บทที่ 150 โอสถมังกร (ปลาย)
บทที่ 150 โอสถมังกร (ปลาย)
ข่าวลือนี้กระจายไปทั่วทั้งแผ่นดินหลัก แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะยืนยัน
ถึงอย่างไรเผ่ามังกรก็สาบสูญไปนานแล้ว
แต่ถ้าหากเรื่องโอสถมังกรนี้แพร่งพรายออกไป ลู่หยวนกล้ารับปากเลยว่า สิ่งนี้มากพอจะแทนที่โอสถหนึ่งในสี่ของแดนมัชฌิมได้!
ยิ่งกว่านั้น เกรงว่าบรรพชนที่คลุกคลีอยู่ตามกองกำลังต่าง ๆ ในอดีตจะโผล่หัวออกมาทีละคน เพื่อต่อสู้แย่งชิงโอสถมังกรเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม… ลู่หยวนมองหินก้อนเล็กที่ดูธรรมดาตรงหน้า มันช่างดูไม่เหมือนโอสถมังกรแม้แต่นิดเดียว
ตาแก่นี่กำลังล้อเล่นใช่หรือไม่!
อวี๋ฉู่ย่อมมองเห็นความสงสัยของชายหนุ่ม จึงถามว่า “ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ? สิ่งนี้เป็นของเผ่ามังกร ดังนั้นเป็นธรรมดาที่พวกเราจะไม่สามารถปลุกมันขึ้นมาได้ มีเพียงเผ่ามังกรหรือใครบางคนที่ข้องเกี่ยวกับเผ่ามังกรเท่านั้นที่สามารถปลุกมันขึ้นมาได้!”
คำพูดไม่ได้เข้าหูของบุตรศักดิ์สิทธิ์แม้แต่น้อย เขาชำเลืองมองมันก่อนเอื้อมมือไปหยิบมา และเตรียมทำบางอย่าง
อวี๋ฉู่ย่อมไม่ห้ามปรามอะไร ลู่หยวนเพียงแค่รับมันไว้ในมือก็สัมผัสได้ถึงความเย็นในทันที
กลิ่นอายเย็นเยียบนี้ยังคงผันผวน ราวกับพลังที่กำลังกดทับลงมาเพื่อสนทนากับชายหนุ่ม
ในจิตเทวะ มังกรสีแดงคล้ายกับสัมผัสตัวตนของสิ่งนี้ได้เช่นกัน มันเริ่มเคลื่อนไหวไปมาทันที ราวกับต้องการทะลวงผ่านจิตเทวะของชายหนุ่มเพื่อออกมาสัมผัสพลังนี้!
ตอนนี้บุตรศักดิ์สิทธิ์มั่นใจแล้วว่าสิ่งนี้ข้องเกี่ยวกับเผ่ามังกรจริง หาไม่แล้วมังกรสีแดงตัวน้อยคงไม่เคลื่อนไหวรุนแรงเช่นนั้น
ถ้าเช่นนั้น สิ่งนี้ก็ต้องเป็นของเขา!
เบื้องหน้าอวี๋ฉู่ ลู่หยวนพลิกหลังมือ หินก้อนเล็กถูกเก็บเข้าไปในจิตเทวะของเขาทันที
พระพุทธองค์มองบุตรศักดิ์สิทธิ์เก็บของไปอย่างไม่ปิดบัง จึงเกิดความประหลาดใจขึ้นมา “เจ้าทำอะไรน่ะ?”
สายตาของชายหนุ่มอ่อนลง “ของชิ้นนี้ ข้าขอแล้วกัน”
น้ำเสียงของเขามั่นคงยิ่ง ราวกับว่าสมบัตินี้เป็นของไร้ค่า ไม่ต่างจากเครื่องมือเครื่องใช้ตามตลาดธรรมดา
อวี๋ฉู่ตัวแข็งทื่อทันที ภายในใจรู้สึกขุ่นเคือง “ของชิ้นนี้ชายชราจะมอบให้กับเซียวเทียน เจ้าจะเอามันไปทำอะไร?!”
“เจ้าหนู หรือว่าโดนตระกูลลู่ตามใจจนเคยตัว กล้าดีอย่างไรถึงมาเอาของของคนอื่น?!”
ยิ่งอวี๋ฉู่พูดก็ยิ่งเดือดดาล เขากำลังจะเอาของชิ้นนี้กลับมา
แต่ลู่หยวนกลับยิ้มออกมา เขาลืมตาขึ้น ก่อนสบสายตาเข้ากับอวี๋ฉู่
ชายหนุ่มสูดหายใจ ทันใดนั้น ทั่วพื้นที่พลันถูกปกคลุมด้วยพลังสัตว์เทพ มาพร้อมกับเสียงคำรามของมังกร จนหมู่มวลอากาศโดยรอบเริ่มหมุนเป็นพายุ
ร่างของอวี๋ฉู่แข็งทื่อ กลิ่นอายนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก ตอนอยู่ข้างเผ่ามังกรที่กำลังจะตาย เขาเองก็สัมผัสพลังมังกรอันเลือนรางเช่นนี้ได้
พลังมังกรในตอนนี้นับว่าไม่เท่าไหร่ เมื่อเทียบกับที่เขาเคยพบเมื่อหลายปีก่อน
อวี๋ฉู่ก้มมอง เห็นเพียงบุรุษในชุดสีแดงโลหิตห่มดำนั่งตัวตรงอยู่ข้างหน้า แต่ชุดคลุมบนร่างกายสงบนิ่งไม่ถูกสายลมพัดพา ทั่วร่างจมอยู่ในหมู่เมฆประดับพลังมังกรเลื่อนลอยอยู่ทั่วกาย ทำให้เขาดูยิ่งใหญ่นัก
“เจ้าเองก็มีมรดกเผ่ามังกรเหมือนกันงั้นหรือ?!”
เสียงของอวี๋ฉู่ต่ำ เห็นได้ชัดว่าในน้ำเสียงขาดความมั่นใจ
เขามีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับตระกูลลู่ ดังนั้นเป็นธรรมดาที่จะรู้เรื่องมรดกของตระกูลลู่ อีกทั้งยังเข้าใจอีกว่าชายหนุ่มผู้เป็นบุตรของลู่เทียนเหอกับอู่หมิงเสวี่ยได้รับอะไรมาบ้าง
ใช่แล้ว ด้วยภูมิหลังอันทรงพลังอย่างลู่หยวน ย่อมสามารถได้สิ่งที่เหนือกว่าผู้อื่น
ทั้งอาวุธระดับสูง โอสถระดับสูง ล้วนเกินกว่าที่ผู้อื่นจะไขว่คว้า แต่สำหรับชายหนุ่ม พวกมันไม่เกินกว่าที่จะเอื้อมถึง
ด้วยภูมิหลังตระกูลระดับนี้ ทรัพยากรคงมีแต่กระจุกอยู่ที่เขาเพียงคนเดียว
สำหรับตระกูลทรงพลัง หากมรดกทรงพลังชิ้นใหม่ถูกพบเข้า ย่อมถูกส่งให้กับบุตรศักดิ์สิทธิ์ในทันที เพราะเขาเป็นคุณชายแห่งตระกูลลู่ เป็นที่คาดหวังของทุกคนในตระกูล
ทว่ามรดกสัตว์เทพมีความพิเศษของมันอยู่
ทุกคนต่างทราบดีว่า ไข่ทุกฟองไม่อาจถูกวางไว้ในตะกร้าใบเดียวได้
หากมรดกตระกูลถูกมอบให้กับลู่หยวน แล้วเขาเกิดพลาดพลั้งขึ้นมาจนถึงแก่ความตาย เช่นนั้นความพยายามการบ่มเพาะมาหลายปีของตระกูลลู่ไม่เท่ากับสูญเปล่าหรอกหรือ?!
มรดกสัตว์เทพเช่นนี้ คือสิ่งที่สามารถพานพบแต่ไม่อาจแสวงหาได้ มันจึงแข็งแกร่งกว่ามรดกของปรมาจารย์กระบี่และนักพรตเต๋าเสียอีก!
อวี๋ฉู่เข้าใจดียิ่งว่า หากตระกูลลู่ได้รับมรดกสัตว์เทพนี้ไป บรรพชนของตระกูลลู่อาจจะฝืนเก็บสิ่งนี้เอาไว้เอง โดยไม่ส่งต่อให้กับผู้ใดเด็ดขาด
แต่ตอนนี้เบื้องหน้าของพระพุทธองค์ คือพลังมังกรที่แผ่ออกมาจากร่างของลู่หยวน เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้ได้รับมรดกของเผ่ามังกรมา!
แถมเด็กคนนี้ยังกลืนกินมรดกของเผ่ามังกรเข้าไปด้วย!
ต่อให้เป็นหนึ่งในกองกำลังมือดีที่สุดบนแผ่นดินหลัก หากได้รับวาสนามากขนาดนั้น พวกเขาย่อมไม่กล้าส่งมอบให้โดยง่าย แต่จะรีบรายงานเรื่องนี้กลับไป เพื่อให้บรรพชนตระกูลตัดสินใจ
หากปกปิดไม่รายงานแล้วเก็บงำไว้กับตัวจะต้องถูกตระกูลลงโทษอย่างแน่นอน!
ลู่หยวนคนนี้ ช่างอาจหาญยิ่งนัก!
“เรื่องที่เจ้าหนูมีสมบัติเช่นนี้ พวกตาเฒ่าอมตะของตระกูลลู่คงยังไม่รู้สินะ!”
คำพูดของอวี๋ฉู่แฝงด้วยการข่มขู่ หากเขาเปิดเผยเรื่องนี้ให้ตระกูลลู่ทราบ เจ้าเด็กคนนี้ไม่มีทางรอดจากการลงโทษอย่างแน่นอน!
เรื่องแบบนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของเขาคนเดียว ถึงตอนนั้น ลู่เทียนเหอและอู่หมิงเสวี่ยจะพลอยมีส่วนเกี่ยวข้องไปด้วย
เขายังคงจับจ้องลู่หยวน ยิ่งนานเข้ายิ่งรู้สึกว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่เพียงแค่หยิ่งทะนงเท่านั้น แต่ยังเห็นแก่ตัวมากอีกด้วย
ในฐานะสมาชิกของตระกูล ย่อมต้องคำนึงถึงตระกูลในทุกเรื่องโดยไม่คำนึงถึงแต่ตัวเอง ทว่าคุณชายลู่แห่งตำหนักธารสุญญะผู้นี้ต่างออกไป
ชายหนุ่มไม่ตื่นตระหนกแต่อย่างใด เขายังคงสงบนิ่งยิ่งนัก “บางส่วนไม่รู้ เพราะข้าไม่ได้พบพวกเขามานานแล้ว”
ลู่หยวนลืมตาขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้มออกมา “ถ้าท่านอยากพูดอะไรก็เชิญพูดมา ข้าไม่ห้ามท่านหรอก สวะในตระกูลลู่เหล่านั้น ควรค่ากับมรดกของเผ่ามังกรด้วยหรือ?”
“ต่อให้พวกเขาร่วมมือกัน ก็ไม่สามารถหยุดข้าได้หรอก!”
อวี๋ฉู่ยังจะพูดอะไรได้อีก เขาทำได้แค่ฟังบุตรศักดิ์สิทธิ์ต่อไป
“หากบรรพชนทราบว่า ท่านฝืนอ่านผังชะตาของคนที่กลืนกินมรดกเผ่ามังกรเข้าไป จะเกิดอะไรขึ้นกันนะ?”
สิ่งที่อวี๋ฉู่จะพูดเมื่อครู่ ถูกกลืนเข้าไปจนสิ้น
ลู่หยวนครอบครองมรดกของเผ่ามังกร โชคชะตาของเขามีค่ายิ่งนัก สำหรับตระกูลลู่แล้ว อนาคตของคุณชายผู้นี้สุดที่จะคาดเดานัก
หากวันนี้ตรวจพบภัยพิบัติในอนาคตของบุตรศักดิ์สิทธิ์ หลังจากเรื่องแพร่งพรายออกไป คนอื่นที่มองหาโอกาสนี้อยู่ก่อนแล้วจะพากันลอบสังหารชายหนุ่ม เช่นนั้นที่ตระกูลลู่บ่มเพาะบุคคลมีค่าเช่นนี้มา เท่ากับสูญเปล่าอย่างไม่ต้องสงสัย!
เรื่องเหล่านี้ จะถูกผลักภาระไปที่อวี๋ฉู่อย่างแน่นอน
“ช่างเถอะ”
พระพุทธองค์โบกมือ เขาไม่อยากสนทนากับชายตรงหน้าอีก “ในเมื่อเจ้าครอบครองมรดกเผ่ามังกร เช่นนั้นของสิ่งนี้ขอมอบให้เจ้าก็แล้วกัน”
สำหรับอวี๋ฉู่ ถึงลู่หยวนจะน่ารำคาญอยู่บ้าง แต่เขาก็นับว่าเป็นผู้น้อยคนหนึ่ง
เทียบกับเซียวเทียนแล้ว บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่นับว่ามีภาษีเหนือกว่า ประหนึ่งผู้เดินขึ้นสู่ที่สูง ขณะสายน้ำไหลลงที่ต่ำ
ชายหนุ่มเก็บของไปอย่างสบายใจ
อวี๋ฉู่นั่งบนเก้าอี้หินอ่อนขณะรินชาให้ตัวเองก่อนจะดื่มเข้าไป พลางสนทนากับลู่หยวนว่า “จะว่าไป เจ้าเข้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ปีนี้ใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นก็เข้าร่วมการแข่งขันภายในของปีหน้าได้น่ะสิ”
“ข้าจะเข้าร่วมในปีนี้นี่แหละ”
ลู่หยวนกล่าวว่า “จบจากตรงนี้ข้าจะกลับไป เพื่อมุ่งหน้าสู่ยอดเขาศิษย์แล้วจัดการกับเรื่องดังกล่าว”
อวี๋ฉู่มองชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ แต่เขาไม่ได้โน้มน้าวไม่ให้อีกฝ่ายเข้าร่วม