บทที่ 50 รูปปั้นหินในวิหารโบราณ (ปลาย)
บทที่ 50 รูปปั้นหินในวิหารโบราณ (ปลาย)
กุ่ยซู่โบกมือปลดปล่อยคลื่นลมแรง ทำให้พวกเขาที่เหลือถูกพัดลอยออกไปไกลจากวิหารโบราณหลายร้อยฉื่อ
เมื่อออกห่างจากวิหารโบราณแล้ว ดวงตาที่แดงก่ำของบริวารทั้งหมดก็ค่อย ๆ กลับเป็นปกติ รวมถึงจิตสังหารรุนแรงก่อนหน้าก็เลือนหายไปเช่นกัน
พวกเขาทั้งหมดทราบทันทีว่าตนเองเสียสติไป จึงนั่งลงเพื่อเข้าสู่สมาธิและตั้งมั่นจิตใจให้แน่วแน่
กุ่ยซู่มองบรรยากาศที่ยิ่งกดดันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทางวิหารโบราณ พร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
พลังมารคราวนี้รุนแรงมาก… มันแข็งแกร่งจริง ๆ!
เมื่อพลังมารเพิ่มขึ้น แม้แต่ตัวนางเองก็ยังตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์เช่นกัน
และนี่เพียงแค่ด้านนอกเท่านั้น พลังมารภายในวิหารโบราณย่อมเลวร้ายยิ่งกว่า!
หวังว่านายท่านจะปลอดภัย…
ขณะเดียวกัน ลู่หยวนนั่งไขว่ห้างอยู่ภายใน โดยมีเขาสีม่วงคู่หนึ่งงอกออกมาบนหน้าผาก นี่คือร่างมารที่ปรากฏขึ้น ในขณะที่หว่างคิ้วยังปรากฏลำแสงสีดำที่มาพร้อมกับกลิ่นอายอันพิสดาร
นับตั้งแต่ร่างมารของลู่หยวนปรากฏขึ้น โลหิตบนรูปปั้นหินก็พุ่งทะยานออกจากรูปปั้นและตรงดิ่งเข้าสู่ระหว่างคิ้วของชายหนุ่ม
เจตจำนงมารที่ทรงพลังฝังในใจกลางระหว่างคิ้วของลู่หยวนพร้อมด้วยแก่นโลหิตมาร ดูเหมือนว่าพลังมารที่ได้รับมาใหม่นี้จะกำลังต่อต้านพลังมารในกายของลู่หยวน
“เอาละ มันคือแก่นโลหิตมาร แต่ก็ยังมีความปฏิปักษ์กับร่างกายอย่างเห็นได้ชัด คิดจะยึดครองร่างข้าเป็นของตนเองงั้นหรือ!”
“หากข้าผู้นี้ไม่อาจยึดครองเจ้าได้ แล้วจะใฝ่ฝันถึงการยึดครองแผ่นดินหยวนหงได้อย่างไร!?”
“เป็นของข้าเดี๋ยวนี้!”
พลังมารในกายของลู่หยวนยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ กระแสวังวนพลังสีดำสนิทก่อตัวขึ้นด้านหลังของเขา มันดูราวกับปากของจอมมารที่กำลังแสยะยิ้ม ทันใดนั้นพลันเกิดลมกระโชกหมุนวนไปโดยรอบ ทุกสรรพสิ่งถูกพัดพาอยู่ในวังวน กระทั่งแก่นโลหิตมารก็ถูกพัดออกไปด้วยเช่นกัน ลมกระโชกนั้นทำลายทุกสรรพสิ่งและบดขยี้สิ่งกีดขวางทั้งหมดอย่างไร้ปรานี
เพียงไม่กี่อึดใจ แก่นโลหิตมารก็ถูกดูดเข้าไปในกระแสวังวน จนพลังมารถูกกักเก็บไว้โดยสมบูรณ์
[ระบบ : ตรวจพบแก่นโลหิตมาร ท่านต้องการบ่มเพาะมันหรือไม่?]
“บ่มเพาะ!”
พลังมารที่พุ่งทะยานรุนแรงก่อนหน้าถูกปิดกั้นในทันที และกลิ่นอายมารที่แผ่กระจายไปด้านนอกของวิหารโบราณก็สงบลง มันไม่ได้ขยายออกไปไกลกว่านั้น กระแสวังวนแห่งจอมมารก็สงบลงด้วยเช่นกัน ทุกสิ่งภายในวิหารโบราณขนาดใหญ่กลับสู่สภาพเดิมยกเว้นเพียงกำแพงสีม่วงเข้ม
ทุกอย่างดูเหมือนกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว กุ่ยซู่จึงตระหนักได้ว่าสถานการณ์ภายในสงบลง ในใจของนางผ่อนคลายก่อนจะนั่งลงไขว่ห้าง พลางนำวิชาลับออกมาศึกษาอย่างระมัดระวัง แต่หลังจากนั้นไม่นาน ร่างเล็กพลันเงยหน้าขึ้นมองบางสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในวิหารโบราณ
เผ่าภูตผีตนอื่น ๆ ก็นั่งลงทีละคนและเข้าสู่การบ่มเพาะ
ไป๋อู๋อีที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ยังคงวิ่งอย่างสุดกำลัง ก่อนนี้เขาไม่กล้าหยุดแม้อึดใจเดียว แต่ตอนนี้กล้าผ่อนคลายฝีเท้าลงบ้างแล้ว ก่อนจะหยุดลงเมื่อเห็นว่าลู่หยวนและคนอื่น ๆ ไม่ได้ติดตามมา
เขาอ้าปากเพื่อสูดอากาศก่อนจะลอบนึกคิดในใจ
อีกฝ่ายไม่คิดไล่ล่างั้นหรือ?!
เห็นชัดว่าด้วยฐานการบ่มเพาะของเขาแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลบหนีบุคคลเหล่านั้น แต่ตอนนี้กลับได้นั่งพักอย่างไม่คาดคิดมาก่อน
ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าลู่หยวนผู้นั้นจะปล่อยเขาไป!
ไป๋อู๋อียังคงวิ่งอยู่บนยอดเขาเมฆาม่วง เขาไม่ทราบว่าในชาติก่อน ตนเองอยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่ แต่นอกจากวิหารโบราณที่ไม่เคยไปมาก่อนแล้ว บุตรแห่งโชคชะตาคุ้นเคยกับทุกอย่าง ชนิดที่รู้จักพืชพรรณแมกไม้ทุกต้นเป็นอย่างดียิ่ง
เช่นเดียวกับตอนที่ปะทะกับลู่หยวน เขาพบว่าไป๋เจ๋อไม่ได้คุ้มกันวิหารโบราณตามในความทรงจำก่อนกลับชาติมาเกิด ดังนั้นมีความเป็นไปได้มากที่มันจะอยู่ในถ้ำของตัวเอง
ไป๋อู๋อีรู้สึกได้ราง ๆ ส่วนลู่หยวนผู้นั้นไม่ทราบว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่ ดังนั้นจึงไม่แม้แต่จะไล่ตามมา
ทว่า… ไม่ว่าลู่หยวนจะคิดอะไรอยู่ บุตรแห่งโชคชะตาในตอนนี้ก็ไม่ได้มีกำลังสนับสนุนที่แข็งแกร่งอีกแล้ว ตอนนี้ภารกิจที่เร่งด่วนที่สุดคือตามหาไป๋เจ๋อ เพื่อทำสัญญากับมัน
ด้วยพลังของสัตว์เทพ อย่าว่าแต่สามารถบดขยี้ลู่หยวนได้เลย มันยังเป็นหลักประกันในการเอาชีวิตรอดอีกด้วย
เท้าของไป๋อู๋อีพุ่งทะยานผ่านสายลม มุ่งหน้าไปยังสถานที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว
ครึ่งชั่วยามต่อมา ไป๋อู๋อีผ่านภูมิประเทศซับซ้อน เข้าสู่หุบเขาลึก
หุบเขาตามธรรมชาติมีโขดหินแปลกประหลาด ลมพัดผ่านหวีดหวิวจนเสียงรอบข้างราวกับเสียงโหยหวนของภูตผีชั่วร้าย
ไป๋อู๋อีเลี้ยวหนึ่งครั้ง ก่อนมาถึงทางเข้าถ้ำขนาดใหญ่
นี่คือทางเข้าถ้ำของไป๋เจ๋อ สัตว์เทพที่รับหน้าที่คุ้มกันวิหารโบราณไปพร้อมกับการบ่มเพาะตนเอง
เพราะพลังมารที่แผ่ซ่านอยู่ในวิหารโบราณ ทำให้ที่นั่นมีพลังวิญญาณเบาบางยิ่งนัก หากอยู่ในวิหารเป็นเวลานาน แม้แต่รากฐานการบ่มเพาะของสัตว์เทพก็จะลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ดังนั้น… ไป๋เจ๋อจึงต้องมายังถ้ำนี้เพื่อบ่มเพาะระยะเวลาหนึ่งในทุกปี ด้วยมีหญ้าวิญญาณที่เปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณของสวรรค์และโลก หากบ่มเพาะในบริเวณนี้ แม้จะใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะเป็นสองเท่า
ก่อนกลับชาติมาเกิด ประมุขไป๋ทิ้งมันไว้ที่นี่เป็นเวลานาน ทำให้ได้รับประโยชน์จากหญ้าวิญญาณ ส่งผลให้การบ่มเพาะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ไป๋อู๋อีมองทางเข้าถ้ำ ในใจรู้สึกยินดีเล็กน้อย หอคอยอสูรสวรรค์อะไรกัน เผ่าภูติผีอะไรกัน ต่อหน้าสัตว์เทพไป๋เจ๋อผู้นี้… ทุกสิ่งย่อมไร้ค่า!
เขายิ้มกว้าง ขณะก้าวเท้าออกไป มุ่งหน้าเข้าสู่ถ้ำที่โชคชะตารออยู่
อีกด้านหนึ่งเวลาเดียวกัน ลู่หยวนกำลังนั่งอยู่ในวิหารโบราณและบ่มเพาะแก่นโลหิตมารอย่างต่อเนื่อง
แก่นโลหิตมารที่เพิ่งหลอมรวมอยู่ในร่างของชายหนุ่มเหมือนกับพยัคฆ์ มันแยกเขี้ยวยิงฟัน และฉายแววตาดุร้าย ยามนี้พลังมารกำลังกัดกินตามร่างกาย ดั่งคำพยาบาทว่าจะกลืนกินบุตรศักดิ์สิทธิ์
ลู่หยวนหายใจแรงขึ้น แต่พลังมารที่เขาปลดปล่อยออกมาแข็งแกร่งกว่าแก่นโลหิตถึงสองเท่า! จนแก่นโลหิตมารต้องยอมจำนนในทันที มันอยู่ในจิตสำนึกของเจ้าของร่างแต่โดยดี เพื่อทำการบ่มเพาะ
ถึงแม้พลังมารในวิหารโบราณจะถูกสะกดเอาไว้ แต่ความรู้สึกอันหนักอึ้งก็ทำให้ภูตผีที่คุ้มกันด้านนอกเกิดความกังวลเล็กน้อย
“กุ่ยซู่ เทียนเม่ยเอ๋อร์กลายเป็นรูปลักษณ์ของนายท่าน อีกทั้งยังอยู่บนชานเมืองของยอดเขาเมฆาม่วง เจ้าส่งใครบางคนไปรับนางมาที”
“เจ้าสามารถระบุตำแหน่งนางได้ด้วยยันต์ในมือของเจ้า”
เสียงของลู่หยวนพลันดังขึ้นในหูของผู้นำเผ่าภูตผี อีกฝ่ายจึงเลิกทำการบ่มเพาะทันที และโค้งคำนับไปทางวิหารโบราณ “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”
กุ่ยซู่ลุกขึ้น หลังครุ่นคิดสักพักก็ส่งยันต์วิญญาณครึ่งหนึ่งไปให้กุ่ยเหยียน ความว่า “กุ่ยเหยียน นายท่านมีคำสั่งให้พาเทียนเม่ยเอ๋อร์กลับมา”
อีกฝ่ายรับยันต์วิญญาณ ยกมือขึ้นทำความเคารพ แววตาซับซ้อนถูกบดบังด้วยชุดคลุมสีดำ “น้อมรับคำสั่ง!”
ในชั่วพริบตา เขาออกจากที่นี่ไป
หลังจากลู่หยวนผู้อยู่ในวิหารสนทนาจบ พลันเกิดแสงสว่างสีดำวาบไหว ทำให้สัมผัสเทวะของเขามืดบอด เพราะตกอยู่ในสภาพการบ่มเพาะอย่างสมบูรณ์
เขาตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความฝัน ในห้วงนั้น เขาถือกระบี่ทมิฬอยู่ท่ามกลางโลกที่กำลังถูกทำลายล้าง ในที่ซึ่งดวงดาราร่วงหล่นและขุนเขาลำธารพังทลาย