บทที่ 63 ความประหลาดใจยังคงดำเนินต่อไป
บทที่ 63 ความประหลาดใจยังคงดำเนินต่อไป
เคหาของมู่ขุยมีขนาดไม่เกินสิบสองจั้งครึ่ง สภาพแวดล้อมในที่พักค่อนข้างแห้งทว่าสงบ ภายในประดับด้วยโต๊ะกับเก้าอี้ที่ทำจากผลึกเกลือ โดยรวมแล้วนับว่าที่แห่งนี้ค่อนข้างเรียบง่าย
ทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้าไปข้างใน เฉินซีสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนของปราณวิญญาณอันหนาแน่น จากนั้นเขาก็ใช้ฝ่ามือกวาดดวงวิญญาณออกไปและพบต้นตอความปั่นป่วนในทันที
ที่มุมหนึ่งของที่พัก มีเบาะรองนั่งวางไว้อยู่ เฉินซียกเบาะรองนั่งขึ้นมา จากนั้นเขาก็เห็นก้อนหยกที่ซ่อนอยู่ภายในรอยแยกของหิน มันมีขนาดประมาณสิบสองชุ่น หนาเท่าแขนของทารก ปราณวิญญาณที่ปล่อยออกมาบริสุทธ์และหนาแน่น ยามสูดลมหายใจเข้าไปเพียงเล็กน้อยทำให้จิตใจรู้สึกเบิกบานสดชื่น
“นี่คือเส้นชีพจรวิญญาณชั้นยอดที่เจ้ากล่าวถึง? ไม่น่าแปลกใจที่อสูรพยัคฆ์ตนนั้นต้องการแย่งชิงเคหาของเจ้า ปราณวิญญาณของที่นี่หนาแน่นกว่าโลกภายนอกถึงสิบเท่า อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการบ่มเพาะ” เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจ
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรูปร่างของเส้นชีพจรวิญญาณ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำพุวิญญาณที่เขาเคยเห็นในที่พำนักของเซียนกระบี่ เส้นชีพจรวิญญาณชิ้นนี้ยังด้อยกว่ามาก
มู่ขุยที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา การเข่นฆ่าและช่วงชิงสมบัติเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เขาพบเห็นมาก่อน ดังนั้นเขาจึงกังวลว่าความโลภจะก่อตัวขึ้นในหัวใจของเฉินซี เขาจึงต้องหาทางกำจัดมันออกไป
ตุ้บ!
เขายิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว มู่ขุยจึงไม่อาจลังเลอีกต่อไป จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะกล่าวเสียงดังว่า “ข้าน้อยเต็มใจรับผู้อาวุโสเป็นเจ้านาย ข้าขอยืนเคียงข้างรับใช้ท่าน มู่ขุยผู้นี้จะรับใช้ผู้อาวุโสเพียงผู้เดียวตลอดชีวิตของข้าเท่านั้น หากข้าฝ่าฝืนคำสาบานนี้ ขอให้เต๋าแห่งสวรรค์ลงทัณฑ์ข้า และไม่อาจเวียนว่ายตายเกิดได้อีกตลอดกาล!”
เฉินซีรู้ดีว่าอสูรผู้นี้เกรงกลัวที่จะถูกฆ่าและถูกแย่งชิงสมบัติไป หากเขาปฏิเสธมู่ขุยในตอนนี้ มันจะทำให้มู่ขุยไม่สบายใจตลอดไป และอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในภายภาคหน้า
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับและกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้ายอมรับคำขอของเจ้า แต่ให้ข้ากล่าวถึงบางสิ่งก่อน ตัวข้านั้นจะไม่พาเจ้าออกไปจากที่แห่งนี่”
“ท่านผู้อาวุโส มู่ขุยต้องการติดตามรับใช้ท่านด้วยความจริงใจ ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยคนนี้จะไม่รบกวนให้ผู้อาวุโสมาคอยดูแลข้าโดยเด็ดขาด โปรดยอมรับคำขอของข้าเถิดท่านผู้อาวุโส” มู่ขุยรู้สึกปลอดภัยเล็กน้อย แต่เมื่อเขานึกถึงถ้อยคำครึ่งหลังที่เฉินซีกล่าว เขาก็ต่อต้านขึ้นมา และพูดกับตัวเอง “หรือท่านผู้อาวุโสกลัวว่าข้าจะสร้างปัญหาให้? “
เฉินซีส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ข้าจะไม่เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของข้า หากเจ้ายังยืนกรานเช่นนี้ เห็นที…” ก่อนที่เฉินซีจะกล่าวจบ มู่ขุยก็รีบชิงกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโส โปรดระงับความโกรธของท่าน ข้าจะทำตามที่ท่านกล่าว”
เฉินซีพยักหน้ารับ
มู่ขุยยังคงสนทนากับเฉินซีต่อ แรกเริ่มนั้นเขาเพียงต้องการทราบภูมิหลังของเฉินซี แต่เมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายดูหมกมุ่นอยู่กับสิ่งอื่น เขาจึงขอตัวลาในทันที
เคหาแห่งนี้ถูกเฉินซียึดครอง แต่มู่ขุยไม่ได้คิดถึงสิ่งใดอีก เพราะเขายังคงซาบซึ้งที่เฉินซีไม่ได้ลงมือฆ่าเขา
…
“ฮู่!”
เฉินซีนั่งลงบนเบาะรองนั่งแล้วถอนหายใจ ปราณวิญญาณอันบริสุทธิ์และหนาแน่นที่หลั่งไหลออกมาจากเส้นชีพจรวิญญาณชั้นยอดที่อยู่เบื้องล่าง ทำให้เขาไม่อาจผ่อนลมหายใจได้อย่างสบาย
“ที่แห่งนี่นับว่าไม่เลวนัก” จี้อวี๋ที่อุ้มลูกปี่เซียะไว้ในอ้อมแขนปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ
เฉินซีคุ้นเคยกับการที่จี้อวี๋หายไปหายมาดั่งภูตพราย และเขารู้ดีว่า จี้อวี๋มักจะปรากฏกายออกมาเมื่อไม่มีผู้คนโดยรอบ
“โฮก!”
ดวงตาของปี่เซียะมีสีขาวเหมือนเกล็ดหิมะ ตัวของมันมีขนาดเท่ากำปั้นเล็ก ๆ มันคำรามไปยังเฉินซีที่นั่งสมาธิอยู่ เห็นได้ชัดว่ามันสังเกตเห็นเศษเสี้ยวของเส้นชีพจรวิญญาณชั้นยอด
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไป เมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กมีรูปลักษณ์น่าเอ็นดูและต้องการโอบกอดมัน แต่เขากลับถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาดจากจี้อวี๋ “ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจ้ายังคงไม่เพียงพอที่จะปราบไป๋คุย และอาจปล่อยให้มันหลบหนีไปได้”
“ไป๋คุย?” เฉินซีตกตะลึง
“ถูกต้อง มันมีนามว่าไป๋คุย มันเกิดมาพร้อมร่างวิญญาณและมีสติปัญญาล้ำเลิศ แต่ในฐานะสัตว์มงคลที่รู้จักกันดีมาตั้งแต่สมัยโบราณ มันจึงไม่อาจแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ตลอดชีวิต”
ชายชรากล่าวต่อว่า “นี่คือเต๋าแห่งสวรรค์ ซึ่งจะตัดทอนผู้ที่มีมากเกินไป และส่งเสริมผู้ที่ขาดแคลน หากปี่เซียะสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์และฝึกฝนโดยอาศัยโชคที่ติดตัวมา ไม่ช้าก็เร็วมันจะกลายเป็นตัวตนไร้เทียมทาน ซึ่งส่งผลร้ายต่อสมดุลของทั้งสามโลก”
“ตัดทอนผู้ที่มีมากเกินไปและส่งเสริมผู้ที่ขาดแคลน?” เฉินซีสับสนยิ่งนัก เต๋าแห่งสวรรค์นั้นลึกซึ้งและเข้าถึงได้ยาก แล้วตัวเขาจะเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ภายในเต๋าแห่งสวรรค์ด้วยทัศนวิสัยในปัจจุบันได้อย่างไร?
“เจ้าวางแผนที่จะทำสิ่งใดต่อ? หรือจะรั้งอยู่ที่นี่ตลอดไป?” จี้อวี๋เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ท่าทีของเฉินซีดูจริงจังมากขึ้น ยามที่เขาพยักหน้ารับและกล่าวว่า “ขอรับ ข้าได้ยินจากมู่ขุยมาว่า ราชาสัตว์อสูรทั้งเจ็ดมีกองกำลังอันน่าสะพรึงกลัวอยู่ใต้อาณัติของพวกมัน อีกทั้งยังครอบครองพื้นที่ส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ ที่เป็นเหมือนกำแพงที่คอยปกปักรักษาและมิอาจข้ามผ่านไปยังโลกภายนอก ดังนั้นข้าอยากจะอยู่ที่นี่ชั่วคราวและค่อยจากไปเมื่อการบ่มเพาะของข้าได้บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว”
ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาพูดคุยกัน มู่ขุยต้องการทราบถึงตัวตนของเฉินซี แต่เฉินซีได้เปลี่ยนหัวข้อด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ และทำให้มู่ขุยยอมเปิดเผยความลับต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้ชายหนุ่มทำความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นที่แถบนี้ได้ดีขึ้น
เทือกเขาป่าเถื่อนตอนใต้มีอาณาเขตสองพันห้าร้อยลี้ และพื้นที่ศูนย์กลางครอบคลุมถึงหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบลี้
สัตว์อสูรเตร็ดเตร่ไปมาอย่างอิสระและอาละวาดทำลายล้างในพื้นที่ศูนย์กลางนี้ บรรดาสัตว์อสูรเหล่านี้มีราชาสัตว์อสูรทั้งเจ็ดที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ
อันได้แก่ ราชาเหยี่ยวสายฟ้าแห่งเทือกเขาสัมฤทธิ์ ราชาวานรทมิฬแห่งถ้ำวารีกระซิบ ราชามังกรทมิฬแห่งทะเลสาบจันทร์ฉาย ราชาอสรพิษอินทนิลแห่งพงไพรอัสดง ราชาอีกาทมิฬแห่งหุบเขาจันทราโหยหวน ราชาจิ้งจอกเก้าหางแห่งเทือกเขาดาราเยือกแข็ง และผู้ที่มีวิสัยทัศน์ล้ำลึกเช่นราชาเต่าเฒ่า
ความแข็งแกร่งของราชาสัตว์อสูรทั้งเจ็ดนั้นมีระดับแตกต่างกัน ผู้ที่มีระดับต่ำสุดในบรรดาราชาสัตว์อสูรทั้งเจ็ดคือราชาวานรทมิฬแห่งถ้ำวารีกระซิบ ซึ่งมีการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น และระดับสูงสุดของพวกมันนั้นคือ ราชาอีกาทมิฬแห่งหุบเขาจันทราโหยหวน และราชาจิ้งจอกเก้าหางแห่งเทือกเขาดาราเยือกแข็ง สัตว์อสูรเหล่านี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่า การบ่มเพาะของพวกมันนั้นแข็งแกร่งถึงเพียงใด
แน่นอนว่าในบรรดาราชาสัตว์อสูร ผู้ที่ลึกลับที่สุดย่อมเป็น ราชาเต่าเฒ่า ซึ่งมีชีวิตอยู่มายาวนานนับหมื่นปี และได้สืบทอดสายเลือดของเต่าทมิฬ จ้าวแห่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณ อีกทั้งความแข็งแกร่งของมันนั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้
เหตุผลที่มันถูกกล่าวว่าลึกลับเป็นเพราะแทบไม่มีสัตว์อสูรตัวใดเคยเห็นมันต่อสู้ ยิ่งกว่านั้น ตำแหน่งที่อยู่ของมันก็แปรเปลี่ยนไปมาดั่งสายลมพัดผ่าน เว้นแต่มันจะเต็มใจปรากฏกาย มิเช่นนั้นจะไม่มีผู้ใดได้พบเห็นมัน
อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญหรอกว่าราชาสัตว์อสูรทั้งเจ็ดจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ พวกมันล้วนเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวและเฉินซีไม่อาจรับมือกับพวกมันได้ในขณะนี้ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เขาไม่กล้าออกจากเทือกเขาวงจันทรา และทำได้เพียงสืบเสาะไปทั่วบริเวณตอนกลางของเทือกเขาที่อยู่ภายใต้การควบคุมของราชาสัตว์อสูรทั้งเจ็ด หากเขาดื้อรั้นฝ่าออกไปจากที่นี้ เขาต้องตายอย่างอนาถภายใต้คมเขี้ยวของราชาสัตว์อสูรเหล่านั้นแน่นอน
จี้อวี๋พยักหน้าและกล่าวว่า “เป็นเช่นนั้นก็ดี แม้ว่าสัตว์อสูรจะออกอาละวาดในเทือกเขา แต่ก็ไม่พบเห็นร่องรอยของมนุษย์ ปราณวิญญาณสวรรค์และโลกในที่แห่งนี้อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก นอกจากนี้สมุนไพรวิญญาณและสมบัติตามธรรมชาติต่าง ๆ ก็เติบโตขึ้นราวกับเป็นขุมทรัพย์จากธรรมชาติ อีกทั้งการบ่มเพาะในที่แห่งนี้ก็นับว่าดียิ่ง”
พวกเขาสนทนาต่อไปอีกสักระยะ หลังจากที่เขากำชับเฉินซีให้บ่มเพาะอย่างถูกต้องและไม่ให้เสียเวลาเปล่า จี้อวี๋ก็อุ้มทารกปี่เซียะไว้ในอ้อมแขน ก่อนที่เขาจะหายตัวไป
ตุ้บ!
จี้อวี๋ได้จากไปแล้ว เฉินซีจึงหยิบแผ่นหยกที่เขาได้มาจากที่พำนักเซียนกระบี่ออกจากแหวนมิติ จากนั้นจัดเรียงแผ่นหยกลงบนพื้น
จี้อวี๋ได้เลือกแผ่นหยกทั้งยี่สิบแผ่นนี้มาจากห้องโถงตำรา ดังนั้นพวกมันย่อมเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง
ในจำนวนทั้งหมด มีสิบสามแผ่น ที่เป็นเคล็ดวิชาสร้างยันต์อักขระ และอีกเจ็ดแผ่นเป็นเคล็ดวิชาอื่น ๆ
เต๋าแห่งยันต์อักขระนั้นกว้างใหญ่และลึกซึ้งราวกับทะเลหมอก จึงต้องใช้เวลาศึกษาและทำความเข้าใจเนิ่นนาน การบรรลุผลภายในระยะเวลาอันสั้นจึงเป็นเรื่องยาก
เฉินซีจ้องมองไปยังแผ่นหยกเจ็ดแผ่นที่เหลืออยู่
เคล็ดวิชานกกระเรียนเหมันต์ ได้บันทึกเกี่ยวกับเคล็ดวิชาการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้งเก้าขั้นเอาไว้ ปราณแท้ที่ถูกบ่มเพาะจากเคล็ดวิชานี้ เปรียบเสมือนกระแสน้ำที่เต็มไปด้วยผลึกน้ำแข็ง ทำให้มันสลายไปได้ยากและแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีคุณสมบัติที่น่าทึ่งอีกมาก
“เคล็ดวิชานภาม่วงทั้งสิบแปดระดับของตระกูลเฉินได้บันทึกเคล็ดวิชาการบ่มเพาะขอบเขตสร้างรากฐาน และขอบเขตก่อกำเนิดทั้งเก้าขั้นเอาไว้ แต่ยังไม่มีเคล็ดวิชาสำหรับบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล เคล็ดวิชานกกระเรียนเหมันต์นี้จึงได้ทดแทนสิ่งที่ข้าต้องการในอนาคต”
จากนั้นเฉินซีก็รีบอ่านเคล็ดวิชานกกระเรียนเหมันต์ในทันที เมื่อเขาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเคล็ดวิชาการบ่มเพาะนี้ ความรู้สึกซาบซึ้งก็ได้เอ่อล้นภายในใจของชายหนุ่ม ขณะเขาครุ่นคิดว่า ‘ข้าคาดว่าผู้อาวุโสจี้อวี๋ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาจึงเลือกเคล็ดวิชานกกระเรียนเหมันต์นี้ให้แก่ข้า ดังนั้นข้าจะต้องบ่มเพาะอย่างหมั่นเพียรเพื่อให้เป็นไปตามที่เขาคาดหวัง!’
แผ่นหยกแผ่นที่สอง เคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่อง
วิชากระบี่นี้รวดเร็วราวกับสายฟ้า และเป็นดั่งสายลมที่เสียดทะลุไปยังสวรรค์และโลก เมื่อกระบี่ฟาดฟันออกไปก็เหมือนพายุที่โหมกระหน่ำด้วยความเกรี้ยวกราด และกวาดล้างอุปสรรคที่กีดขวาง ยามที่มันถูกใช้เพื่อปัดป้อง แม้แต่สายลมก็ไม่อาจเล็ดลอด…
และเมื่อเคล็ดวิชากระบี่ได้รับการบ่มเพาะจนถึงขั้นสูงสุด ยามที่วาดกระบี่ก็ว่องไวราวกับลมแรง อ่อนโยนดั่งสายลม รุนแรงดุจพายุ และแหลมคมประหนึ่งลมกระโชก การพลิกแพลงของเคล็ดวิชากระบี่ทำให้คู่ต่อสู้ไม่อาจปัดป้องมันได้
ตามลักษณะของวิชากระบี่วาตะลอยละล่อง แบ่งออกเป็นหกกระบวนท่า อันได้แก่ เงาวายุพริบตา สายฝนโปรยปราย วายุทมิฬ วารีคลั่ง ทลายคลื่นวายุ และวายุทลายสุญญะ
“ช่างน่าสะพรึงกลัว! สี่กระบวนท่าแรกของเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่องอยู่ที่ระดับเอกภาพ และไม่น่าเชื่อว่ากระบวนท่าทลายคลื่นวายุและวายุทลายสุญญะต่างก็ครอบครองแก่นอันลึกซึ้งของเต๋าอีกด้วย!”
ดวงตาของเฉินซีก็ส่องประกายความยินดีขณะที่เขากำลังอ่านแผ่นหยก
อย่างที่ผู้คนทราบ ระดับของเคล็ดวิชาถูกแบ่งออกเป็นขั้นพื้นฐาน ขั้นสูง และขั้นเอกภาพ ในขณะที่เหนือกว่านั้นคือเต๋าแห่งการรู้แจ้ง
เมื่อถึงขั้นนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิชากระบี่ วิชาดาบ วิชาหอก วิชาลูกเตะ วิชาหมัด หรือแม้แต่การจัดดอกไม้ การวาดภาพ ดนตรี และทักษะอื่น ๆ ผู้ที่บ่มเพาะถึงขั้นมหาเต๋าล้วนเข้าใจถึงสิ่งเหล่านี้ดี ยามเมื่อใช้เคล็ดวิชา อานุภาพของเคล็ดวิชานั้นจะแข็งแกร่งกว่าขั้นเอกภาพมากกว่าหนึ่งร้อยเท่า แม้ว่าทั้งสองจะห่างกันเพียงขั้นเดียว แต่ความแตกต่างนั้นยิ่งใหญ่ราวกับสวรรค์และโลก!
เช่นเดียวกับเคล็ดวิชากระบี่ เมื่อเข้าใจในเต๋าแห่งการรู้แจ้ง จะสามารถควบแน่นญาณกระบี่และพลังของเคล็ดวิชากระบี่จะแตกต่างจากเคล็ดวิชากระบี่ทั่วไปอย่างเทียบไม่ติด
“เต๋าแห่งการรู้แจ้ง! วิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่องนี้นับเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่ง ผู้อาวุโสจี้อวี๋ช่างดีกับข้านัก…” เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก และรีบระงับความตื่นเต้นที่ก่อขึ้นในใจเขา ก่อนที่จะเหลือบมองดูแผ่นหยกแผ่นต่อไป
เคล็ดวิชาตัวเบา เคล็ดวิชาวาตะเหินทะยาน ใช้กระแสลมเป็นดั่งปีกเพื่อท่องไปท่ามกลางสวรรค์ทั้งเก้า!
เคล็ดวาตะเหินทะยานนี้ก็มีความลึกซึ้งอย่างไร้ขอบเขตเช่นกัน หลังจากพานพบกับเรื่องน่ายินดีที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉินซีก็รู้สึกด้านชา เมื่อเขาเห็นเคล็ดวิชาตัวเบาที่ล้ำลึกและสามารถทำให้ผู้บ่มเพาะเหินบินไปยังหมู่เมฆและสายหมอก ท่องทะยานไปบนท้องฟ้าอย่างอิสระ เขาก็ยิ่งไม่อาจห้ามตัวเองจากการยินดี จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงสงบใจลงได้บ้าง
เทพมายา สะท้านทวยเทพ สังหารเทวา แผ่นหยกสามแผ่นนี้บันทึกเคล็ดวิชาการโจมตีด้วยจิตวิญญาณ นอกจากนี้ ตามการคาดเดาของเฉินซี แผ่นหยกทั้งสามนี้ย่อมเกี่ยวข้องกัน เริ่มจากเคล็ดวิชาเทพมายาที่ระดับต่ำสุดไปจนถึงสังหารเทวาที่อยู่ระดับสูงสุด
ในทำนองเดียวกัน เคล็ดวิชาการโจมตีจิตวิญญาณทั้งสามนี้ เป็นเคล็ดวิชาที่เฉินซีต้องการอย่างยิ่ง เท่าที่เขาทราบมาเคล็ดวิชาจินตภาพเพื่อบ่มเพาะวิญญาณนั้นหายากมาก แม้ว่าเคล็ดวิชาโจมตีด้วยจิตวิญญาณเหล่านี้จะไม่อาจมีค่าเทียบเคียงเคล็ดวิชาจินตภาพ แต่พวกมันก็ยังล้ำค่ายิ่งนัก อีกทั้งยังมีอานุภาพที่ไม่ธรรมดา
เมื่อเฉินซีเหลือบมองลงไปยังแผ่นหยกแผ่นสุดท้าย เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง สิ่งนี้คือเคล็ดวิชารัศมีไร้ร่องรอย?
เป็นไปได้ไหมว่ามันเป็นเคล็ดวิชาที่ใช้ประโยชน์จากปราณแท้?
เฉินซีหยิบมันขึ้นมาและอ่านมันอย่างเร่งรีบ ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็รู้สึกชาดิก หลังจากถูกคลื่นแห่งความประหลาดใจซัดใส่ และทำให้หัวใจของเขาพลุ่งพล่านอย่างรุนแรงอีกครั้ง