวิ่งเข้าไปกระซิบใกล้ๆ ไม่กี่ประโยค
ฟางผิงรับรู้ได้ว่าชายชราจ้องดาบยาวของเขาอยู่พักหนึ่ง ชั่วขณะนั้นก็เผยสีหน้าไร้คำจะเอ่ย
ดูท่าหมู่บ้านฉางหยางคงไม่ได้มั่งคั่งเท่าไหร่!
ชายชราคนนั้นอย่างน้อยก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์สูงกว่าขั้นห้าขึ้นไป แต่ตอนที่มองดาบกวนอูของตัวเอง แววตากลับเผยความรู้สึกอยากแย่ง นี่จะปล้นเขาหรือไง?
อาวุธโลหะผสมระดับ B อันที่จริงส่วนมากจะเป็นอาวุธของยอดฝีมือขั้นหก ขั้นห้าก็ใช้กันไม่เยอะ
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ มากสุดจะใช้โลหะผสมระดับ C หากจนหน่อยก็ใช้อาวุธระดับ D มีให้เห็นมากมาย
ฟางผิงที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามกลับใช้อาวุธโลหะผสมระดับ B ความจริงแล้วสิ้นเปลืองไม่ใช่เล่น
ชายชราน่าจะรู้ว่าชายหนวดเลขแปดและฟางผิงทำข้อตกลงกันแล้ว ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มออกมาทันที ตะโกนว่า “ไปเรียกเจิ้นหวามา!”
ในลานกว้างมีเด็กหนุ่มหลายคนฝึกมวยอยู่ พวกเขามองฟางผิงด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะมีคนวิ่งเข้าไปในส่วนลึกของหมู่บ้าน
—
ฟางผิงกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้ มองสอดส่องไปรอบๆ
ลานกว้างน่าจะเป็นลานฝึกยุทธ์
ผู้ฝึกยุทธ์ของหมู่บ้านฉางหยางแทบจะมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกันหมด บอกว่าเป็นสำนัก พูดได้อีกอย่างว่าเป็นการสืบทอดวิชาของตระกูลได้เช่นกัน
ส่วนการแต่งกายนั้นไม่แตกต่างจากโลกภายนอก ไม่ได้สวมชุดคลุมยาวเหมือนที่จินตนาการไว้
แต่หมู่บ้านฉางหยางน่าจะยากจนจริงๆ แท่นวางอาวุธในลานกว้าง ส่วนมากเป็นอาวุธจากวัสดุไม้ มีบางส่วนที่เป็นเหล็ก ผิวมันวาว น่าจะเป็นเหล็กทั่วไป อาวุธโลหะผสมมีความมันวาวที่แตกต่างออกไปเช่นกัน
หลังจากที่เด็กหนุ่มพวกนั้นเข้าไปในเขตที่พักด้านหลัง ไม่นานฟางผิงก็เห็นคนวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
“ใครมาท้าประลองเจิ้นหวา? ใจกล้าไม่น้อย!”
“รนหาที่ตายสินะ เจิ้นหวาจะเข้าสู่ขั้นสี่แล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของเจิ้นหวา!”
“…”
ชายหญิงวัยกลางคนกลุ่มหนึ่ง บ้างก็เร็วบ้างก็ช้า เดินออกมาจากส่วนลึกในหมู่บ้าน
คนทั่วไปไม่ได้มีเยอะมาก ผู้ฝึกยุทธ์กลับไม่น้อย ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ฟางผิงมองสำรวจพักหนึ่ง หมู่บ้านฉางหยางมีชื่อเสียงในโลกสำนักสืบทอดมาจนวันนี้ได้ ต้องมีฝีมือบ้างอยู่แล้ว
จากที่ฟางผิงมองเห็น ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางก็ไม่ต่ำกว่าห้าคนแล้ว!
อย่าลืมว่านี่เป็นแค่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง แม้หมู่บ้านจะไม่ได้เล็ก มองดูจากสิ่งก่อสร้างด้านหลัง อย่างน้อยคงมีกว่าร้อยหลังครัวเรือน
แม้หนึ่งบ้านจะอยู่กันห้าคน นั่นก็เป็นจำนวนห้าร้อยเท่านั้น
ประชากรน้อยแค่นี้ แม้จะไม่มียอดฝีมือออกมา แต่หนึ่งในร้อยเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลาง ก็เพียงพอให้ตะลึงได้แล้ว!
เมืองที่ใหญ่อย่างหยางเฉิง ประชากรไม่กี่แสน ระดับกลางมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น เว้นแต่พวกหวังจินหยางที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้
หมู่บ้านฉางหยางเล็กๆ กลับมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางหลายคน ต่ำกว่าขั้นสามก็มีให้เห็นไม่น้อย สัดส่วนแบบนี้น่าตกใจจริงๆ
“พวกเขาเอาทรัพยากรจากไหนมาบ่มเพาะผู้ฝึกยุทธ์เยอะขนาดนี้กัน?”
“หรือว่าสำนักจะมีความลับอื่นที่ไม่เหมือนใคร?”
“แต่หากผลิตผู้ฝึกยุทธ์ขึ้นมาจำนวนมากจริงๆ รัฐบาลคงจะลงมือนานแล้ว”
แต่ฟางผิงก็เริ่มเห็นบางสิ่ง ในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์…มีคนที่พิกลพิการไม่น้อยเหมือนกัน
“เข้าถ้ำใต้ดินเพื่อหาทรัพยากร?”
ฟางผิงทำการคาดเดาออกมา ถ้ำใต้ดินอันตรายอย่างมาก เห็นแบบนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ของสำนักอาจจะพยายามช่วงชิงทรัพยากรยิ่งกว่านักศึกษาศิลปะการต่อสู้ เอาจริงเอาจังกับการต่อสู้ในสถานการณ์จริงมากกว่าพวกเขาซะอีก
ทางมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งขั้นสองแทบจะไม่เข้าร่วมการต่อสู้จริงๆ ขั้นสองกลับมีอยู่บ้าง แต่ขั้นหนึ่งมีน้อยอย่างยิ่ง
ทั้งมหาวิทยาลัยยังมอบเงินอุดหนุนจุนเจือให้ไม่ขาดสายเช่นกัน สำนักกลับไม่มีสิทธิประโยชน์แบบนี้
“ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า เพื่อทรัพยากรแล้วพวกเขาสามารถจ่ายค่าตอนแทนออกไปได้มหาศาล ครั้งนี้ต้องระวังแล้ว”
ดาบยาวระดับ B ของตัวเอง ตอนนี้คงล่อลวงใจพวกเขาอย่างมาก อีกเดี๋ยวจางเจิ้นหวาลงสนาม อาจจะออกกระบวนท่าชั้นยอดด้วยเช่นกัน
ที่โรงเรียนเตรียมทหารอวิ๋นเมิ่ง นั่นเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กันจริงๆ
แต่ที่นี่อาจจะไม่ใช่แค่การแลกเปลี่ยนความรู้อีกแล้ว
“ขึ้นไปบนสังเวียน…นั่นเป็นเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตาย!”
ฟางผิงนึกถึงคำพูดของอาจารย์อีกครั้ง สูดลมหายใจลึก นี่…เขาเป็นคนเลือกเองเช่นกัน
แม้ว่าทุกคนจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์ ผู้ฝึกยุทธ์ที่ถูกจัดในอันดับก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์แนวหน้าของมนุษย์ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแบบนี้ไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ แต่ผู้แข็งแกร่งย่อมอยู่รอด ผู้อ่อนแอถูกคัดออก นี่เป็นเรื่องปกติของโลกผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน
ในตอนที่ฟางผิงนึกถึงเรื่องพวกนี้ ด้านในก็มีเด็กหนุ่มหลายคนเดินออกมา
หนึ่งในนั้น ตอนที่ฟางผิงเห็นถึงกับตกตะลึงอยู่บ้าง อีกฝ่ายพอเห็นฟางผิงก็อึ้งไปเช่นกัน ก่อนจะพยักหน้าว่า “ฟางผิง ที่แท้ก็นาย ฉันยังนึกว่าใครซะอีก”
“ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
ฟางผิงหลุดปากออกไป จางเจิ้นกวงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉันเป็นคนของหมู่บ้านฉางหยาง อยู่ที่นี่เป็นเรื่องแปลกหรือไง?”
ผู้ที่มาคือจางเจิ้นกวงจากปักกิ่ง ตอนการแข่งขันแลกเปลี่ยน ฟางผิงเคยเจอเขาหลายครั้ง
เคล็ดวิชาของจางเจิ้นกวงดูเหมือนอ่อนโยนพลิ้วไหว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องดุดันก็โหดเหี้ยมขึ้นมาอย่างยิ่ง
ในการแข่งขันแลกเปลี่ยน ขั้นหนึ่งต่อสู้กับขั้นสอง เอาชนะเฉินเจียเซิงได้ แน่นอนว่าเวลานั้นเฉินเจียเซิงสู้มาแล้วหนึ่งครั้ง
แต่จางเจิ้นกวงที่อยู่ขั้นหนึ่งแพ้ให้กับขั้นสองก็พิสูจน์ความสามารถของเขาแล้ว
ตอนนี้จางเจิ้นกวงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองแล้ว จากต้นปีผ่านมาถึงตอนนี้เป็นเวลาเกือบครั้งปี พวกจางเจิ้นกวงเข้าสู่ขั้นสองไม่ได้ถึงจะแปลกมากกว่า หานซวี่ยังเข้าสู่ขั้นสามแล้ว คนอื่นๆ ก็ใกล้แล้วเช่นกัน
“นายเป็นคนของหมู่บ้านฉางหยาง?”
ฟางผิงเอ่ยอย่างสงสัย “งั้นนายไปปักกิ่ง…”
ฟางผิงยังไม่ทันพูดจบ กลับไม่อาจพูดต่อได้แล้ว เทียบกับการที่ครอบครัวจัดสรรทรัพยากรให้ เข้าสู่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ปักกิ่งย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าอยู่แล้ว
ปัจจุบันนี้สำนักไม่ได้จำกัดอะไรอีกแล้ว
สมาชิกของพวกเขาเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัย หน่วยทหารหรือหน่วยสืบสวนได้เช่นกัน
สอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ก็ไปมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้
สอบเข้าไม่ได้ งั้นก็รั้งตัวอยู่ในสำนักหรือตระกูล นี่น่าจะเป็นสถานการณ์คร่าวๆ ของสำนักในปัจจุบัน
ปรับตัวให้ผสมกลมกลืนถือเป็นการพัฒนาอย่างหนึ่งเช่นกัน
——————