บทที่ 50 บันทึกภายในที่พำนักของเซียนกระบี่
บทที่ 50 บันทึกภายในที่พำนักของเซียนกระบี่
เฉินซีไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะในการบ่มเพาะ แต่ความเร็วในการขัดเกลากายานี้ยังคงทำให้เขาต้องตกตะลึง หากคำนวณอย่างรอบคอบ ในช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งปี เขาก็สามารถขัดเกลากายาจากขอบเขตสร้างรากฐานไปสู่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์ได้ในคราวเดียว ซึ่งเป็นความเร็วที่เขาก็ไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้าตกใจมากหรือ? เจ้าบ่มเพาะวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพที่นายท่านของข้าเหลือทิ้งไว้และยังมีปราณปีศาจจำนวนมหาศาลที่คอยสนับสนุนในการบ่มเพาะของเจ้า ความเร็วเยี่ยงนี้นับว่าปกตินัก”
จี้อวี๋กล่าวอย่างเฉยเมยต่อ “จงฝึกฝนให้หนักยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับอัจฉริยะที่แท้จริง ความเร็วในการฝึกฝนของเจ้ายังนับว่าไม่ดีพอ สิ่งสำคัญที่สุดคือเจ้าได้สูญเสียเวลาอันมีค่าไปถึงสิบหกปี”
อารมณ์ตื่นเต้นของเฉินซีสงบลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากข้อเท็จจริงตรงกับที่จี้อวี๋กล่าวทั้งหมด แม้ว่าเขาจะได้รับการสั่งสอนจากท่านปู่เสมอและฝึกฝนเคล็ดวิชานภาม่วงโดยตลอด แต่เขากลับขาดแคลนยาเม็ดวิญญาณและผลึกวิญญาณ จึงทำให้การฝึกฝนของเขาก้าวหน้าช้ามาก ยิ่งไปกว่านั้นเพราะต้องคอยจุนเจือครอบครัว เขาจึงต้องกลายเป็นนักสร้างยันต์อักขระฝึกหัด ทำให้เวลาที่เขาใช้ไปกับการบ่มเพาะลดน้อยลงไปอีก เมื่อเทียบกับบรรดาสมาชิกของตระกูลใหญ่ที่ตั้งใจบ่มเพาะตั้งแต่อายุยังน้อย นับว่าเขาล้าหลังอยู่มาก
เช่นเดียวกับหลี่ไฮว่ที่อายุใกล้เคียงกับเฉินซี ตอนนี้อีกฝ่ายได้บรรลุการบ่มเพาะถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว เหตุผลเป็นเพราะหลี่ไฮว่ครอบครองทรัพยากรมหาศาลและไม่จำเป็นต้องแบ่งเวลาไปทำงานหนักเพื่อความอยู่รอด
“ขอบคุณผู้อาวุโสสำหรับคำเตือนของท่าน” สีหน้าของเฉินซีเคร่งขรึมและจริงจัง
จี้อวี๋หัวเราะขณะที่เขาลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้หวาย จากนั้นกวาดสายตามองไปทั่วสระน้ำ “ยังคงมีของเหลวที่มาจากการควบแน่นของปราณปีศาจเกือบ 125 จิน ข้าจะช่วยเจ้าเก็บรวบรวมมัน”
หลังจากพูดจบจี้อวี๋ก็สะบัดมือออก ทันใดนั้นสระน้ำรูปทรงแปดเหลี่ยมก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มีแสงสีดำส่องประกาย และท้ายที่สุดทั้งสระน้ำก็แปรเปลี่ยนเป็นขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยมที่ดูเหมือนทำมาจากหยกดำ
“อันที่จริง สระน้ำนี้เป็นขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยม ผู้บ่มเพาะที่จัดตั้งค่ายกลนี้ใช้กระบี่ทั้งแปดเพื่อเชื่อมต่อกับปราณแห่งสวรรค์และโลก จากนั้นจึงใช้บงกชจิตเยือกเย็นเพื่อซึมซับปราณปีศาจ และรวมพวกมันเข้าไปในขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยม สระน้ำที่เต็มไปด้วยปราณปีศาจนี้ก่อตัวขึ้นหลังจากเวลาผ่านไปนับหมื่นปี”
ชายชรากล่าวอย่างสงบและไม่เร่งรีบ “แต่เนื่องจากค่ายกลกักปราณปีศาจนี้ไม่มีผู้ใดควบคุมมันมาเกือบหนึ่งหมื่นปีแล้ว ปราณปีศาจส่วนใหญ่ที่อยู่ภายในจึงได้สลายไปนานแล้ว หากไม่ใช่เหตุนี้ สระน้ำแห่งนี้อย่างน้อยก็สามารถรวบรวมปราณปีศาจได้ไม่น้อยกว่าสองพันห้าร้อยจิน”
“เป็นเช่นนี้เอง” เฉินซีพยักหน้ารับ
จี้อวี๋โยนขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยมขนาดเท่าแขนไปยังเฉินซี และกล่าวว่า “แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่มีประโยชน์อื่นใด แต่ใช้มันกักเก็บดวงวิญญาณก็นับว่าไม่เลว ของเหลวหรือสุรา และยามเมื่อเจ้าก้าวไปสู่ขอบเขตจุติ เจ้าจะสามารถใช้ปราณปีศาจในนี้เพื่อสร้างกงล้อสังสารวัฏได้”
เฉินซีรับขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยมมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นเก็บไว้ในแหวนมิติ และเริ่มสำรวจสภาพแวดล้อมรอบกายอีกครั้ง ตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นว่ามีค่ายกลแปลกประหลาดอยู่ในตำแหน่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสระน้ำ
“สิ่งนั้นคือ?” เฉินซีเดินไปข้างหน้าเพื่อมองดู มีช่องหลุมอยู่ตรงกลางของค่ายกล เหมือนมีอะไรดลใจแวบเข้ามาในความคิดของเขา ทันใดนั้นเขาก็นำตราคำสั่งใต้พิภพออกมาจากแหวนมิติ ด้วยการเปรียบเทียบขนาดสักพัก เขาจึงสังเกตเห็นว่าพวกมันใช้ร่วมกันได้อย่างลงตัว
“ฮ่า ๆๆๆ!”
จี้อวี๋เงยหน้าขึ้นและหัวเราะพลันกล่าว “สิ่งนี้คือค่ายกลเคลื่อนย้ายที่มุ่งตรงไปยังที่พำนักของเซียนกระบี่อย่างแน่นอน ข้าสังเกตว่ามีบางอย่างชอบพิกล เมื่อข้าเข้ามายังที่นี่ก่อนหน้านี้ อย่างที่ข้าคาดการณ์เอาไว้เลย ค่ายกลนี้สร้างโดยเซียนกระบี่เพื่อรวบรวมปราณปีศาจอย่างแน่นอน!”
เฉินซีไม่อาจเชื่อเรื่องนี้ เดิมทีเขาเคยคิดว่าเมื่อเขาตกลงมาในหุบเหวแล้วตัวเองจะสูญเสียโอกาสที่จะได้พบกับที่พำนักของเซียนกระบี่ ทว่าชายหนุ่มไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะพบมันในที่แห่งนี้ เป็นดั่งคำกล่าวไว้จริง ๆ ในคราวเคราะห์ย่อมมีความโชคดีอยู่
“ไปกันเถอะ ข้าเคยได้พบเซียนกระบี่ไร้พ่ายในช่วงหลายล้านปีที่ผ่านมานี้ แต่ทุกคนได้ตายตกอยู่ในเคหาของนายท่าน จึงอยากรู้ว่าเซียนกระบี่ผู้นี้คือใคร และที่พำนักที่เขาเหลือทิ้งไว้นั้นจะน่าพิศวงเยี่ยงไร” จี้อวี๋กล่าวอย่างไม่เร่งรีบ ทว่าน้ำเสียงที่เฉยเมยของเขาเผยให้เห็นถึงความเย่อหยิ่งที่ดูแคลนทุกสรรพสิ่ง
…
คลื่นเสียงดังสนั่นแว่วมา บนทางเดินที่ยาวและคับแคบเป็นสีดำสนิทราวกับหลุมดำ ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงกระทบกระทั่งเสียดหูของโลหะ
เคร้ง!
กริชปทุมฟ้าประสานกรีดผ่านหุ่นเชิดอย่างดุเดือดเป็นชิ้น ๆ ตู้ชิงซีอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาและหอบหายใจแรง ขณะที่นางจ้องมองต้วนมู่เจ๋อและคนอื่น ๆ ที่ยังคงติดพันการต่อสู้ ใบหน้างามงดของนางเต็มไปด้วยความกังวลยิ่ง
สถานที่เยี่ยงนี้ยังเรียกว่าเป็นที่พำนักของเซียนกระบี่ได้อยู่อีกหรือ? ที่นี่มันอย่างกับโรงเก็บหุ่นเชิดปีศาจไม่มีผิด!
ภายใต้การนำของไฉ่เล่อเทียน ในที่สุดพวกเขาก็ได้ผ่านแนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาด แม้จะเผชิญกับสถานการณ์อันน่าหวาดเสียว แต่ก็รอดออกมาโดยไม่ได้รับอันตรายใด ๆ
ในวันสุดท้ายของช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ย่างกร่ายเข้าสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพ พวกเขาจะอาศัยตราคำสั่งใต้พิภพเพื่อส่งพวกเขาไปยังที่พำนักของเซียนกระบี่ผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล
ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าสมบัติวิเศษและเคล็ดวิชาลับต่าง ๆ อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ แต่พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าสู่ทางเดินที่ยาวและคับแคบนี้ พวกเขากลับพบกับคลื่นหุ่นเชิดปีศาจ
หุ่นเชิดปีศาจเหล่านี้มีขนาดสูงและใหญ่ยิ่งนัก ใบหน้าของพวกมันตายด้านเสียจนดูน่าสะพรึงกลัว ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยปราณปีศาจสีดำทะมึน ในมือถือกระบี่คมกริบขนาดมหึมา ทักษะการใช้กระบี่ของพวกมันนั้นเรียบง่ายและแข็งทื่อ แต่พวกมันนั้นไร้ซึ่งความเกรงกลัว กอปรกับร่างกายขนาดมหึมาที่แข็งแกร่งดั่งก้อนหินยักษ์ ราวกับคลื่นเหล็กกล้าขนาดมหึมาที่ถาโถมกวาดทางเดินที่ยาวและคับแคบ ล้างทุกสิ่งที่กีดขวางทางออกไป
“บัดซบ! ไม่ว่าพวกเราจะฆ่าพวกมันไปเท่าไร ก็ไม่หมดไม่สิ้นเสียที พวกเราติดอยู่ในที่แห่งนี้มาสองวันแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้อีก ต่อไปไม่ช้าก็เร็วพวกเราจะต้องล้มตายด้วยความเหน็ดเหนื่อยเป็นแน่!”
ต้วนมู่เจ๋อเตะหุ่นเชิดปีศาจตัวหนึ่งลอยละลิ่ว ก่อนจะกระโดดหลบการโจมตีประสานของหุ่นเชิดปีศาจสองตัว และถอยร่นมายังด้านข้างของตู้ชิงซี
ในขณะนี้เสื้อผ้าสีขาวของต้วนมู่เจ๋อเต็มไปด้วยคราบเลือด ผมของเขาก็กระเซอะกระเซิง ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดและหว่างคิ้วของเขาเผยให้เห็นถึงความอ่อนล้าอย่างรุนแรง
“เหตุใดมันถึงกลายเป็นเยี่ยงนี้? ทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่พวกเราก้าวเข้ามาในที่แห่งนี้ ความแข็งแกร่งของเราก็คืนกลับสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลและไม่ถูกจำกัดโดยอำนาจของดินแดนรกร้างใต้พิภพอีกต่อไป แต่เหตุใดเราถึงไม่อาจกำจัดหุ่นเชิดปีศาจเหล่านี้ได้เสียที เป็นเพราะเหตุใดกัน? หรือเราควรพุ่งทะลวงผ่านพวกมันออกไปซะ?”
ตู้ชิงซีก็มิอาจหาทางออกได้เช่นเดียวกัน แม้ว่านางจะแนะนำให้พุ่งทะลวงผ่านมันไป แต่เมื่อนางเห็นหุ่นเชิดปีศาจจำนวนมากทะลักเข้ามาจากระยะไกล นางก็รู้สึกว่าความหวังในการฝ่าวงล้อมออกไปนั้นก็ลดน้อยไปอีก
“ทะลวงผ่าน? ข้าคิดว่าวิธีนั้นคงไม่ได้ผลหรอก” ต้วนมู่เจ๋อยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นกัดฟันและกล่าวว่า “เดิมทีเรามีเส้นทางทั้งแปดให้เลือก แต่ไฉ่เล่อเทียนต้องการไปตามเส้นทางเดินนี้ หากไม่ใช่เพราะความคิดเขา พวกเราคงมิต้องอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้!”
ตู้ชิงซีขมวดคิ้วและกล่าวว่า “สิ่งที่เจ้ากำลังกล่าวไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่ไฉ่เล่อเทียนปฏิบัติต่อเฉินซีในวันนั้นเลย! อย่าได้ยัดเยียดความผิดทุกสิ่งให้แก่ผู้อื่น!”
นางหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกตัวว่าได้กล่าววาจารุนแรงเกินไป จากนั้นนางก็กล่าวด้วยสีหน้าช่วยไม่ได้ “โชคลาภ ความโชคร้าย การชมเชย การใส่ร้าย การสรรเสริญ การเยาะเย้ย ความเจ็บปวด และความสุข แปดทางที่แตกต่างกัน เราเลือกทางเดินของความสุข ดังนั้นจึงติดกับดักเยี่ยงนี้ หากเราเลือกทางเดินแห่งความเจ็บปวด มันคงไม่หมายความว่าเราอาจต้องล้มตายไปตั้งนานหรอกหรือ?”
ต้วนมู่เจ๋อพ่นลมหายใจ “ข้าแค่รู้สึกว่าไฉ่เล่อเทียนไร้สาระยิ่ง เพียงเพราะเขาคิดว่านามของเขามีคำว่า ‘เล่อ’*[1] ประกอบอยู่ เขาจึงนำพวกเรามายังเส้นทางนี้ นี่ไม่นับว่าไร้สาระอย่างนั้นหรือ?”
วูบ! วูบ! วูบ!
กระบี่ยักษ์สามเล่มที่อันตรายยิ่งฟันเข้าหาตู้ชิงซีและต้วนมู่เจ๋ออย่างดุเดือด ทั้งสองไม่กล้าสนทนาอีกต่อไปและได้แต่กัดฟันต่อสู้ไป ขณะที่พวกเขาเคลื่อนตัวไปปะทะกับหุ่นเชิดปีศาจตัวอื่น
ในตอนนี้ พวกเขาทำได้เพียงยืนหยัดอย่างยากลำบาก
“ไอ้พวกเศษสวะ พอกันที!” ไม่นานหลังจากนั้น ไฉ่เล่อเทียนได้คำรามด้วยโทสะออกมา จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปในอากาศ ภายในฝ่ามือของเขาเกิดประกายไฟวูบวาบและเจิดจ้าขึ้น ก่อนที่จะซัดออกไปอย่างรุนแรง!
“ยันต์หยินหยางเพลิงสวรรค์! ไอ้พวกบัดซบสลายหายไปซะ!”
ตู้ม! ตู้ม!! ตู้ม!!!
ทันใดนั้น แสงสีขาวที่พุ่งผ่านดวงตาก็ส่องประกายไปทั่ว คลื่นระเบิดราวกับฟ้าร้องดังกึกก้องอยู่บนทางเดินยาวและคับแคบ กระแสลมรุนแรงราวกับพายุ พุ่งไปข้างหน้าตามทางเดิน และทุกที่ที่มันกวาดผ่าน หุ่นเชิดปีศาจจำนวนมากก็ไม่ต่างกับน้ำแข็งที่ละลายกลายเป็นน้ำก่อนจะระเหิดจนสลายไป!
ต้วนมู่เจ๋อจ้องมองไปตามทางเดินที่ว่างเปล่า และกัดฟันของเขาหลังจากนั้นครู่หนึ่ง “ไอ้ตัวบัดซบ! เจ้าครอบครองยันต์หยินหยางเพลิงสวรรค์ ซึ่งเป็นสมบัติที่เทียบเคียงได้กับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ แต่กลับเพิ่งจะคิดใช้มันในยามนี้ เจ้านี่มันช่างมีเจตนาไม่ซื่อยิ่งนัก!”
“รีบไปกันเถอะ ยามนี้เราล่าช้านัก กลุ่มของซูเจียวอาจรุดหน้าไปไกลแล้ว!” ตู้ชิงซีถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกและเช็ดหยดเหงื่อบนหน้าผากของนาง ก่อนจะพุ่งทะยานไปข้างหน้า
“อือ!” ต้วนมู่เจ๋อไร้คำจะกล่าว เมื่อนึกถึงสมบัติภายในที่พำนักของเซียนกระบี่และรีบวิ่งตามไป
…
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าทางเดิน ‘สรรเสริญ’ นี้จะเต็มไปด้วยกับดักต่าง ๆ มันง่ายที่จะหลบหอกในที่แจ้ง แต่ยากที่จะหลบศรที่ยิงจากที่ลับ ถ้าไม่ใช่เพราะการป้องกันโดยรอบของโล่เต่าทมิฬจตุวิญญาของศิษย์พี่ฉาง ข้าเกรงว่าพวกเราทุกคนจะติดอยู่ภายในที่แห่งนี้ไม่อาจรุดหน้า”
ภายในทางเดินอีกเส้นหนึ่ง ซูเจียวจ้องมองไปยังทางออกที่อยู่ห่างออกไปและทอดถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นนางก็ยิ้มอย่างหวานชื่นให้ฉางปินซึ่งอยู่ข้างกายนาง
“ฮ่า ๆ! คุณหนูซู ท่านชมข้าเกินไปแล้ว” ฉางปินรู้สึกปวดร้าวในใจเนื่องจากจิตวิญญาณของโล่เต่าทมิฬจตุวิญญาถูกทำลายไปมากกว่าครึ่ง แต่เมื่อเขาได้ยินคำชมเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มออกมา
ซูเจียวดูเหมือนจะอ่านความคิดของชายหนุ่มออกจึงแย้มยิ้ม ขณะที่นางกล่าวแนะนำ “หากเราค้นพบที่ซ่อนลับในที่พำนักของเซียนกระบี่ได้ในครั้งนี้ ก่อนอื่นเราต้องให้ศิษย์พี่ฉางเลือกสิ่งของเป็นผู้แรกเพื่อเป็นการชดใช้ให้กับพี่ฉางที่ช่วยรักษาชีวิตของพวกเรา ทุกคนมีข้อโต้แย้งใด ๆ หรือไม่?”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น”
“นั่นคือสิ่งที่สหายฉางควรได้รับ” คนอื่น ๆ พยักหน้ารับและตกลงในทันที
อารมณ์ของฉางปินร่าเริงขึ้นมาทันที และสายตาเร่าร้อนที่เขาส่งไปยังหญิงสาวก็ปรากฏความชื่นชมออกมา
“เราไม่อาจล่าช้าได้อีกต่อไป ฉะนั้นรีบออกไปกันเถอะ เรามิอาจปล่อยให้ผู้อื่นล้ำหน้าเราได้” ซูเจียวยิ้มเล็กน้อย จากนั้นหันกลับและก้าวเดินไปยังทางออก
…
วูบ!
เมื่อเฉินซีลืมตาขึ้น เขาก็อยู่ในห้องที่ว่างเปล่าและกว้างขวาง นอกจากเตียงหยก โต๊ะตัวใหญ่ และเบาะนั่งสมาธิแล้ว ภายในห้องก็หาได้มีสิ่งอื่นใดอีก ที่แห่งนี้เป็นที่พำนักของเซียนกระบี่หรือ? นี่มันไม่เรียบง่ายไปหน่อยหรือไร? ราวกับว่ามันไม่มีสิ่งอื่นใดเลย?
เฉินซีรู้สึกสับสนอย่างมาก
จี้อวี๋ยืนอยู่หน้าโต๊ะครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็อุทานด้วยความประหลาดใจ “หืม?”
เฉินซีรีบขยับเข้าไปใกล้ จากนั้นเขาจึงเห็นว่ามีแผ่นกระดาษสีเหลืองซึ่งเต็มไปด้วยตัวอักษรวางอยู่บนโต๊ะ
อักษรที่เขียนอยู่ในกระดาษถูกเขียนอย่างอิสระ ทั้งในแนวตั้งและแนวนอน ส่วนลายเส้นนั้นราวกับกระบี่ที่ดุร้ายและรวดเร็วอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทันทีที่เฉินซีจดจ้องไป เจตจำนงแห่งกระบี่ที่หนาแน่นไปด้วยกลิ่นอายสังหารก็พวยพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเขา ทำให้ร่างกายหลั่งเหงื่อออกมาในทันที ชายหนุ่มรีบหันหน้าหลบและหลับตาลงก่อนจะหายใจเข้าลึก จากนั้นเขาจึงลืมตาขึ้นเพื่อจ้องมองต่อไป
“ข้าเคยสนทนาแลกเปลี่ยนวิถีกระบี่กับฮวายหย่าจื่อ และรู้แจ้งถึงความจริงที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังแปดประการ ซึ่งอาจสั่นคลอนหัวใจของผู้คนได้ ‘แปดประการหมายถึงโชคลาภ ความโชคร้าย การชมเชย การใส่ร้าย การสรรเสริญ การเยาะเย้ย ความเจ็บปวด และความสุข ซึ่งยึดตามวิถีทั้งแปด’ ข้ายอมตัดชะตากรรมในโลกมนุษย์ และทำลายกรงที่กักขังข้าไว้ ข้ารู้สึกว่าข้าได้รับแก่นแท้ในเต๋าแห่งกระบี่ แต่ตัวข้าหมกมุ่นอยู่กับกระบี่มากเกินไป ในท้ายที่สุด ความหมกมุ่นนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นปีศาจกัดกินอยู่ในใจ เช่นเดียวกับคำกล่าวที่ว่า ความสำเร็จของข้ามาจากกระบี่ และการล่มสลายของข้าก็เกิดจากกระบี่เช่นเดียวกัน…”
เฉินซีได้อ่านถ้อยคำเพียงไม่กี่แถว เมื่อนั้นเขาก็รู้สึกถึงแรงต้านและความปั่นป่วนในอก จากนั้นจิตแห่งเต๋าของเขาพลันสั่นคลอนและติดขัด ทำให้เขาไม่อาจทานทนได้ จึงหลับตาลงอีกครั้ง
“บันทึกนี้เขียนขึ้นโดยเซียนกระบี่ที่รู้แจ้งในหลักเต๋าแห่งกระบี่อย่างสมบูรณ์ ระดับการบ่มเพาะของเจ้ายังไม่สูงพอ การอ่านอย่างตั้งใจจะทำให้ดวงวิญญาณของเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือทำให้จิตแห่งเต๋าของเจ้าอ่อนแอต่อปีศาจภายในใจ เจ้าจึงไม่ควรอ่านมันต่อไปอีก”
เสียงของจี้อวี๋ดังขึ้นที่ข้างหูของเฉินซี และทำให้เกิดพายุรุนแรงก่อตัวขึ้นในหัวใจของเฉินซี เพียงแค่อักษรที่เหลือทิ้งไว้เบื้องหลัง สามารถทำให้จิตแห่งเต๋าของผู้อ่านอ่อนแอต่อปีศาจภายในใจได้?
[1] คำว่า เล่อ (乐) ในชื่อของไฉ่เล่อเทียน มาจากคำว่า 快乐 ที่แปลว่า ความสุข