บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 14 การฝึกฝน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 14 การฝึกฝน

บทที่ 14 การฝึกฝน

วิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพถูกแบ่งเป็นเจ็ดระดับ

ระดับแรก: ปรับแต่งผิวด้วยเหล็ก คือ พลังเจ็ดดาราทองจะถูกดึงมาเพื่อปรับสภาพผิว

ระดับสอง: ทำให้กระดูกแข็งขึ้นด้วยเพลิง คือ พลังดาราเพลิงจะถูกดึงมาเพื่อทำให้กระดูกแกร่งขึ้น

ระดับสาม: นวดเส้นเอ็นด้วยวารี คือ พลังดารานทีอันยืดหยุ่นจะถูกดึงมาเพื่อนวดเส้นเอ็น

ระดับสี่: คลายกล้ามเนื้อด้วยดิน คือ พลังดาราปฐพีอันแน่นหนาจะถูกดึงมาเพื่อทำให้เนื้อและเลือดเย็นลง

ระดับห้า: หล่อหลอมร่างกายกับไม้ คือ พลังดาราพฤกษาที่ถูกดึงมาเพื่อหล่อหลอมร่างกายเสียใหม่

จนถึงตรงนี้ การปรับแต่งร่างกายสำหรับขอบเขตสมบูรณ์แบบได้บรรลุไปแล้ว

“มันน่าเกรงขามตามที่คาดไว้ สามารถบ่มเพาะให้สมบูรณ์แบบภายในขอบเขตก่อกำเนิดโดยใช้พลังแห่งดาราจักรขัดเกลาทั้งร่าง มันยอดเยี่ยมกว่าเคล็ดวิชาขัดเกลากายาทั่วไปอย่างไม่อาจเทียบกันได้”

เฉินซีอุทานด้วยความลิงโลด ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพึมพำ “ถึงกระนั้น เรียบง่ายหาได้แปลว่าง่ายไม่ เดิมทีวิธีการปรับแต่งร่างกายนั้นยากอย่างยิ่ง และผู้ที่ไม่มีความอุตสาหะและจิตตานุภาพมากพอจะไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดจากการปรับแต่งร่างกายได้อย่างเต็มที่ วิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพนี้มาจากปรมาจารย์ของเคหาบ่มเพาะแห่งยุคบรรพกาลเมื่อล้านปีก่อน การฝึกฝนย่อมยากกว่าเคล็ดวิชาปรับแต่งร่างกายทั่วไป”

จิตใจของเฉินซีเย็นลงมากเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ และเริ่มอ่านต่อ

ระดับหกคือการปรับแต่งร่างกายของขอบเขตก่อกำเนิด เมื่อมาถึงระดับนี้ พลังชีวิตและเลือดทั่วร่างกายจะเพิ่มขึ้นเท่าทวี ปราณและพลังชีวิตไหลผ่านร่างกายดุจสายรุ้ง และคนผู้นั้นจะมีความแข็งแกร่งมหาศาลจนสามารถเคลื่อนภูเขาได้

ระดับเจ็ดคือการปรับแต่งร่างกายของขอบเขตตำหนักอินทนิล เมื่อมาถึงระดับนี้ พลังงานลึกลับอันน่าสะพรึงกลัวจะไหลออกมาจากระหว่างเนื้อหนัง เลือด และเชิงกราน พลังงานจ้าววิญญาณ! เมื่ออาศัยพลังงานนี้ คนผู้นั้นจะสามารถฝึกฝนวิชาลับ ทักษะศักดิ์สิทธิ์ วิชาเฉพาะ และวิธีการปรับแต่งสภาพร่างกายสุดพิเศษได้ ยกตัวอย่างเช่น วิชาแปลงหมัดภูผา วิชาร่างแปลงสวรรค์ ร่างทองมิอาจเคลื่อน และอีกมากมายนัก

“พลังงานจ้าววิญญาณ? เป็นไปได้ไหมว่ามันคล้ายกับปราณแท้? ทว่าทักษะศักดิ์สิทธิ์และวิชาเฉพาะคือสิ่งใด? น่าเสียดายที่ข้ามีความรู้เกี่ยวกับการปรับแต่งร่างกายเพียงเล็กน้อย ข้าจักต้องหาโอกาสที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมดให้ได้ มิเช่นนั้นยามฝึกฝนคงได้หยุดชะงักเป็นแน่”

เฉินซีไตร่ตรองอย่างเงียบ ๆ จากนั้นจึงนึกถึงปัญหาอื่น ‘วิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพนี้มาจากปรมาจารย์ของเคหาบ่มเพาะ ซึ่งย่อมสามารถใช้ฝึกฝนไปได้จนถึงระดับสูงล้ำแน่นอน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเนื้อหาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั้นยังอยู่ในกำมือของผู้อาวุโสจี้อวี๋?’

‘ไม่เป็นไร มันไม่มีประโยชน์ที่จะคิดอีกต่อไปแล้ว ข้าควรจะบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลโดยเร็ว จากนั้นเมื่อข้าเข้าไปในคฤหาสน์อีกครั้ง ตราบใดที่ข้าสามารถผ่านระดับที่หนึ่งของบททดสอบสรวงสวรรค์ได้ ผู้อาวุโสจี้อวี๋ก็ควรส่งต่อเนื้อหาวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพให้ข้าในภายหลัง’

เฉินซีลุกขึ้นและออกจากบ้านของเขา

ท้องฟ้ายามราตรีเป็นสีดำสนิท และดวงดาวดุจไข่มุกอันเจิดจรัสริบหรี่บนผืนม่านรัตติกาล กำลังทอดแสงดาวอันเยือกเย็นที่น่าหลงใหลและลึกซึ้ง

เฉินซีเงยหน้าขึ้นและครุ่นคิดเกี่ยวกับการฝึกฝนการปรับแต่งร่างกายขั้นแรกของวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพอย่างเงียบงัน ขณะจ้องมองไปยังดารานับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า ผ่านไปนาน คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน จากนั้นชายหนุ่มก็พึมพำออกมา “มันยากมาก!”

การขัดเกลาร่างกายของวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพมีอุปสรรคอันยิ่งใหญ่อยู่สองสามอย่าง และการเริ่มต้นก็เป็นหนึ่งในนั้น

หากใครต้องการดึงพลังเจ็ดดาราทองเพื่อปรับแต่งร่างกาย ขั้นตอนแรกจะต้องสัมผัสถึงดาวศุกร์ ซึ่งเต็มไปด้วยพลังเจ็ดดาราทอง ขั้นตอนที่สองคือการสร้างความเชื่อมโยงกับดาวดวงนี้โดยมีร่างกายเป็นศูนย์กลาง มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถดูดซับและดึงพลังเจ็ดดาราทองเพื่อทำให้ผิวอ่อนนุ่มลงได้

ในบรรดาดวงดาวทั้งหมด ดาวศุกร์เป็นดาวที่สว่างที่สุด และหากผู้ใดจะระบุมันด้วยความระมัดระวัง ก็จะใช้เวลาไม่นานในการค้นหามัน ส่วนการใช้พลังเจ็ดดาราทองเพื่อปรับสภาพผิว มันไม่ได้ถือว่ายากเกินไป และจำเป็นต้องฝึกฝนตามวิธีการบ่มเพาะเท่านั้น

ที่ยากที่สุดคือขั้นตอนที่สอง สัมผัสดาวศุกร์และเชื่อมโยงกับมัน

โชคดีที่วิธีการสัมผัสดาวศุกร์ถูกบันทึกไว้ในทักษะการฝึกวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพอย่างละเอียด และแม้ว่าวิธีการจะซับซ้อน แต่ก็สามารถแก้ไขความต้องการเร่งด่วนของเฉินซีได้

“สำเร็จหรือไม่ ลองสักครั้งย่อมไม่เสียหาย…” เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ จนกระทั่งสภาวะจิตใจของเขากลับมาสงบนิ่งในที่สุด เขาก็ค่อย ๆ หลับตาลง จากนั้นนั่งไขว่ห้างอยู่บนพื้นลานและเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อเผชิญหน้ากับดวงดาราที่สว่างที่สุดบนขอบฟ้าอันไกลโพ้น

จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นตรงตำแหน่งหน้าอกอย่างเฉื่อยช้า นิ้วของเขาคดงอประหนึ่งเถาวัลย์ เพื่อสร้างผนึกโบราณจำนวนมากซึ่งให้ความรู้สึกลึกลับและล้ำลึก

ทีละดวง ตราประทับมือปรากฏขึ้นและถูกทำลายลง ราวกับน้ำขึ้นและลง ดูเหมือนไร้ที่สิ้นสุด

หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ*[1] เฉินซีก็หยุดลงทันที ฝ่ามือขวาของเขาคว้าสวรรค์ และฝ่ามือซ้ายของเขาก็ฝังลงดิน ชายหนุ่มไม่ได้เคลื่อนไหวอีกต่อไป เหมือนกับการแกะสลักหินเงียบ ๆ ที่ปล่อยความสงบออกมาอย่างผิดปกติ

กริ๊ง!

เสียงเหมือนระฆังอูฐอันแผ่วเบาแว่วมาจากทะเลทรายอันไกลโพ้น นำร่องรอยของพลังงานอันเงียบสงบที่ชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ ดังก้องไปทั่วทะเลแห่งจิตสำนึกของเฉินซี

“เขาเริ่มบ่มเพาะแล้วหรือ?” ภายในเคหาบ่มเพาะ จี้อวี๋เงยหน้าขึ้นจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว ดูเหมือนว่ากำลังฟังอะไรบางอย่าง สายตาลุ่มลึกอันเปี่ยมด้วยประสบการณ์ชีวิตเผยให้เห็นร่องรอยความผิดปกติ ราวกับตื่นเต้น แต่ก็ยังคงสั่นไหวระริก…

เฉินซีรู้สึกเหมือนตนเองมีปีกที่ทะยานขึ้นไป ยังสรวงสวรรค์ และมุ่งสู่ส่วนลึกของนภารัตติกาล โดยไม่รู้จักเหนื่อยล้าหรือจุดสิ้นสุดของผืนฟ้า

โบยบินผ่านหมู่ดาวพร่างพรายบนท้องฟ้าทีละดวง

ทะยานผ่านหลุมดำที่ลึกและเงียบสงัดซึ่งทำให้เกิดความกลัวในใจผู้คน

ผ่านหมู่ฝนดาวตกที่เหมือนดอกไม้ไฟบานทีละกลุ่ม

ในท้ายที่สุด เขาก็หยุดอยู่บนอวกาศที่กว้างใหญ่ไพศาล และมีเพียงดาวดวงเดียวที่นี่ เป็นดาวขนาดมหึมาที่เปล่งแสงสีทองออกมานับล้าน

แสงสีทองนั้นแหลมคมราวกับกระบี่ และดาวทั้งดวงเปรียบดุจกระบี่นับเล่มไม่ถ้วนกำลังเปล่งไอปราณเย็นเฉียบ และพุ่งออกมาอย่างแรงกล้า จนมิอาจมองใกล้ ๆ ได้

แสงสีทองที่หนาแน่นนั้นคือพลังเจ็ดดาราทอง?

จิตใจของเฉินซีกระจ่างใสขึ้นยามโชคลาภเข้ามาใกล้ จากนั้นชายหนุ่มก็นั่งไขว่ห้างในอากาศด้วยท่าทางที่เงียบสงบขณะที่หลับตาลง

ในขณะนี้ แสงดาวที่เย็นยะเยือกและของเหลวสาดโปรยลงมาจากดวงดาราที่อยู่เหนือท้องฟ้ายามค่ำคืน ละอองฝนโปรยปรายเงียบงันและต่อเนื่อง ร่วงลงสู่ลานบ้านและชำระล้างร่างกายของเฉินซี

ฉากนี้เป็นฉากที่แปลกใหม่มาก ดุจดั่งสะพานแสงที่บางเฉียบประหนึ่งสายลาก ซึ่งถูกสร้างขึ้นระหว่างสวรรค์และโลก เชื่อมโยงเฉินซีและดาวศุกร์เอาไว้!

หืม?

ราวกับสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เหล่าตัวตนน่าสะพรึงกลัวนับพันแถบอาณาเขตทางใต้อันกว้างใหญ่ ต่างจ้องมองไปทางทิศใต้ด้วยความงงงวย ตกใจ และอีกมากมาย

ผู้ใดกันที่สามารถสื่อสารกับพลังงานของดวงดาวได้?

วาบ! วาบ! วาบ!

ภายในเมืองหมอกสน ตัวตนทั้งหลายต่างตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาจ้องมองไปทางทิศเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง

แสงดาวส่องลงมายังพื้นดิน? เหตุใดปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้จึงมาปรากฏขึ้นที่นี่? นี่เป็นลางบอกเหตุแบบใดกันแน่?

อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกคนต้องการตรวจสอบ ท้องฟ้ายามค่ำคืนก็กลายเป็นสีดำสนิทและทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติไปเสียก่อน จนพวกเขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังประหลาดที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นได้อีก ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นตลอดมา

มันอาจจะเป็นภาพลวงตา?

ไม่!

มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ไม่มีใครสงสัยในสิ่งที่พวกเขาสัมผัสได้ก่อนหน้านี้ พวกเขาค้นหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความไม่ยินยอม แต่ท้ายที่สุดก็ไม่พบอะไรเลย

“ฮ่า ๆ นายท่านของข้ารอมาเนิ่นนานและในที่สุดก็ได้ลูกศิษย์ที่สามารถสืบทอดเสื้อคลุมของเขามา ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าทุกคนสร้างปัญหาได้อย่างไร” ภายในเคหาบ่มเพาะ จี้อวี๋มองขึ้นไปบนสวรรค์ ขณะที่มันหัวเราะออกมา อารมณ์ของเขาเต็มไปด้วยความสุขอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากผ่านไปนาน สีหน้าของจี้อวี๋ก็สงบลงและก็พึมพำ “เด็กน้อยเอ๋ย ทำงานให้หนัก ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงไม่ต้องการการปกป้องจากใครเลย ข้าจะไม่ทำการยกเว้นและช่วยเหลือเจ้าอีกต่อไปในอนาคต เว้นแต่… เจ้าจะสามารถผ่านการทดสอบสรวงสวรรค์ทั้งหมดได้!”

เฉินซีหารู้เรื่องนี้ไม่ ขณะนี้ข้างกายเขา แสงดาวนับไม่ถ้วนกำลังส่องประกายระยิบระยับ

“สำเร็จ!” เฉินซีลืมตาและจ้องมองไปที่จุดแสงสีทองที่ไล้เลียไปตามร่างกายของเขาราวกับหิ่งห้อยและพึมพำ “นี่คือพลังเจ็ดดาราทอง?”

เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากและเริ่มโคจรวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพระดับแรกโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!

ฉึ่ก! ฉึ่ก!

ทันใดนั้น พลังเจ็ดดาราทองที่ลอยเวียนอยู่ก็หยุดลงชั่วขณะ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นแสงสีทองที่แหลมคมซึ่งบางราวกับเส้นขน ก่อนจะทิ่มแทงไปยังผิวหนังทั่วร่างกายของเฉินซีในทันใด

เจ็บปวด!

ความเจ็บปวดเข้าทะลุกระดูก!

แม้ว่าเขาจะเตรียมตัวแล้ว แต่เมื่อพลังเจ็ดดาราทองสัมผัสกับร่างกายของเขา มันก็ยังเจ็บจนเฉินซีแทบควบคุมตัวเองไม่ได้ รู้สึกราวกับมีเข็มเงินที่แหลมคมเป็นพัน ๆ ทิ่มแทงร่างกายเขาพร้อม ๆ กัน จนเขาสั่นสะท้านไม่หยุด

อดทน!

ถ้าข้าทนผ่านด่านแรกไม่ได้ ข้าจะคิดแก้แค้นได้อย่างไร?

เส้นเลือดบนหน้าผากของเฉินซีนูนออกมาอย่างรวดเร็วพลางกัดฟันแน่น พยายามอย่างหนักที่จะคงไว้ซึ่งสติสัมปะชัญญะ ขณะที่เขาค่อย ๆ โคจรวิชาการฝึกฝนของเขาอย่างช้า ๆ

ความเจ็บปวดก็เหมือนกระแสน้ำ คลื่นแต่ละคลื่นรุนแรงกว่าครั้งก่อน เลือดสีแดงเข้มไหลออกจากผิวหนังและรูขุมขนทั่วร่างกายของเฉินซี จากนั้นร่างของชายหนุ่มก็โชกไปด้วยโลหิตอย่างรวดเร็ว

เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบ เฉินซีจึงค่อย ๆ หยุดโคจรปราณการฝึกฝนของเขา จิตใจของเขาถูกทรมานด้วยความเจ็บปวดจนหมดสิ้นสติ เดิมทีเขาต้องการจะยืนขึ้น แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาไร้เรี่ยวแรงแม้เพียงเสี้ยว เหลือเพียงความเจ็บปวดและความอ่อนล้าที่ไร้ขอบเขต ทำให้เขาไม่แม้แต่จะยืนได้

“เพียงอุปสรรคแรกแห่งการเริ่มต้นได้ทรมานข้าถึงสถานะนี้แล้ว ดูเหมือนว่าที่ผู้อาวุโสจี้อวี๋พูดจะเป็นความจริง ร่างกายของข้าอ่อนแอเกินไปจริงๆ…”

เฉินซีไม่ได้รู้สึกหดหู่ใจ เนื่องจากข้อเท็จจริงนี้ทำให้เขาเข้าใจขึ้นมาก และยังทำให้ชายหนุ่มรับรู้ถึงสภาพร่างกายของเขาได้อย่างชัดเจน

หลังจากนั่งสมาธิอยู่ครู่หนึ่งและรอให้ร่างกายกลับมามีพละกำลัง เขาก็กัดฟันแน่นอีกครั้ง ขณะที่ใช้แขนค่อย ๆ ยกร่างขึ้นเชื่องช้า จนในที่สุดเขาก็ยืนขึ้น แต่กลับมีก็เหงื่อออกมากจากความเจ็บปวด

เขาเดินเซทีละก้าวเพื่อเดินเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็ใช้น้ำเย็นล้างเลือดบนร่างกายก่อนที่จะนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง ขณะหายใจหอบหนัก

แม้ว่าเขาจะรู้สึกเจ็บปวดและอ่อนล้าถึงขีดสุด เฉินซีก็ยังไม่เสียเวลาสักครู่ก่อนที่จะเริ่มฝึกฝนวิชานภาอินทนิล

วิธีคิดของเขานั้นเรียบง่ายมาก มีเพียงสองคำเท่านั้น: จงเข้มแข็ง!

หากปราศจากความเชื่อมั่นและการกระทำที่ไม่หยุดยั้ง เขาจะไม่มีวันรู้ว่าสุดท้ายเขาแข็งแกร่งแค่ไหนใช่หรือไม่?

เฉินซีทำงานหนักอย่างเงียบงันและแน่วแน่

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เฉินซีตื่นนอนตรงเวลา

หลังจากที่เขาฝึกฝนวิชานภาอินทนิลเมื่อคืน เขาได้นั่งทำสมาธิ โดยเพ่งไปที่ทะเลแห่งจิตสำนึกของเขาเพื่อศึกษาตราประทับกายาอันแท้จริงที่เจ้าของเคหาบ่มเพาะทิ้งไว้ตามคำแนะนำของจี้อวี๋ ก่อนที่เขาจะมาหลับลึกอีกคราช่วงก่อนรุ่งสาง

ดังนั้นแม้ว่าผิวของเขาจะซีดผิดปกติ แต่ขณะนี้จิตวิญญาณของเขาก็ดีมาก

หืม?

จู่ ๆ เฉินซีก็สัมผัสได้ว่าสัมผัสทั้งหกของเขา ดูเหมือนจะไวกว่าแต่เดิมอย่างผิดปกติในชั่วข้ามคืน

ใบไม้ที่อยู่บนต้นไม้ด้านนอกลานบ้านนั้นค่อย ๆ แกว่งไปมาในขณะที่พวกมันเปล่งเสียงที่ราวกับขลุ่ยสวรรค์ ฝูงมดเดินไปตามซอกมุม กำลังขนอาหารอย่างยากลำบาก ใต้ชายคาของบ้าน ผีเสื้อโบยบินตรงจุดนั้นขณะอาบแสงแดดยามเช้าพร้อมกับความงามงดและมีชีวิตชีวา…

ทุก ๆ อย่างช่างแจ่มชัด จนทำให้เฉินซีรู้สึกแปลกใหม่และแปลกใจ

“มันเป็นเพราะการมองเห็นรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ฝูซีทำให้จิตวิญญาณของข้าแข็งแกร่งขึ้น!”

เกือบจะในทันที เฉินซีก็เข้าใจทุกอย่างและเขาก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจ “มันทำให้จิตวิญญาณของข้าบรรลุถึงสภาวะนี้ในคืนเดียว ตราประทับกายาอันแท้จริงที่ผู้อาวุโสฝูซีทิ้งไว้นั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ!”

[1] หนึ่งเค่อ เท่ากับสิบห้านาที ดังนั้นครึ่งเค่อจะเท่ากับเจ็ดนาทีครึ่ง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท