บทที่ 7 จี้อวี๋
บทที่ 7 จี้อวี๋
เฉินซีจมดิ่งอยู่ในห้วงภวังค์อันลึกซึ้ง
เมื่อเข้าสู่สภาวะลืมเลือนตัวตนและสภาพแวดล้อมภายนอก ภายในดวงตาของเขาจึงมีเพียงวิถีโคจรของดวงดาวนับล้านที่หมุนเวียนอย่างไม่สิ้นสุดสะท้อนอยู่
ความยาวและความหนาของวิถีโคจรเหล่านี้แตกต่างกันไป บ้างก็คดเคี้ยวซับซ้อน บ้างก็ตรงราวกับหอก หรือแม้แต่โค้งเว้าดั่งดวงจันทร์ ดูเหมือนขีดเขียนยันต์ด้วยลายเส้นต่าง ๆ
เฉินซีคล้ายกับเห็นมือขนาดยักษ์ที่ใช้ผืนท้องฟ้าเป็นดั่งกระดาษยันต์ ใช้ดารานับล้านดวงเป็นพู่กันจารึกยันต์ และใช้เคล็ดสร้างยันต์อันเหนือจินตนาการสรรค์สร้างยันต์อันพิสดารและลึกซึ้งซึ่งเขามิอาจเข้าใจ
เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความชื่นชม แต่ก็มิได้กล่าวอันใดและต้องการจดจำวิถีโคจรเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงสังเกตและเฝ้ามองอย่างตั้งใจซึ่งไม่นานนักภายในจิตใจของเขาก็สงบดั่งสายน้ำ ความคิดของเขาเริ่มกระจ่างชัดแจ้ง
โอม!
เสียงสวดแปลกหูเพิ่มระดับเสียงและค่อย ๆ ดังก้องกังวานไปทั่วท้องสวรรค์และปฐพี
เหล่าลำแสงเย็นยะเยือกจากดวงดาวนับล้านมาบรรจบกัน กลายเป็นม้วนภาพวาดที่เปล่งประกายด้วยแสงที่ชัดเจน พร้อมกับเสียงร่ายมนต์แปลก ๆ ม้วนภาพวาดปล่อยกระแสแสงที่ไม่มีที่สิ้นสุดปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าอย่างฉับพลัน ก่อนจะนำเหล่าดาราที่ลอยล่องเต็มท้องฟ้ากลับมารวมที่ม้วนภาพวาด!
ฟึ่บ!
ม้วนภาพวาดนั้นม้วนเก็บอย่างรวดเร็วก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสง และพุ่งไปยังทิศทางที่เฉินซียืนอยู่อย่างรวดเร็วจนตาเปล่าแทบมองไม่ทัน!
ความรู้สึกหวาดกลัวก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลันในใจของเฉินซี เขาสะดุ้งตื่นจากสภาวะหลงลืมตน ทว่า ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบโต้ ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าศีรษะของเขาสั่นสะท้าน ในเวลาต่อมารูปปั้นขนาดมหึมาของชายชราร่างผอมก็ปรากฏขึ้นภายในจิตสำนึกของเขา ชายชราเท้าเปล่าสวมชุดผ้าป่าน ผมสีขาวของเขาถูกปล่อยยาวอิสระมิได้มัดแต่ง และนั่งขัดสมาธิอยู่บนกลางอากาศ ขณะที่สายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันไกลโพ้น พลางจ้องมองเหล่าดวงดาราอย่างเข้าใจลึกซึ้ง
รูปปั้นชายชราขนาดมหึมานี้ดูเรียบง่ายและไม่ซับซ้อน แต่มีร่องรอยของกลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่และล้ำลึกทำให้จิตใจของเฉินซีถูกดึงดูดเข้าไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เกิดอะไรขึ้น ชายชราผู้นี้คือใคร?
เฉินซีจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าด้วยความตกใจก่อนที่จะหลับตาลงและครุ่นคิดในใจทันที ‘ข้านั้นกำลังสังเกตการโคจรของเหล่าดวงดาวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เหตุใดกลับมีการเเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในห้วงทะเลแห่งจิตสำนึกของข้าเช่นนี้?’
“ผ่านไปกี่ปีแล้ว? ในที่สุดก็มีศิษย์ผู้มีความสามารถพอที่จะสืบทอดมรดกของนายข้า! ฮ่า ๆ ๆ ๆ!”
น้ำเสียงที่ต่ำและแหบแห้งดังก้องกังวานอยู่ภายในหูของเฉินซี ร่างกายของเขาพลันสั่นสะท้าน และชายหนุ่มก็ไม่สามารถไตร่ตรองสิ่งอื่นใดได้อีก ก่อนที่ตัวเขาจะลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อชายหนุ่มเห็นทิวทัศน์รอบ ๆ ตัวเขาอย่างชัดเจน เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
ภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ปกคลุมไปด้วยดวงดาวได้มลายหายไป และถูกแทนที่ด้วยแม่น้ำสายใหญ่ที่เคลื่อนตัวพาดผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวอันละเอียดอ่อนที่ไร้ขอบเขต สายน้ำไหลเชี่ยวด้วยคลื่นที่ซัดสาดและน้ำกระเซ็นไปทั่วทุกทิศทุกทาง แม่น้ำทอดยาวไปข้างหน้าปลายสุดสายตา ในใจกลางของแม่น้ำขนาดใหญ่มีภูเขาลูกหนึ่งตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้า พื้นผิวภายนอกนั้นลึกลับและแห้งแล้ง
ทันใดนั้น สัตว์ประหลาดที่มีเขาเดียวก็เดินออกมาจากลำแม่น้ำใหญ่ มันมีร่างกายของสิงโตและศีรษะของมังกร กีบเท้าอันใหญ่ยักษ์แต่ละข้างมีขนาดเท่ากับเสาหินและยืนอยู่บนก้อนเมฆ ทั่วร่างของมันถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดหนาทึบที่เป็นสีดำสนิท ดวงตาของมันกระจ่างใสและให้ความรู้สึกที่หยั่งรู้อย่างลึกซึ้ง ในทุกสรรพสิ่งบนโลกา
กิ…กิเลน?*[1]
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเมื่อได้เห็นสัตว์ประหลาดตัวนี้ และรู้สึกได้ถึงรัศมีที่น่าสะพรึงกลัวที่ปล่อยออกมาจากร่างกายของมัน หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง
เขาเคยรับรู้ถึงคำอธิบายเกี่ยวกับกิเลนในตำราเท่านั้น ด้วย ‘กิเลน’ มักถูกกล่าวถึงว่าเป็นหนึ่งในสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงในยุคบรรพกาล ซึ่งมีความสามารถในการควบคุมธาตุทั้งห้าและมีสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ แม้แต่ในยุคบรรพกาลที่เหล่าเทพกับมารรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด ก็มีเพียงไม่กี่ตัวตนเท่านั้นที่กล้าท้าทายกิเลน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของตัวมันน่ากลัวเพียงใด
ในขณะนี้สัตว์ประหลาดที่คล้ายกับกิเลนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา ต่อให้เขาเฉินซีจะมีนิสัยมั่นคงและไม่หวั่นไหวเหมือนดั่งก้อนศิลาก็ยังรู้สึกอดประหม่าอย่างอธิบายไม่ได้
“เด็กน้อยเจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเป็นวิญญาณพิทักษ์ของเคหาบ่มเพาะและนายท่านตั้งชื่อให้ข้าว่า ‘จี้อวี๋’ ข้าคอยดูแลรักษาเคหาบ่มเพาะของนายท่านมานานกว่าหนึ่งล้านปีแล้ว” สุ้มเสียงที่ต่ำและแหบแห้งดังขึ้นอีกครั้ง แต่ดังออกมาจากภายในปากของสัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนกิเลนตัวนั้น
นี่คือ ‘จี้อวี๋’ เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็กน้อยก่อนที่จะระลึกได้ว่า หากสัตว์ประหลาดที่อยู่ตรงหน้าเขามีชีวิตอยู่จริงถึงหนึ่งล้านปี นั่นหมายความว่าเคหาบ่มเพาะหลังนี้ย่อมยืนหยัดมานานกว่าหนึ่งล้านปีแล้วเช่นกันไม่ใช่หรือ?
“ผู้เยาว์เฉินซีขอคารวะผู้อาวุโส ตัวข้าขอเรียนถามผู้อาวุโสว่า ณ ที่แห่งนี้คือสถานที่แห่งการบ่มเพาะจากยุคบรรพกาลแรกเริ่มจริง ๆ หรือ?” เฉินซีถามด้วยน้ำเสียงอย่างสุภาพ แม้ว่าตรงหน้าเขาจะเป็นสัตว์ประหลาดจริง ๆ แต่ก็เป็นตัวตนที่เขามิอาจไม่เคารพได้
“แน่นอน ที่แห่งนี้คือสถานที่บ่มเพาะของนายท่านของข้า” จี้อวี๋เดินมาอยู่เบื้องหน้าของเฉินซีและลดขนาดกายลง ทว่าไม่นานนัก มันก็พูดด้วยความประหลาดใจและงงงวย “ขอบเขตก่อกำเนิด? ความแข็งแกร่งของเจ้านั้นยังอ่อนแอมาก จะเป็นไปได้อย่างไรที่ตัวเจ้าจะมีคุณสมบัติพอได้รับสืบทอดแก่นแท้มรดกจากนายท่าน?”
เฉินซีซักถามด้วยความสงสัย “อะไรคือแก่นแท้ของมรดกหรือ?”
อย่างไรก็ตาม จี้อวี๋ไม่ได้สนใจเขาและครุ่นคิดอย่างขมขื่นอยู่เนิ่นนาน จากนั้นจึงกล่าวว่า “เจ้าหนู เจ้ากลั่นพลังปราณเสาะหาเต๋าบริสุทธ์ผ่านแผ่นยันต์อักขระอย่างนั้นหรือ?”
‘ข้าเสาะหาเต๋าผ่านแผ่นยันต์อักขระหรือ?’ เฉินซีรู้สึกงุนงงในขณะที่เขาส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ข้าแค่รู้วิธีประดิษฐ์ยันต์พื้นฐานเพียงบางอย่าง”
จี้อวี๋ตระหนักรู้ในฉับพลัน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจและกล่าวว่า “เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน นายท่านของข้านั้นแรกเริ่มเสาะหามรรคาเต๋าผ่านการอนุมานความลับของสวรรค์ การเลือกให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดเสื้อคลุมของเขานั้นย่อมเหมาะสม”
เฉินซียิ่งรู้สึกสับสนและไม่สามารถสงบใจได้ จากนั้นจึงกล่าวว่า “ผู้อาวุโสนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ข้าสืบทอดเสื้อคลุมของเขาตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
จี้อวี๋มองจ้องเฉินซีด้วยแววตาแปลกประหลาดก่อนจะกล่าวว่า “เจ้ามีตราประทับกายาอันแท้จริงของนายท่านอยู่ภายในห้วงทะเลแห่งจิตสำนึก อาจเป็นไปได้ที่ขณะนี้ตัวเจ้าเองยังไม่อาจสัมผัสถึงมัน”
เฉินซีนึกถึงรูปปั้นของชายชราที่เปล่งรัศมียิ่งใหญ่และลึกล้ำภายในจิตสำนึกของเขาและอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านปู่คนนั้นคือนายท่านของท่านหรือ?”
จี้อวี๋รู้สึกตกใจและส่ายศีรษะเบา ๆ ในขณะที่ถอนหายใจจากนั้นจึงกล่าวว่า “ดูเหมือนเจ้าจะไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ”
ชายหนุ่มรู้สึกละอายใจ แต่ก็กล่าวด้วยความเคารพว่า “ข้าหวังว่า ตัวผู้อาวุโสพอจะสามารถชี้แนะให้ข้ารับทราบได้”
จี้อวี๋นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นค่อย ๆ อ้าปากกล่าว “เมื่อล้านปีก่อน นายท่านของข้าเคยกำหนดไว้ว่าเมื่อตัวเขาได้จากไป จะมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถได้รับตราประทับกายาแท้จริงของเขาจากการทดสอบขอบเขตลับแห่งดวงดารา ซึ่งตัวเจ้าเป็นคนเดียวที่ได้รับมันตลอดหลายปีที่ผ่านมา กล่าวอีกนัยหนึ่ง เจ้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นศิษย์ของนายท่านของข้าแล้ว”
เฉินซีตระหนักได้ทันทีว่า ท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยดวงดาวที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นขอบเขตซ่อนดารา อย่างไรก็ตาม นั่นถือเป็นการทดสอบอย่างนั้นหรือ? ข้าเพียงสังเกตแค่วัฏจักรการโคจรของดวงดาวเพียงแค่นั้น แต่กลับได้รับสืบทอดตราประทับกายาอันแท้จริงของปรมาจารย์จ้าวเคหาแห่งนี้? สิ่งนี้มันไม่ง่ายดายไปหน่อยหรือ?
“ข้าขอบอกเจ้าว่ามีผู้คนถึง 6,983 คนเคยรับการทดสอบนี้! ในบรรดาคนเหล่านั้นมีทั้งผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ ขอบเขตสถิตกายา ขอบเขตเซียนปฐพี และแม้แต่ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์อันเลิศล้ำก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย! กระทั่งผู้ที่มีระดับการฝึกฝนต่ำที่สุดก็ยังอยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ตอนนี้ตัวเจ้ายังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายดายอยู่ไหม?”
โดยไม่รอให้เฉินซีได้กล่าว จี้อวี๋เงยหน้าขึ้นมองอย่างเย่อหยิ่ง ในขณะที่เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “หากไม่ใช่เพราะดวงใจของเจ้าสถิตแน่นด้วยเต๋าแห่งยันต์อักขระ การที่เจ้าพยายามทำความเข้าใจถึงขอบเขตซ่อนดาราเช่นนี้ ตัวเจ้าคงจะถูกบดขยี้ด้วยอำนาจแห่งดาราจักรไปแล้ว!”
เฉินซีรู้สึกหวาดกลัวในใจ ขณะที่เขาอุทานด้วยความตกใจ “ถูกบดขยี้โดยอำนาจแห่งดาราจักร?”
จี้อวี๋พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว ขอบเขตซ่อนดารานั้นลึกซึ้งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และยังครอบคลุมถึงปรากฏการณ์ทั้งหมดของดาราจักร หากใครไม่สามารถออกจากขอบเขตซ่อนดาราภายในครึ่งชั่วยาม คนผู้นั้นจะถูกฝังไว้ภายในอย่างแน่นอน และวิญญาณก็จะแตกสลายไป”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ จี้อวี๋ก็ถอนหายใจเล็กน้อย “ผู้ที่สามารถเข้าสู่ที่นี้ล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งยุคและมีความแข็งแกร่งเลิศล้ำ อย่างไรก็ตาม มากกว่าครึ่งหนึ่งถูกบดขยี้โดยดาราจักรและมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในการออกจากขอบเขตซ่อนดารา คนเหล่านี้คล้ายกับเจ้า ที่เข้าใจแก่นแท้ของเต๋าที่นายท่านทิ้งไว้ภายในขอบเขตซ่อนดารา แต่ช่างน่าเสียดาย ที่ก่อนหน้าเจ้า ไม่มีผู้ใดสามารถได้รับสืบทอดตราประทับกายาอันแท้จริงที่นายท่านเหลือไว้ และด้วยเหตุนี้จึงไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นศิษย์ของนายท่าน”
เฉินซีถามด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นกับผู้คนเหล่านั้น? พวกเขายินดีที่จะจากไปอย่างนั้นหรือ?”
จี้อวี๋กล่าวอย่างเย็นชาว่า “แน่นอนว่าพวกเขาไม่เต็มใจ เดิมทีแก่นแท้เต๋าที่พวกเขาเข้าใจจากที่แห่งนั้นเป็นประโยชน์มากพอแล้วกับเส้นทางการบ่มเพาะชั่วชีวิต แต่ก็ยังมีบางคนที่ดื้อรั้นเกินไปและพยายามที่จะได้รับมรดกจากนายท่านของข้า ดังนั้นพวกเขาจึงฝืนตนเข้าสู่ยอดเขาบททดสอบสรวงสวรรค์อย่างดื้อรั้นและในที่สุดร่างกายและวิญญาณของพวกเขาก็ถูกทำลายมลายหายไปอย่างสมบูรณ์”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ จี้อวี๋ก็หันหน้าไปทางแม่น้ำขนาดใหญ่และชี้ไปทางภูเขาอันเดียวดายที่ตั้งอยู่ใจกลางแม่น้ำใหญ่ “ดูเถิด นั่นคือยอดเขาบททดสอบสรวงสวรรค์ มันได้แบ่งออกเป็นสิบแปดขั้นของการทดสอบ โดยจะต้องผ่านการทดสอบทั้งหมดเท่านั้นจึงจะสามารถสืบทอดมรดกสัมบูรณ์ที่นายท่านของข้าทิ้งไว้เบื้องหลังได้ ผู้คนส่วนใหญ่ที่ขึ้นสู่ยอดเขาบททดสอบสรวงสวรรค์อย่างดื้อรั้นนั้นต่างเสียชีวิตในชั้นที่สาม ในขณะที่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาคือ ‘กระบี่อมตะไร้ต้าน’ ผู้มีการฝึกฝนที่ถึงจุดสูงสุดของเต๋าแห่งกระบี่ได้ผ่านบททดสอบไปถึงขั้นที่สิบสาม ก่อนที่จะล้มตายลงเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน”
ร่างของเฉินซีสั่นด้วยความกลัวขณะรับฟัง และอดไม่ได้ที่จะถามขณะที่เขาจ้องมองไปที่ภูเขาอันเดียวดายที่ใจกลางแม่น้ำใหญ่ “เช่นนั้นถ้าข้าต้องการสืบทอดมรดกสัมบูรณ์ ข้าจะต้องผ่านทั้งสิบแปดขั้นของ ยอดเขาบททดสอบสรวงสวรรค์ใช่หรือไม่?”
“แน่นอน แต่เจ้าไม่เหมือนกับพวกเขา เพราะเจ้าได้รับตราประทับกายาอันแท้จริงของนายท่าน เจ้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บในขณะที่ขึ้นสู่ยอดเขาบททดสอบสรวงสวรรค์ และไม่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามต่อชีวิตตัวเจ้า” จี้อวี๋กล่าวอย่างเรียบเฉย
เฉินซีลอบทอดถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะกังวล เพราะแม้แต่กระบี่อมตะไร้ต้านก็ได้เสียชีวิตลงที่ขั้นสิบสามของการทดสอบ ดังนั้นแล้วผู้ที่มีการบ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดเช่นเขาอาจจะไม่รอดตั้งแต่ขั้นหนึ่งของการทดสอบด้วยซ้ำ
จี้อวี๋กล่าวเตือนว่า “แม้ชีวิตของเจ้าจะไม่เป็นอันตราย แต่ข้ายังอยากจะแนะนำว่า เจ้าอย่าพยายามผ่านการทดสอบในตอนนี้ ความแข็งแกร่งของเจ้าตอนนี้นั้นอ่อนแอเกินไป ตัวเจ้ามีพลังที่อ่อนแอที่สุดหากเทียบกับผู้ทดสอบคนก่อนหน้าทั้งหมด ด้วยความสัตย์จริงตัวข้านั้นไม่ได้ดูถูกเจ้า แต่ในยุคบรรพกาลนั้นคนอย่างเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าทารกแรกเกิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
หากเทียบกับคนยุคก่อนข้านั้นแข็งแกร่งกว่าทารกแรกเกิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเองหรือ?
แม้เฉินซีจะไม่อยากยอมรับ แต่เมื่อเขาคิดว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาคือสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตอยู่มานับล้านปี เขาก็ทำได้เพียงฝังความไม่เต็มใจนี้ไว้ที่ก้นบึ้งของหัวใจแล้วถามว่า “ ผู้อาวุโสแล้วเมื่อใดข้าจะสามารถผ่านขั้นที่หนึ่งของยอดเขาบททดสอบสรวงสวรรค์ได้?
จี้อวี๋ตระหนกตกใจและถามอย่างสงสัยว่า “บอกข้าที เหตุใดเจ้าถึงกระตือรือร้นที่จะผ่านการทดสอบนัก?”
เฉินซีตอบโดยไม่ลังเลเลย “ข้าเพียงต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อแก้แค้นให้กับท่านปู่และตระกูลเฉินของข้า และเพื่อที่ข้าจะได้กลายเป็นเซียนสวรรค์และพบกับท่านแม่อีกครา!”
ทันใดนั้นจี้อวี๋ก็เข้าใจและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ตอนนี้เจ้าได้รับตราประทับกายาอันแท้จริงของนายท่านของข้าแล้ว ตราบใดที่ไม่มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น จะมีวันที่เจ้าสามารถเติมเต็มความปรารถนาได้อย่างแน่นอน แต่ร่างกายของเจ้านั้นยังอ่อนแอจนน่าเวทนา และระดับการบ่มเพาะของเจ้าก็ต่ำต้อยอย่างน่าสมเพช หากเจ้าต้องการฝึกฝนสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์มันคงเป็นการเดินทางอันแสนยาวนาน”
เฉินซีจ้องมองอย่างแน่วแน่ในขณะที่เขากล่าวอย่างสงบ “ไม่ว่าจะยากแค่ไหน ข้าจะไม่ยอมแพ้ ตัวข้านั้นจะไม่ยอมแพ้อย่างเด็ดขาด!”
แววตาของจี้อวี๋ที่เคยประสบกับความผันผวนมากมายของชีวิตเป็นประกายความชื่นชม จากนั้นมันเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาบททดสอบสรวงสวรรค์ ก่อนที่จะกล่าวอย่างเย่อหยิ่งว่า “เจ้าเป็นผู้เดียวในช่วงนับล้านปีที่ได้รับตราประทับกายาอันแท้จริงของนายท่านข้าที่เหลือทิ้งไว้ ตราบใดที่เจ้าฝึกฝนอย่างหมั่นเพียร ไม่ต้องพูดถึงการแก้แค้นหรือกลายเป็นเซียนสวรรค์ แม้แต่การฉีกกฎเกณฑ์ของฟ้าดินบรรลุแก่นแท้เต๋า หรือก้าวเดินบน…”
ทว่ายังไม่ทันพูดจบเสียงก็หยุดลงกะทันหัน จี้อวี๋ดูเหมือนจะตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างและชะงักคำพูดของมัน
อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่ทันได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้เพราะขณะนี้ เขามัวแต่กำลังไตร่ตรองถึงความลับที่ซ่อนอยู่ภายในตราประทับกายาอันแท้จริงซึ่งอยู่ภายในจิตสำนึกของตัวเอง ทว่าชายหนุ่มก็ยังไม่เข้าใจว่ามันจะช่วยให้เขาแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร
นอกจากนั้น แผนภาพวารีหลากที่ท่านแม่กล่าวถึงถูกซ่อนอยู่แห่งหนใดในสถานที่นี้?
[1] กิเลน เป็นสัตว์ในตำนานของประเทศจีน ซึ่งเชื่อกันว่ามันจะนำพาความเจริญรุ่งเรืองและความสงบสุขมาให้