บทที่ 55 ห้องโถงสมุนไพรร้อยแปด
บทที่ 55 ห้องโถงสมุนไพรร้อยแปด
“ฮึ่ม! ไอ้สุนัขเฒ่า คิดจะหลบหนีหลังจากที่ส่งคนลอบไปรวบรวมแผ่นหยกอันล้ำค่าหรือ? อย่าได้คิดขยับเชียว!”
ฉางปินตะโกนเสียงดังลั่น ก่อนจะฟันกระบี่วิญญาณโลหิตบงกชสีชาดในมือ จากนั้นปราณกระบี่สีโลหิตขนาดมหึมาก็ผ่าตรงไปยังฟู่เหิง
ระยำเอ๊ย! ข้าก็ตกหลุมพรางกลอุบายนี้เช่นกัน เจ้าไม่เข้าใจหรือ?
ฟู่เหิงโกรธจนถึงขั้นที่ใบหน้าซูบตอบของเขาสั่นไหว จากนั้นเขาก็ดึงโล่ที่ทำมาจากขนนกออกมาเพื่อป้องกันปราณกระบี่สีเลือดขนาดมหึมาที่พุ่งทะยานเข้าหาเขา
เขาหาได้รู้จักเฉินซี แต่การที่อีกฝ่ายกล่าวถึงนิกายหงสาเมฆาชาดก่อนหน้านี้ จึงทำให้เขากลายเป็นศัตรูกับทุกคนและถูกไล่ล่าอย่างเอาเป็นเอาตายทันที ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของซูเจียวหรือไฉ่เล่อเทียนต่างมองว่ากลุ่มของเขาเป็นคนน่าชิงชังที่คิดขโมยแผ่นหยกอันล้ำค่าและจู่โจมเขาอย่างโหดเหี้ยม ทั้งยังบีบบังคับให้เขาไม่อาจอดกลั้นต่อการถูกโจมตีอีกต่อไป
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
กระบี่วิญญาณโลหิตบงกชสีชาดเป็นดั่งค้อนยักษ์ที่ทุบกระแทกเข้าใส่โล่ขนนกซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลังอันน่าสะพรึงกลัวจากกระบี่พุ่งเข้าใส่ฟู่เหิง จนร่างกายของเขาสั่นสะท้านไม่หยุด สีหน้าของเขาซีดเผือดลง เขาไม่อาจสกัดกั้นมันได้อีกต่อไปและกระอักเลือดออกมาเต็มปาก
ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์! ผู้บริสุทธิ์น่ะเข้าใจไหม!
ฟู่เหิงกู่ร้องอยู่ภายในใจ แม้ว่าเขาจะไม่เคยพบกับเฉินซีมาก่อน แต่ยามนี้เขาเกลียดอีกฝ่ายเข้ากระดูกดำเสียแล้ว
ไม่ใช่แค่เพียงฟู่เหิง ทุกคนในกลุ่มของชายชราต่างก็ทุกข์ทรมานเช่นเดียวกัน พวกเขาถูกกลุ่มของซูเจียวและไฉ่เล่อเทียนไล่ล่าด้วยเจตนาฆ่า แต่เมื่อพวกเขาคิดจะโต้กลับ พวกเขากลับสังเกตเห็นว่ากลุ่มของซูเจียวและไฉ่เล่อเทียนต่างก็รบกันเองเช่นกัน สถานการณ์ที่วุ่นวายเยี่ยงนี้ทำให้พวกเขาไม่อาจระบุได้ว่าใครคือศัตรู!
เป็นไปได้ไหมว่าเราต้องอยู่นิ่งเสียก่อนและคอยรับการโจมตีของพวกมัน ก่อนที่จะโต้ตอบกลับไป?
น้ำตาได้ไหลอาบบนใบหน้าของพวกฟู่เหิงที่ไม่ควรประสบภัยพิบัติเยี่ยงนี้
…
ภายนอกห้องโถงตำรา
หลังจากตะโกนออกไปก่อนหน้านี้ เฉินซีก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและรีบทะยานไปตามทางเดินลับที่ซ่อนอยู่ ร่องรอยความรู้สึกผิดที่ไม่อาจลบล้างกลับเพิ่มขึ้นในใจของเขา ขณะที่เขาได้ยินเสียงการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวสะท้อนก้องออกมาจากภายในห้องโถง เขารู้สึกว่าได้กระทำสิ่งที่ผิดมหันต์ต่อตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อและซ่งหลินลงไปเสียแล้ว
ตั้งแต่เข้าสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพจนถึงจุดที่พวกเขาก้าวเข้าสู่เทือกเขาเปลวเพลิงสีชาด คนทั้งสามได้ดูแลเฉินซีเป็นอย่างดีและถือว่าเขาเป็นสหายผู้หนึ่ง แต่สิ่งที่เขากล่าวออกไปเมื่อครู่ได้ผลักทั้งสามเข้าสู่การรบราอันวุ่นวาย จนถึงตอนนี้เฉินซีก็เริ่มรู้สึกผิดต่อพวกเขามากขึ้น
เป็นภัยพิบัติที่ไม่สมควรจะได้รับ!
ข้าแค่หวังว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอด ได้โปรดอย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเลย…
เฉินซีส่ายศีรษะหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งอย่างเงียบ ๆ จากนั้นเขาก็ละทิ้งความคิดในใจ ก่อนที่จะวิ่งไปตามทางเดินเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ซึ่งมุ่งหน้าไปยังห้องโถงสมุนไพรร้อยแปด
จากการคาดคะเนของเขา การต่อสู้ภายในห้องโถงตำราจะดำเนินต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินผู้แพ้ชนะ ดังนั้นระหว่างที่ทั้งสามกลุ่มต่อสู้กันอยู่ เขาย่อมใช้โอกาสนี้เก็บเกี่ยวของล้ำค่าทั้งหมดในห้องโถงสมุนไพรร้อยแปด
ผ่านไปราวครึ่งก้านธูปไหม้ เฉินซีก็ก้าวเท้าเข้าไปในห้องโถงสมุนไพรร้อยแปด
ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปข้างใน ปราณวิญญาณหนาแน่นที่ลอยอยู่ในอากาศได้รวมตัวกลายเป็นม่านหมอก และเมื่อสูดหายใจเข้า ปราณวิญญาณบริสุทธิ์เหล่านี้ก็ไหลผ่านไปทั่วร่างกายของเฉินซี ทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณของชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยความสดชื่น
ช่างเป็นสถานที่อันยอดเยี่ยมมาก!
สิ่งก่อสร้างนี้คงอยู่มาเนิ่นนานนับหนึ่งหมื่นปี แต่ปราณวิญญาณของที่นี่ยังคงหนาแน่นอย่างไม่น่าเชื่อ! ภายใต้การหล่อเลี้ยงปราณวิญญาณที่หนาแน่นเช่นนี้ คุณภาพของพันธุ์พืชและสมุนไพรล้ำค่าก็ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
เฉินซีไม่ลังเลและเริ่มค้นหาไปทั่วทั้งห้องโถงสมุนไพรร้อยแปด
ห้องโถงสมุนไพรร้อยแปดครอบคลุมพื้นที่ประมาณสองร้อยห้าสิบลี้ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าห้องโถงสมบัติและห้องโถงตำราถึงหนึ่งร้อยเท่า หลังจากใช้เวลาเกือบสี่ชั่วยาม ในที่สุดเฉินซีก็พบที่ตั้งของทุ่งเพาะปลูกวิญญาณ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ทุ่งเพาะปลูกวิญญาณมีพื้นที่ทั้งหมดราวสามสิบห้าลี้ เมฆหมอกลอยละล่องอยู่เหนือทุ่ง เมฆหมอกนี้เป็นดั่งปุยฝ้ายและเปล่งประกายระยิบระยับ เฉินซีตกตะลึงเมื่อเห็นมันขยายตัว ราวกับพวกมันถูกควบแน่นด้วยปราณวิญญาณทั้งหมด! อย่างไรก็ตาม เมื่อจ้องมองลงมายังพื้นที่เพาะปลูกวิญญาณ เขาก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง
สมุนไพรวิญญาณถูกปลูกอยู่ในดินที่มีสีดำสนิทและมันวาว แต่เขากลับเห็นมันได้เพียงหร็อมแหร็ม เนื่องจากสมุนไพรทุกต้นล้วนเหี่ยวเฉาและแห้งตายไปแล้ว
ที่แห่งนี้ไม่มีสมุนไพรวิญญาณที่เหลือรอดเลยสักต้น!
แปลกนัก… ปราณวิญญาณที่นี่มีมากมายล้นเหลือ เหตุใดพืชวิญญาณเหล่านี้ถึงเหี่ยวแห้งและตายไป?
เฉินซีขมวดคิ้วและเดินเข้าไปในทุ่งเพาะปลูกวิญญาณ
หลังจากเดินลึกไปเกือบยี่สิบลี้ เฉินซีก็ได้ยินเสียงน้ำไหลเบา ๆ และสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง ยิ่งเขาเดินลึกเข้าไปมากเท่าไร ปราณวิญญาณที่อยู่รอบกายก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้นเท่านั้น
เฉินซีพุ่งทะยานไปตามเสียงของสายน้ำ ก่อนที่จะเห็นบ่อน้ำพุอันบริสุทธิ์ประดุจน้ำนมซึ่งปล่อยปราณวิญญาณออกมาอย่างน่าตกตะลึง
มันคือน้ำพุวิญญาณ!
เฉินซีระลึกถึงสิ่งที่เรียกว่าน้ำพุวิญญาณได้จากการชำเลืองมองเพียงครั้งเดียว และเขาก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเส้นชีพจรวิญญาณระดับสูงสุดจะถูกซุกซ่อนอยู่ที่นี่?
ขุมอำนาจส่วนใหญ่ในโลกมักครอบครองพื้นที่ซึ่งอุดมไปด้วยปราณวิญญาณ เพราะมันเป็นสถานที่อันเหมาะสมแก่การบ่มเพาะ ส่วนเหตุผลที่ว่า เหตุใดปราณวิญญาณในพื้นที่เหล่านั้นจึงมีมากมายนั่นก็เพราะการมีอยู่ของเส้นชีพจรวิญญาณ
เส้นชีพจรวิญญาณถูกแบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ ตามคุณภาพของมัน ดังนั้นน้ำพุวิญญาณจึงมักจะดึงดูดผู้บ่มเพาะจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามา และมันก็มักจะปรากฏใกล้เคียงกับเส้นชีพจรวิญญาณชั้นยอดเท่านั้น!
นี่เป็นเพราะว่าน้ำพุวิญญาณที่ไหลออกมาเป็นวารีวิญญาณที่ควบแน่นจากปราณวิญญาณ หลังจากที่ผู้บ่มเพาะก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว ศิลาวิญญาณและผลึกวิญญาณจะไร้ประโยชน์สำหรับพวกเขา คนเหล่านั้นจึงต้องบ่มเพาะด้วยวารีวิญญาณเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้บ่มเพาะทั่วไปการรับวารีวิญญาณหาใช่เรื่องง่าย เว้นแต่จะเป็นศิษย์ของนิกายหรือตระกูลที่ยิ่งใหญ่ มิเช่นนั้นก็มีแต่คนรวยเท่านั้นที่สามารถซื้อวารีวิญญาณด้วยศิลาวิญญาณหรือผลึกวิญญาณจำนวนมหาศาลได้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดวารีวิญญาณถึงล้ำค่านัก
เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึกและละสายตาออกจากน้ำพุวิญญาณด้วยความฝืนใจ ในตอนนี้ เขาเห็นดอกบัวอันละเอียดอ่อนและสวยงามที่เปล่งแสงในหมอกสีทองอย่างชัดเจน มันเติบโตบนทุ่งเพาะปลูกวิญญาณที่อยู่ใกล้น้ำพุวิญญาณใต้หมอกหนาทึบซึ่งควบแน่นจากปราณวิญญาณ
ดอกบัวนี้มีขนาดไม่ใหญ่นักและสูงเพียงสองฉื่อ ก้านของมันวาววับดุจทองคำที่ปกคลุมไปด้วยหนามเล็กแหลมเรืองแสงแวววาวราวกับโลหะ กลีบบัวสีทองบานอย่างเต็มที่ และมีเกสรตัวผู้กับเกสรตัวเมียที่เหมือนเข็มสีทองประสานเข้าไว้ด้วยกัน ดอกบัวเหล่านั้นไร้ที่ติราวกับเป็นปาฏิหาริย์ของเทพแห่งการสร้างสรรค์
ทว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตาของเฉินซีมากที่สุดคือผลไม้สีทองที่ผุดขึ้นตรงกลางของกลีบดอกบัว มันมีขนาดเท่าไข่ห่านและกลมมน พื้นผิวของมันถูกเคลือบด้วยปราณอันแหลมคมซึ่งทำให้มันดูลึกลับอย่างยิ่ง
สิ่งนี้คือ…
เฉินซีเค้นสมองของเขาแต่ไม่อาจเข้าใจได้ว่าดอกบัวสีทองนี้คือสิ่งใด แต่จากรูปลักษณ์ภายนอก เฉินซีก็สามารถระบุได้ว่าสิ่งนี้เป็นพืชวิญญาณที่เป็นสมบัติล้ำค่าของสวรรค์และโลกอย่างแน่นอน!
“ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ดวงจิตทองคำ!” จี้อวี๋ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศและอุทานออกมาอย่างไม่ตั้งใจเมื่อเขาจดจ้องไปที่ดอกบัว
โฮก!
ลูกปี่เซียะในอ้อมแขนของจี้อวี๋ ดมกลิ่นอยู่ครู่หนึ่งและดวงตาของมันก็สว่างขึ้นในทันที จากนั้นมันพยายามดิ้นรนที่จะโผเข้าหาดอกบัว แต่ถูกมือใหญ่ของชายชรากดเอาไว้ ทำให้เจ้าตัวเล็กแยกเขี้ยวและส่งเสียงขู่ไม่หยุด
“ผู้อาวุโส ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ดวงจิตทองคำคือสิ่งใด?”
เฉินซีรีบยืนขวางอยู่เบื้องหน้าของดอกบัวขณะที่เขาถาม จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่ทารกปี่เซียะอย่างระแวดระวัง เมื่อเขาระลึกถึงสมบัติทั้งหมดที่อยู่ในห้องโถงสมบัติถูกกลืนกินโดยเจ้าตัวเล็กตัวนี้ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก
“ดอกบัวนี้เป็นขุมทรัพย์ดวงจิตทองคำที่เกิดจากธาตุทั้งห้าและมีเปลือกวิญญาณทองคำบริสุทธิ์โดยกำเนิด แม้แต่ในสมัยก่อนก็นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ดวงจิตทองคำนี้เกิดจากธาตุโลหะของธรรมชาติและดูจากสภาพของมัน เห็นได้ชัดว่ามันอยู่ในระยะสมบูรณ์แล้ว”
แววตาของจี้อวี๋ลุกโชนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น และเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและริษยายามที่เขากล่าวขึ้น “ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ดวงจิตทองคำหลังจากสิบปีจะกลายเป็นหน่อบัว ในหนึ่งร้อยปีจะเป็นดอกตูม และในหนึ่งพันปีจะผลิบาน เมื่อได้รับการเพาะเลี้ยง ผ่านไปห้าพันปีจะออกผล หลังจากนั้นจะขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงกลมทุก ๆ หนึ่งพันปี จนมีขนาดเท่ากำปั้นของทารก หากเก็บเกี่ยวไม่ถูกจังหวะเวลา มันจะหล่นลงสู่พื้นดินและเปลี่ยนกลับเป็นปราณวิญญาณสลายหายไปเป็นธาตุทั้งห้าของสามภพ”
เฉินซีก้มศีรษะลงและวัดขนาดอยู่ชั่วครู่ ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ดวงจิตทองคำเบื้องหน้าเขาบังเอิญมีขนาดเท่ากับหมัดของทารก และมันก็ใกล้จะถึงช่วงสมบูรณ์แล้ว!
“นี่มันไม่บังเอิญเกินไปหน่อยหรือ?” เฉินซีรู้สึกตะลึงและไม่รู้ว่าจะแสดงออกอย่างไร แต่แน่นอนว่าความรู้สึกหนึ่งในใจของเขาที่ชัดเจนคือความสุข
จี้อวี๋รู้สึกว่ามันไม่น่าเชื่อเช่นกัน แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของปี่เซียะที่อยู่ในอ้อมแขนตนเอง ชายชราจึงมั่นใจว่าตนไม่ได้ตาฝาด “เมื่อโชคลาภมาเยือนก็ไม่อาจหยุดยั้งได้”
“ใครบอกว่ามันหยุดไม่ได้” ในเวลานี้เองที่เสียงเย็นยะเยือกก็ดังขึ้น จากนั้นหมอกหนาทึบที่อยู่ด้านหลังเฉินซี ก็เริ่มลุกลามอย่างกะทันหัน และเงาร่างสี่ห้าร่างก็ปรากฏขึ้นอย่างทันควัน
“บัดซบ! ความสนใจทั้งหมดของข้าถูกชักจูงโดยดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ดวงจิตทองคำเพียงต้นเดียว เหตุนี้ไม่ควรเกิดขึ้นจริง ๆ ที่เหลือจากนี้ฝากเจ้าจัดการด้วย อ้อ ข้าเพียงบอกได้ว่าหากดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ดวงจิตทองคำถูกผู้อื่นแย่งชิงไปเจ้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต” จี้อวี๋ส่ายศีรษะขณะที่เขาสั่งเฉินซีก่อนที่จะหายตัวไป
“เฉินซี ไม่พบกันเสียนานเลย!” ภายในหมอกที่ปกคลุม ร่างสูงโปร่งก็ปรากฏตัวต่อหน้าเฉินซี เขามีคิ้วรูปกระบี่และดวงตาที่เปล่งประกาย ผมยาวประบ่า เขามองไปที่เฉินซีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชิงชัง
หลี่ไฮว่!
เฉินซีตกตะลึง ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้พบกับเจ้านี่ที่นี่ แต่เขายังคงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อพบว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่เขาเคยเอาชนะได้มาก่อน
ชายหนุ่มสามคนยืนอยู่ด้านหลังหลี่ไฮว่ พวกเขาทั้งหมดเผยแววตาเย็นชา เมื่อเฉินซีเห็นคนเหล่านี้ก็มองออกได้ทันทีว่าทั้งสามคนนี้ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล อย่างมากที่สุดอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์
“นี่คือดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ดวงจิตทองคำที่เจ้ากล่าวถึง? อืม…มันดูไม่ธรรมดาอย่างที่คาดไว้” หลี่ไฮว่จ้องมองไปที่ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ดวงจิตทองคำบนทุ่งเพาะปลูกวิญญาณ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความละโมบที่ไม่อาจปกปิดได้
‘ดูเหมือนว่ามันจะได้ยินทุกอย่างที่ข้ากับผู้อาวุโสจี้อวี๋คุยกัน เดิมทีข้าตั้งใจจะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักสองสามวัน แต่เพื่อไม่ให้ความลับนี้รั่วไหลออกไป ข้าคงทำได้เพียงแต่ฆ่าเขาปิดปากเท่านั้น…’ เฉินซีครุ่นคิดอย่างรวดเร็วและตัดสินใจได้ในทันที จิตสังหารภายในร่างปะทุอย่างรุนแรง
“ต้องการที่จะฆ่าข้า? ฮะฮ่า! ภายในที่พำนักของเซียนกระบี่ การบ่มเพาะของข้าไม่ได้ถูกจำกัดอีกต่อไป เจ้ายังจะมีโอกาสเอาชนะเมื่อเผชิญหน้ากับข้าที่มีการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลอยู่อีกหรือ?”
หลี่ไฮว่หัวเราะเสียงดังลั่น น้ำเสียงของเขาเผยให้เห็นถึงความอาฆาต แน่นอนว่าเขายังจดจำตอนที่พ่ายแพ้แก่เฉินซีได้ไม่ลืม “เมื่อข้าฆ่าเจ้า ข้าจะเอาดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ดวงจิตทองคำนี้มอบให้กับคุณหนูซูและใช้สิ่งนี้เป็นโอกาสเพื่อที่นางจะตกลงแต่งงานกับข้า!”
“เจ้ากำลังจะตายอยู่แล้วเหตุใดเจ้ายังกล่าววาจาไร้สาระออกมาอีก?” เฉินซีส่ายศีรษะและจ้องมองไปยังหลี่ไฮว่ด้วยสายตาเย็นชา