บทที่ 62 หลีหู่
บทที่ 62 หลีหู่
บนยอดเขาวงจันทราถูกปกคลุมด้วยทะเลหมอก
“เขามาแล้ว! ผู้อาวุโสช่วยข้าด้วย!” เมื่อได้ยินเสียงที่ใกล้เข้ามาทุกที ๆ ใบหน้าของมู่ขุยพลันเหยเกดูน่าสมเพช ขณะที่เขาเฝ้าโขกศีรษะคำนับคนตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เฉินซีเองก็จนปัญญาและได้แต่ส่ายหน้า “ถ้าเจ้าไม่รีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ข้าจะไม่ช่วยจริงด้วย”
มู่ขุยได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็สดชื่นขึ้นด้วยความดีใจ ก่อนจะก้มศีรษะลงโขกกับพื้นอีกสามครั้งและบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงร้อนรนกระวนกระวายอย่างไม่ปกปิด “ขอบพระคุณผู้อาวุโสเหลือเกินขอรับ!”
มิทันไร ชายหนุ่มสวมผ้าคลุมสีแดงผู้หนึ่งก็ทะยานขึ้นมายืนอยู่ที่หน้าผาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาอมชมพูระเรื่อ ริมฝีปากเม้มเรียบเนียนราวเนื้อหยก กล่าวได้ว่าเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ประกอบกับดวงตาคมกริบรับกับคิ้วเรียวยาว ที่สะดุดตามากที่สุดก็คือรอยสักเปลวไฟบนหน้าผากที่มีเปลวไฟลุกโชน ยิ่งเพิ่มความร้ายกาจให้แก่เจ้าตัวให้มากขึ้น
“มู่ขุย ไอ้ตัวแสบ! ข้าไม่คิดมาก่อนว่าคนอย่างเจ้าจะมีผู้ช่วยเสียด้วย! แต่ดูเหมือนเจ้าจะได้รับบาดเจ็บสินะ” ชายหนุ่มคนนั้นเหลือบมองเฉินซีด้วยแววตาประหลาดใจ จากนั้นจึงมองเลยไปทางมู่ขุยที่บาดเจ็บทั่วตัวพลางเบ้ปากทำนองเยาะเย้ย
เฉินซีแทบไม่อยากเชื่อสายตา ด้วยหลังจากที่ได้ยินเสียงแหบห้าวซึ่งบ่งบอกถึงพลังอันลึกล้ำของอีกฝ่าย เดิมทีเขายังคิดว่าแม้หลีหู่คนนี้จะมาในร่างมนุษย์ เขาก็น่าจะมีรูปร่างใหญ่โตแข็งแกร่งเสียมากกว่า ไม่คิดมาก่อนว่าคนที่โผล่มาจะกลายหนุ่มรูปงามไปได้!
เมื่อรู้ว่ามีเฉินซีคอยหนุนหลัง มู่ขุยจึงใจกล้ามากขึ้นพลันระเบิดเสียงตะโกนตอบโต้อย่างแค้นเคือง “ไอ้หลีหู่ เจ้ายั่วโทสะข้าหลายหนแล้ว คิดว่าข้าจะกลัวสินะ”
คนตรงข้ามส่ายหน้าพลางเบ้ปากอย่างเหยียดหยาม ก่อนจะหันไปชี้หน้าเฉินซีพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงห้าวลึกว่า “เด็กน้อย ข้าจะบอกอะไรให้ เจ้ารีบถอยไปเสีย อย่าหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเพราะเจ้ามู่ขุยจะดีกว่า ท่านปู่ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้เป็นถึงอสูรเพลิงพยัคฆ์ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ ถ้าข้าจะฆ่าหารเจ้ามันง่ายยิ่งกว่าบี้มดเสียอีก หลีก…ไป!”
“ไร้มารยาท! เจ้ากล้าดูถูกผู้อาวุโสเชียวหรือ เจ้า…ไอ้พยัคฆ์ปัญญาอ่อน รนหาที่ตายแท้ ๆ! รู้ไว้ด้วยถ้าวันนี้เจ้าต้องตายก็เพราะตัวเอง… หลีหู่…เจ้าตายแน่!” มู่ขุยแหกปากดังลั่น จากนั้นก็ตั้งท่าจะพุ่งไปข้างหน้า
“ข้าเอง” เสียงราบเรียบเหมือนไม่ยินดียินร้ายของเฉินซีดังขึ้นขัดจังหวะ พร้อมด้วยพลังกดดันที่ยากเกินต้านทานได้ทำให้หัวใจของมู่ขุยกลับสงบลงอย่างไม่มีสาเหตุ ดังนั้นเขาจึงถอยหลังไปทันทีและหยุดยืนอยู่ด้านข้างอย่างให้เกียรติอีกฝ่าย ทันทีที่หวนนึกถึงเหตุการณ์เผชิญหน้าอย่างน่าอนาถใจของตนเองกับเฉินซี พลันสายตาที่เบนไปมองหลีหู่ก็ปรากฏร่องรอยของความเวทนาฉายวาบ
ตึก! ตัก!
เฉินซีก้าวออกไปและพร้อมการเคลื่อนไหวนี้เอง ภาวะอารมณ์ของเขาก็ได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เวลานั้นเองร่างสูงจึงได้ปลดปล่อยกระแสพลังการเข่นฆ่าออกมา ประหนึ่งคมกระบี่กระหายเลือดถูกกระชากออกจากฝักฉับพลัน
ซี้ดดดด!
มู่ขุยตะลึงงันจนอ้าปากค้างก่อนจะตระหนักว่า เห็นทีนี่จะเป็นพลังที่แท้จริงของผู้อาวุโสสินะ แสดงว่าก่อนหน้านั้นที่เขาเอาชนะข้า ผู้อาวุโสยังไม่ได้ใช้พลังอย่างเต็มที่เป็นแน่…
“ไอ้หนูเจ้าเป็นใคร เอ่ยชื่อมา…เร็ว!”
กระแสพลังเข่นฆ่าที่ไม่มีผู้ใดทัดเทียมซึ่งปลดปล่อยออกมาจากร่างของคนตรงหน้า ทำให้หัวใจของหลีหู่ไหววูบอย่างน่าประหลาด ด้วยรู้ตัวว่าตนเองได้พบกับคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามเข้าให้แล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจออกปากถามเฉินซีเพื่อหยั่งเชิงก่อน
‘แม้แต่มู่ขุยยังรู้ได้ทันทีว่า ข้าเป็นมนุษย์เพียงชำเลืองมองแวบเดียว แต่หลีหู่กลับไม่ได้เฉลียวใจสักนิด มันเป็นพยัคฆ์โง่จริง ๆ’
ความรู้สึกสมเพชเกิดขึ้นในใจของเฉินซี ขณะที่เจตนาเข่นฆ่าผุดขึ้นมาในใจของชายหนุ่มทันใด
มันหนาแน่นขึ้นทุกขณะ
ท่านปู่เฉินเทียนลี่เป็นบรรพบุรุษของเฉินซี สำหรับเขา ท่านปู่เป็นเสมือนเกล็ดย้อนที่มิอาจแตะต้อง ทว่าเจ้าหลีหู่นั่นกล้าเรียกแทนตัวว่าท่านปู่ทุกคำ เท่ากับเป็นการยั่วยุเขาให้ขุ่นเคืองอย่างไม่ต้องสงสัย
“ข้าจะตัดลิ้นของเจ้าเสียแล้วค่อยไว้ชีวิตเจ้า” เฉินซีเค้นเสียงพูดอย่างเย็นชา
“เจ้ามันยโสกว่าท่านปู่หลีหู่เสียด้วย ช่วยไม่ได้เจ้าอยากรนหาที่ตายเอง!” หลีหู่ระเบิดเสียงอย่างฉุนเฉียว ทันใดนั้นปราณอสูรก็แผ่ซ่านออกจากกาย ลูกตาสองข้างกลายเป็นแดงคล้ำราวกับโลหิตคั่งอยู่ข้างใน
ฟิ้ว!
ด้วยโทสะอันพลุ่งพล่าน หลีหู่จึงตัดสินใจเคลื่อนไหวก่อนเพื่อชิงความได้เปรียบทันที อุ้งมือของเขาใหญ่ราวใบพัด กรงเล็บแหลมคมยาวกว่าครึ่งหลา เปรียบดั่งคมกระบี่สิบเล่มฉาบด้วยแสงแดงฉาน จากนั้นเขาก็ทะยานเข้าใส่เฉินซีโดยหมายบดขยี้คนตรงหน้าให้แหลกคามือ
แควกกก!
ขณะที่ร่างนั้นพุ่งออกมา ผ้าคลุมสีแดงที่หลีหู่สวมใส่ก็ฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปในทันที จากนั้นจึงเผยให้เห็นร่างกายท่อนบนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามตึงเปรี๊ยะและแข็งแรงดั่งหินผาของเขา ซึ่งแผ่รังสีเปล่งประกายเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน
สัตว์อสูรพยัคฆ์ตนนี้มันถึงจุดแปรสภาพร่างกายแล้วสินะ
ดวงตาของเฉินซีเป็นประกายวับ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับยิ่งใหญ่ที่มีทักษะแปรสภาพร่างกายเช่นนี้ พลังการต่อสู้ของเขาพลันลุกโชนขึ้นทันที ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ได้กระตุ้นพลังแก่นแท้ออกมาใช้ขณะที่เขากำลังพุ่งเข้าหาหลีหู่
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ขณะนั้นเฉินซีและหลีหู่ถูกจำกัดการต่อสู้กันอยู่ในลาน ฝ่ายเฉินซีใช้วิชาหมัดถล่มทลายขั้นเอกภาพเพื่อรับมือกับหลีหู่ เป็นการต่อสู้แบบซึ่งหน้าตัวต่อตัว
การเคลื่อนไหวของเขาดุจคันธนูที่ง้างจนสุดแรง จนปรากฏเสียงกึกก้องดังสนั่นปานฟ้าผ่า!
ร่างกายของเฉินซีเปรียบดั่งคันธนูขนาดใหญ่ที่ง้างจนตึงเต็มพิกัด ความแข็งแกร่งอย่างน่าสะพรึงกลัวแฝงอยู่ภายใต้มัดกล้ามและผิวหนัง บัดนี้มันได้ไหลรวมไปยังข้อต่อทุกส่วนในร่างกาย ทันทีที่เขาเงื้อหมัดฟาดจึงไม่ต่างกับลูกธนูพุ่งจากเกาทัณฑ์ ซึ่งทำให้ปรากฏเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังสนั่น
ชายหนุ่มชกหมัดถล่มทลายออกไปเต็มแรง พลังรุนแรงที่แฝงอยู่ในกายก็พุ่งผ่านหมัดนั้นพร้อมกัน จนเกิดเป็นแรงสะเทือน ณ จุดศูนย์กลาง ก่อนจะก่อเป็นระลอกคลื่นวงแล้ววงเล่า!
ส่วนหลีหู่นั้น แม้เขาจะบ่มเพาะถึงขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์ แต่ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเคล็ดวิชาต่อสู้กลับธรรมดาและค่อนข้างตื้นเขิน ถ้าอย่างนั้นเขาก็คืออสูรเพลิงพยัคฆ์ จึงมีร่างกายแข็งแกร่งผิดมนุษย์เป็นธรรมดา และยังฝึกฝนบ่มเพาะพลังแปลงกายด้วยทักษะแปรสภาพร่างกาย ดังนั้นในเชิงความแข็งแกร่งของร่างกาย เขาจึงไม่ด้อยกว่าเฉินซีแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้หลีหู่จะถูกบีบให้ต้องล่าถอยไปอย่างต่อเนื่อง แต่โอกาสที่เฉินซีจะสยบมันด้วยระยะเวลาอันสั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย
“พลังฝึกบ่มเพาะแปรสภาพร่างกายของผู้อาวุโสคนนี้ช่างน่าทึ่งเหลือเกิน หลีหู่เป็นถึงอสูรพยัคฆ์ที่เกิดมาด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งทรงพลังขนาดนี้ ยังถูกรุกไล่จนไม่สามารถโต้กลับได้เลย ยิ่งกว่านั้นหากเปรียบเทียบทักษะวิทยายุทธ์ของทั้งสองฝ่ายแล้ว วิชาหมัดของผู้อาวุโสน่าเกรงขามมากและเห็นชัดว่าบรรลุขั้นเอกภาพแล้ว…”
ห่างออกไป มู่ขุยเฝ้าดูการต่อสู้ด้วยดวงตาเป็นประกายเป็นพิเศษ ยิ่งเขารับรู้ถึงความแข็งแกร่งของเฉินซีมากเท่าใด มันก็ยิ่งทำให้เขาเคารพนับถือชายหนุ่มผู้นี้มากขึ้นเท่านั้น และตั้งปณิธานกับตนเองว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ตนจะอยู่เคียงข้างเฉินซี!
“เป็นไปได้อย่างไร ข้าฝึกทักษะแปรสภาพร่างกายมานานนับพันปี อีกไม่กี่ก้าวก็จะเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลและกลายเป็นราชาอสูรแล้ว แต่กลับมาถูกบีบให้ล่าถอยเช่นนี้ได้อย่างไร?” สีหน้าของหลีหู่ดุดันยิ่งขึ้น เมื่อเฉินซีชกหมัดออกคราใด จุดตายบนร่างกายของมันถึงกับสะท้านสะเทือนทุกครั้งไปกระทั่งเลือดในกายยังถูกแผดเผาจนร้อนรุ่ม อีกทั้งกระดูกกระเดี้ยวทุกชิ้นพานเจ็บปวดรวดร้าวไปหมด ช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเอาเสียเลย ในใจรู้สึกเจ็บปวดสุดแสน
กรรรร!
เสียงคำรามดุร้ายกระโชกรุนแรงพร้อมเสียงกระแทกดังเปรี้ยงบนยอดเขา ร่างกายของหลีหู่สั่นสะท้านเพียงเล็กน้อย จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นเสือโคร่งยักษ์ ลำตัวยาวห้าจั้งเศษและสูงเกือบหนึ่งจั้ง ยามนี้เขี้ยวแหลมคมของพยัคฆ์หลีหู่คมกริบประหนึ่งดาบ กรงเล็บขนาดใหญ่ราวกับคมมีด ปลดปล่อยปราณอสูรอำมหิตออกมาอย่างแรงกล้า
“ผ่านมานานเพียงใดแล้วนี่? เจ้าเป็นคนแรกที่บังคับให้ข้าต้องคืนร่างเดิม ฉะนั้นจงตายซะเถอะ!” หลีหู่คำรามขึ้นฟ้า
ฟิ้ววว!
ร่างที่เป็นดั่งลูกไฟกระโจนเข้าใส่เฉินซีด้วยความเร็วซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมถึงสองเท่า!
“ผู้อาวุโสระวัง!” เสียงของมู่ขุยตะโกนบอกดังลั่นมาแต่ไกล “หลีหู่กลับคืนร่างสัตว์อสูรแล้ว พลังของมันจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยสองในสิบส่วน!”
ต้องทุ่มสุดตัวแล้ว
เฉินซีลอบทอดถอนใจ ยามต่อสู้กับหลีหู่ทำให้เขาเข้าใจเกี่ยวกับวิชาหมัดของตัวเองลึกซึ้งยิ่งขึ้น แม้แต่พลังหมัดถล่มทลายที่ค้างอยู่ในขั้นเอกภาพมานาน ก็มีวี่แววว่าจะได้ทะลวงระดับ ทว่าในช่วงวิกฤตเช่นนี้ หลีหู่กลับกลายร่างเป็นสัตว์อสูร จึงทำให้เขาต้องเปลี่ยนวิธีต่อสู้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มหัวเสียเล็กน้อย
“ตายเสียเถอะ!” เสียงตะโกนด้วยความโกรธจัดของหลีหู่ดังขึ้นขณะเดียวกันเขาก็ปรากฏตัวต่อหน้าเฉินซีพร้อมกับอ้าปากกว้าง จนเผยให้เห็นคมเขี้ยวน่าสยดสยองหมายจะกัดขย้ำศีรษะของเฉินซี!
เฉินซีสูดลมหายใจลึก บัดนี้เขาไม่อาจปกปิดพลังที่แท้จริงของตนได้อีกต่อไป ชายหนุ่มจึงจัดการกระตุ้นปราณแท้ ขณะเดียวกันสันหมัดของเขาได้ปลดปล่อยพลังลึกลับบางอย่างออกมาอย่างเงียบเชียบ พลังซึ่งสามารถทำให้หัวใจของฝ่ายตรงข้ามถึงกับสั่นระริก
เก่าแก่ เวิ้งว้าง และเย็นยะเยือก…
ตั้งแต่เฉินซีบรรลุขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ อักขระจ้าววิญญาณได้ปรากฏขึ้นที่แผ่นหลังของเขาอย่างน่าพิศวง ชายหนุ่มพบว่าเมื่อเขากระตุ้นพลังหมัดถล่มทลายด้วยพลังในกาย กลุ่มก้อนพลังลึกลับบางอย่างจะแผ่ออกจากเนื้อหนังมังสาของตน พลังนี้มีลักษณะเป็นกลุ่มก้อนเบาบาง หากเขาไม่ได้สัมผัสมันด้วยตนเองแล้ว คงยากที่จะสังเกตเห็น
ปราณจ้าววิญญาณ!
พลังชนิดนี้ถูกบันทึกไว้ในทักษะวิชาแปลงร่างดาราสังหารเอกภพเมื่อใดที่ผู้บ่มเพาะได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว พลังจะกลั่นอักขระจ้าววิญญาณและแผนภาพดาราออกมา จากนั้นพลังอันน่าสะพรึงกลัวและลึกลับที่เรียกว่าปราณจ้าววิญญาณ จะพุ่งทะยานจากภายในทันที
เช่นเดียวกับปราณแท้ ยิ่งผู้บ่มเพาะฝึกฝนก็จะยิ่งสั่งสมปราณในกายได้มากขึ้น และปราณจ้าววิญญาณเองก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปในเชิงคุณภาพ ปราณจ้าววิญญาณคือสิ่งที่ผู้บ่มเพาะกายาขอบเขตตำหนักอินทนิลนำมาใช้ออกกระบวนท่าควบคุมพลังธรรมชาติเท่านั้น ซึ่งมันมีพลังทำลายล้างรุนแรงระดับเหนือจินตนาการ!
เปรี้ยง!
เฉินซีก้มศีรษะลงเล็กน้อยขณะเบี่ยงหลบไปทางข้าง ทำให้เขารอดพ้นจากคมเขี้ยวของพยัคฆ์หลีหู่ที่กระโจนเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ขณะเดียวกันมืออีกข้างของเขาก็เหวี่ยงกลับพร้อมกระแทกหมัดออกไปอย่างแรงดั่งสายฟ้าฟาด
ฟู่!
เวลานั้นพลังหมัดขวาของเฉินซีฟาดไปที่แนวกรามล่างของหลีหู่จนหักสะบั้นทันที ก่อนที่หมัดข้างเดียวกันนั้นจะพุ่งทะลวงผ่านศีรษะของหลีหู่จากล่างขึ้นบนอย่างง่ายดาย โลหิตแดงฉานพุ่งออกมาจากรูกลวงนั้น
“อ๊ากกก!” โลหิตแดงฉานสาดกระเซ็นในอากาศเหนือบริเวณหน้าผาแห่งนั้น อาบย้อมสายหมอกที่ลอยผ่านมาจนเปลี่ยนเป็นสีโลหิต ขณะที่หลีหู่ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมานจนน่าสังเวช ต่อมาร่างของมันก็กระเด็นไปไกลหลายจั้งด้วยแรงสะบัดของเฉินซี ก่อนจะตกลงไปดิ้นทุรนทุรายอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก จนกระทั่งในที่สุดก็ขาดใจตาย
อาจดูเหมือนว่าเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทว่านับตั้งแต่หลีหู่กลายร่างเป็นสัตว์อสูรจนกระทั่งถูกเฉินซีทุบกะโหลกของเขาด้วยมือเดียวกลับใช้เวลาแค่พริบตาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ร่างไร้วิญญาณของหลีหู่ก็นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นแล้ว
มู่ขุยตามองค้างด้วยความตกตะลึง เขาเกือบจะเชื่อว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพียงจินตนาการของตน ทว่าเมื่อเห็นร่างของหลีหู่ตายอย่างน่าสมเพชจมกองโลหิต จึงเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น!
สังหารด้วยการออกหมัดเพียงครั้งเดียวอย่างนั้นหรือ?
นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของผู้อาวุโสสินะ!
ขณะนั้นมู่ขุยนึกย้อนไปเมื่อกลางวัน ภาพที่ตนถูกเฉินซีไล่ฟาดก่อนหน้านี้ ความรู้สึกเสียวสันหลังพลันวาบกลับมาทันที ร่างกายสั่นเทาขึ้นมาเองอย่างไม่ตั้งใจ ถ้าตอนนั้นผู้อาวุโสใช้พลังแท้จริงของเขา เห็นทีข้าคงมีสภาพไม่ต่างกับเจ้าหลีหู่เป็นแน่
“ไปกันเถอะ” หลังจากปลดสายรัดเอวที่เก็บสิ่งของจากร่างของหลีหู่แล้ว เฉินซีก็หันหลังและกลับลงจากเขาทันที
“อ้อ!” มู่ขุยพลันตื่นจากภวังค์และผลุนผลันตามหลังเฉินซีไปอย่างรวดเร็ว สายตาของเขามองแผ่นหลังของเฉินซีด้วยความเคารพนับถืออย่างเต็มหัวใจ
“เออจริงสิ หลีหู่เป็นอสูรเพลิงพยัคฆ์ แล้วเจ้าล่ะ”
“ผู้อาวุโส ข้าน้อยเป็นหมาป่าปีกเงินขอรับ”
“อ้อ ข้าเคยได้ยินว่าหมาป่าปีกเงินมีสายเลือดของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ยุคโบราณที่ชื่อหมาป่าจันทรคราสอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้วขอรับ… มีเรื่องนั้นจริง แต่ส่วนใหญ่ข้าน้อยเป็นพวกเลือดผสม บิดาคือหมาป่าวายุปีกคราม ส่วนมารดาเป็นหมาป่าสีเงิน ดังนั้นข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองสืบสายเลือดของหมาป่าจันทรคราสหรือไม่ ขอรับ”
“อ้อ…พวกเลือดผสม”
“…”
“แต่เจ้าเรียกตัวเองว่ามู่ขุย*[1] ข้าขอเดาว่าเจ้าคงอยากจะแข็งแกร่งจนน่าเกรงขามเหมือนกับหมาป่าจันทรคราสสินะ”
“ผู้อาวุโส ท่านเป็นคนมีสายตาเฉียบแหลมมองทุกสิ่งได้ทะลุปรุโปร่ง ข้าน้อยชื่นชมนัก ความชื่นชมในใจของข้าเหมือนกับสายน้ำที่ถาโถม…”
“…”
พวกเขาสนทนากันไปตลอดทาง ขณะมู่ขุยพาเฉินซีลัดเลาะไปตามภูเขาที่คดเคี้ยววกวน เพียงไม่ถึงหรือหนึ่งก้านธูป ทั้งสองคนก็มาถึงที่พักของมู่ขุย
ที่พักแห่งนี้ตั้งอยู่บนเส้นทางลับที่ซุกซ่อนอยู่อีกด้านของภูเขา ด้านหนึ่งเป็นชะง่อนผา ส่วนอีกด้านถูกล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ถ้าไม่ใช่มู่ขุยเป็นผู้นำทาง ก็สังเกตเห็นได้ยาก
“ผู้อาวุโส เชิญขอรับ” มู่ขุยยืนอยู่หน้าประตูพลางค้อมกายลง สีหน้ายิ้มแย้มด้วยความยินดี
[1] ชื่อมู่ขุ่ย มีคำว่า ‘ขุ่ย’ (奎) ที่มาจากคำเดียวกับหมาป่าจันทรคราส