บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 77 ราชามังกรทมิฬ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 77 ราชามังกรทมิฬ

บทที่ 77 ราชามังกรทมิฬ

หมอกหนาทึบปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าราวกับค่ำคืนอันมืดมิด

ญาณตระหนักรู้ของเฉินซีสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้เพียง 132 จั้งเท่านั้น หากเกินไปกว่านี้จะทำให้ญาณตระหนักรู้ของเขาถูกสะท้อนกลับด้วยพลังอันไร้รูปร่าง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น

กล่าวอย่างสั้นก็คือ ค่ายกลนี้ถูกสร้างขึ้นจากแผ่นยันต์อักขระจำนวนมากซึ่งสลักด้วยอักขระอันซับซ้อน อีกทั้งยังประสานกันและกันจากระยะไกล ค่ายกลประเภทนี้ราวกับถูกหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของโลกและเปี่ยมไปด้วยพลังของเคล็ดวิชา

เฉินซีได้สร้างแผ่นยันต์อักขระตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นความเข้าใจของเขาจึงสูงมากเช่นกัน ทว่าแผ่นยันต์อักขระที่เขาสร้างขึ้นล้วนแต่เป็นยันต์พื้นฐานทั่วไป ดังนั้น เมื่อต้องเผชิญกับค่ายกลวงกตพันมายาที่อยู่เบื้องหน้าเขา เขาจึงไม่อาจกระทำสิ่งใดได้

แม้ว่าเขาจะไม่อาจทำลายค่ายกลเบื้องหน้าเขาได้อย่างง่ายดาย แต่เขาก็ยังสามารถแยกแยะได้ว่าสมบัติวิเศษที่ใช้เป็นรากฐานของค่ายกลทั้งหมดควรจะต้องเป็นสมบัติวิเศษชั้นยอด และมีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้นถึงจะทำสัญญาและควบคุมสมบัติวิเศษเหล่านี้ได้!

“เห็นได้ชัดว่านี่เป็นค่ายกลชั้นยอด มันช่างน่าเหลือเชื่อเหลือเกิน เป็นไปได้ไหมว่าจะมีปรมาจารย์แห่งค่ายกลยันต์อักขระชาวอสูรอาศัยอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนทางตอนใต้?” เฉินซีรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก

แม้ว่าค่ายกลที่ยิ่งใหญ่เบื้องหน้าเขาจะเป็นเพียงค่ายกลเขาวงกตลวงตา ใครจะรู้ว่าเจตนาฆ่าถูกซ่อนอยู่ไว้ภายในหรือไม่? ในขณะนี้ เห็นได้ชัดว่าค่ายกลขนาดใหญ่ยังไม่ได้เปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ มิฉะนั้น เขาจะไม่ได้รับความกดดันอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้อย่างแน่นอน

“ข้าต้องทำลายค่ายกล!”

“ถ้าข้ารอให้ค่ายกลถูกเปิดใช้งานเต็มที่ สถานการณ์ของข้าจะเป็นอันตรายอย่างแน่นอน!”

เวลาใกล้จะหมดลง เฉินซีควบคุมญาณตระหนักรู้อันทรงพลังราวกับหนวดมากมายแผ่กระจายออกไปยังทุกทิศทาง โชคดีที่รากฐานของเขาในเต๋าแห่งยันต์อักขระแข็งแกร่งอย่างยิ่ง และความเข้าใจเต๋าแห่งยันต์อักขระของเขาก็ยังน่าทึ่ง มิฉะนั้น เขาคงมิอาจหลุดพ้นจากขอบเขตซ่อนดาราได้ ในเวลานี้ เมื่อจิตใจสงบลงและหยั่งรู้ถึงมัน เขาก็สังเกตได้ถึงความลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ราวกับกำลังปอกรังไหม และทำให้เขาได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับเต๋าแห่งค่ายกลอย่างมหาศาล

“หืม?” เฉินซีรู้สึกว่าใจของเขากำลังเต้นระรัว

ในขณะนี้ เสียงคำรามอันแผ่วเบาดังก้องกังวานไปทั่วค่ายกลอันยิ่งใหญ่ “เด็ก ๆ ไป! ฆ่าชายหนุ่มผู้นั้นซะ!”

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

พร้อมกับเสียงตะโกนกระหายโลหิตอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้น หมอกที่อยู่ไกลออกไปก็แยกจากตรงกลางราวกับประตูที่ถูกเปิดออก จากนั้นฝูงอสูรก็หลั่งไหลเข้ามาดั่งกระแสน้ำ

อสูรหมาป่าที่ถือสามง่ามคู่ อสูรหมีที่ถือกระบองเหล็ก อสูรค้างคาวที่มีปีกบนหลังของพวกมัน… พวกมันคำรามลั่นและพุ่งเข้าหาเฉินซีด้วยความบ้าคลั่งและดุร้าย

เมื่อเห็นสิ่งนี้เฉินซีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแทน สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอสูรเหล่านี้ มีการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดเท่านั้น แต่เขาก็ยังไม่กล้าประมาท เนื่องจากพวกมันมีจำนวนมากมายเหลือเกิน

แม้ว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลจะสามารถกวาดล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อถูกล้อมรอบด้วยกองทัพที่ทรงพลัง และโดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่ไม่สามารถบินหลบหนีขึ้นไปบนอากาศได้ คงไม่มีผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลคนใดที่กล้ารับประกันว่าจะสามารถทำลายล้างศัตรูทั้งหมดได้เพียงลำพัง การโจมตีนั้นสามารถมาจากทั่วทุกทิศทาง และการถูกลอบโจมตีด้วยเล่ห์กลสกปรกก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม เฉินซีสามารถบดขยี้ศัตรูที่มีการบ่มเพาะในระดับเดียวกันตั้งแต่เขาอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิด ในตอนนี้ ไม่เพียงแต่เขาได้ก้าวไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล การฝึกฝนของเขาในเต๋าแห่งยุทธ์ได้บรรลุถึงขั้นเต๋าแห่งการรู้แจ้งแล้ว เขาจึงไม่เกรงกลัวกลยุทธ์ที่ใช้จำนวนเข้าข่มเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ

ฟิ้ว!

เหมือนมังกรที่แหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทร ดั่งนกกระเรียนวิญญาณเหินกลับรัง ร่างของเฉินซีราวกับลมกระโชกยามที่เขาจู่โจมไปยังสัตว์อสูรเหล่านั้น

ฉึก!

เฉินซีแทงเกล็ดของอสูรมัจจาผู้มีผมสีฟ้าด้วยกระบี่ของเขา จนทำให้หัวใจของมันเป็นรู ร่างของเฉินซีพลิ้วไหวไปมาเพื่อหลบหลีกสัตว์อสูรบางตัวที่คอยลอบจู่โจมเขา ก่อนที่จะฟันออกไปยังด้านหลังและคอของอสูรอีกห้าตัวก็ถูกตัดออก โลหิตพวยพุ่งประหนึ่งเสาโลหิตอันน่าสยดสยอง

ฟัน!

ตาย!

หลบ!

ฟันอีกครั้ง!

เฉินซีพุ่งทะยานเข้าใส่ฝูงอสูร ร่างของเขาราวกับลมกระโชกที่รุนแรง เขาฟาดฟันกระบี่ไผ่ทองคำนิลเป็นระวิงด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ยิ่งออกกระบวนท่าเขาก็ยิ่งแม่นยำและว่องไวยิ่งขึ้น เมื่อเขาอาละวาดท่ามกลางฝูงอสูร ก็สามารถตัดผ่านขบวนของพวกมันได้อย่างง่ายดาย

เขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยและไม่กล้าหยุดแม้เสี้ยวอึดใจ เขาเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ ด้วยสัญชาตญาณราวกับเป็นปลาไหลที่พุ่งเข้าใส่ฝูงปลาซาร์ดีน ทำให้สภาพแวดล้อมและสถานการณ์ของการต่อสู้กลายเป็นโกลาหลและพึ่งพาโอกาสนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกรุมล้อม

แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีการลอบโจมตีที่เป็นดั่งงูพิษกำลังเฝ้ารอโอกาสจากด้านข้างและจู่โจมเฉินซีอย่างแม่นยำ โชคดีที่การขัดเกลาร่างกายของเขาอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ แต่ประสาทของเฉินซีก็ยังตึงเครียดยิ่งขึ้น

การต่อสู้ที่ขัดเกลาผู้บ่มเพาะได้มากที่สุด คือการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในสนามรบอย่างไม่ต้องสงสัย ยามต้องเผชิญหน้ากับกองทัพอันทรงพลังที่เต็มไปด้วยดาบและกระบี่เพียงลำพัง มันคือบททดสอบสำหรับความกล้าหาญ สติปัญญา และความแข็งแกร่ง!

ปุ! ปุ! ปุ!

โลหิตจำนวนมากพุ่งออกมาอย่างรุนแรง มันสาดกระเซ็นทั่วและกลิ่นคาวคลุ้งของโลหิตก็อบอวลอยู่ในบริเวณนั้น ช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยองยิ่งนัก

อ๊าก! อ๊าก! อ๊าก!

เสียงร้องโหยหวนที่น่าสังเวชราวกับภูตผีคร่ำครวญเพิ่มจำนวนขึ้น มันเป็นสัตว์อสูรอีกตัวหนึ่งที่ล้มตายภายใต้คมกระบี่ของเฉินซี ทุกครั้งที่สัตว์อสูรถูกแทงจนตายด้วยกระบี่ของเขา จิตสังหารของชายหนุ่มจะยิ่งรุนแรงและแหลมคมยิ่งขึ้น ราวกับกระบี่ล้ำค่าที่ถูกขัดเกลาผ่านโลหิต

เขาเป็นดั่งเทพเจ้าแห่งความตายที่เก็บเกี่ยวชีวิตอย่างต่อเนื่อง

เฉินซีไม่ได้ถูกความบ้าคลั่งครอบงำด้วยการถูกกระตุ้นด้วยโลหิตที่หลั่งไหลออกมา เขาไม่ได้รู้สึกสงสารอสูรเหล่านั้นที่ต้องตกตายภายใต้คมกระบี่ จิตสำนึกของเขายังคงสงบนิ่งราวกับผลึกน้ำแข็งที่ใสกระจ่าง

“หืม?” เฉินซีดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางสิ่ง ทันใดนั้นเขาก็รีบเบี่ยงศีรษะหลบอย่างรวดเร็ว ดาบโค้งที่ดูเหมือนพระจันทร์เสี้ยวปรากฏขึ้นแก่สายตาของเขา ราวกับเทพแห่งภูตผีได้คืบคลานออกมาจากนรกและเปล่งรัศมีความมืดและหนาวเย็นที่น่าสะพรึงกลัวออกมา

ในตอนนี้ เขาถูกรุมล้อมด้วยอสูรหกตน เดิมทีเขาต้องการใช้กระบวนท่าเดียวเพื่อฝ่าออกไปจากสถานการณ์นี้ อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของดาบโค้งก็บีบเขาให้เข้าสู่ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

การหลบดาบโค้งย่อมหมายถึงถูกโจมตีจากเหล่าอสูรทั้งหกตนอย่างรุนแรง แต่หากเผชิญหน้ากับการโจมตีของอสูรทั้งหก เขาจะถูกสังหารด้วยดาบโค้ง

ไม่จำเป็นต้องกล่าววาจาใด ๆ ผู้ที่ลอบโจมตีนี้มีความเข้าใจในสถานการณ์เป็นอย่างดีระหว่างต่อสู้ และได้ขจัดความได้เปรียบที่เฉินซีได้รับจากการเข่นฆ่าอย่างสิ้นหวังก่อนหน้านี้ ทั้งยังบีบบังคับให้เขาเข้าสู่สถานการณ์จนตรอกในทันที

สถานการณ์สิ้นหวังราวกับเป็นทางตันที่ไม่อาจฝ่าออกไป

“ในที่สุดข้าก็คว้าโอกาสนี้ได้สำเร็จ เจ้าเด็กนี่ช่างตึงมือเสียจริง แต่น่าเสียดายที่มันยังจะต้องตายภายใต้เงื้อมมือข้าราชามังกรทมิฬผู้นี้!” ห่างออกไป ราชามังกรทมิฬที่มีหัวโล้นและเขาเดียว ผู้มีร่างกายกำยำหัวเราะอย่างพึงพอใจ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน

แต่ในเวลาต่อมา รอยยิ้มของเขากลับแข็งค้างเมื่อเห็นภาพที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

กระบี่บินอันแหลมคมแปดเล่มปรากฏขึ้นล้อมรอบร่างของเฉินซี ราวกับสายฟ้าฟาดผ่านหมู่เมฆ พวกมันตัดหัวของอสูรทั้งหกตนที่อยู่รายรอบในพริบตา

ชั่วขณะที่กระบี่บินได้ก็ปรากฏขึ้น กระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือของเฉินซีก็กวาดออกไปด้วยกระบวนท่าทลายคลื่นวายุที่ทรงพลังและฟาดฟันอย่างรุนแรงลงบนดาบโค้ง

เคร้ง!

การปะทะกันของกระบี่และดาบก่อให้เกิดเสียงแหลมที่เสียดหูจนแทบหูอื้อ เฉินซีได้ยืมพลังจากแรงปะทะ ล่าถอยห่างออกไปราวร้อยจั้งในชั่วพริบตา

“ความแข็งแกร่งระดับนี้นับว่าไม่เลว พวกเจ้าทุกคนถอยออกมา ข้าจะเล่นกับเจ้ามนุษย์ตัวน้อยผู้นี้เอง” เสียงที่ล้ำลึกราวกับเสียงฟ้าร้องดังมาจากระยะไกล ในตอนนี้เฉินซีก็สังเกตเห็นชายร่างกำยำที่มีเขาเดียวและหัวโล้นถือดาบโค้งสีครามกำลังเดินตรงเข้ามา

ดาบโค้งสีครามเล่มนั้นมีความยาวราวแปดฉื่อซึ่งเทียบได้กับง้าว แต่สันดาบนั้นกว้างกว่ามาก รอบสันดาบนั้นมีแสงเย็นหมุนวนรอบ

ฟุ้บ! ฟุ้บ!

ที่ผ่านมา เหล่าอสูรได้ถูกเฉินซีฆ่าไปเป็นจำนวนมาก พวกที่หลงเหลืออยู่ต่างก็หวาดกลัวจนตัวแข็งมาสักพัก เมื่อพวกมันได้ยินคำสั่งของราชา ราวกับว่าพวกมันได้ถูกปลดภาระแล้วล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว โดยทิ้งพื้นดินเต็มไปด้วยซากศพไว้เบื้องหลัง

มีเพียงเฉินซีและราชามังกรทมิฬเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในสนามรบ

“กระบี่ไผ่ทองคำนิลหรือ? ดาบอุษาทศวารีของข้านั้นเป็นศัสตราระดับปฐพีขั้นสูง แต่ไม่อาจผ่าแยกกระบี่ไผ่ทองคำนิลที่ยังไม่ผ่านการขัดเกลา มันนับว่าเป็นสมบัติที่ดีเลิศจริง ๆ” ราชามังกรทมิฬจ้องไปยังเฉินซีด้วยดวงตาเป็นประกายแห่งความโลภและความปรารถนาอันแรงกล้าที่ไม่อาจปิดบัง ยามที่เขาเห็นกระบี่ในมือของเฉินซีอย่างชัดเจน

เฉินซีกำลังประเมินราชามังกรทมิฬเช่นกันพลางกำกระบี่ไผ่ทองคำนิลแน่น กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มต่างสั่นอยู่รอบตัวเขา ในใจของเขาระแวดระวังอย่างยิ่ง เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันไร้รูปที่ส่งมาจากราชามังกรทมิฬ กลิ่นอายความแข็งแกร่งของราชามังกรทมิฬดูเหมือนว่าจะเหนือกว่าราชาเหยี่ยวสายฟ้าด้วยซ้ำ

อสูรตนนี้ควรจะเป็นราชามังกรทมิฬ ผู้ถูกกล่าวขานกันว่าได้บ่มเพาะอยู่ในทะเลสาบจันทร์ฉายเป็นเวลาถึงห้าพันปี! ยิ่งกว่านั้นไอ้เจ้าสูรตนนี้มีเขาเพียงอันเดียวอยู่บนหัว เห็นได้ชัดว่ามันแตกต่างจากเผ่ามังกรทั่วไป และความแข็งแกร่งของมันก็น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!

“โอ้! เจ้าคือเฉินซีรึ? ให้ข้าทบทวนก่อน ดูเหมือนข้าจะเคยได้ยินชื่อเจ้ามาก่อน…” ราชามังกรทมิฬกำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตบหน้าผากตัวเองและตะโกนออกมาว่า “ในบรรดาผู้บ่มเพาะที่เป็นมนุษย์ที่ข้าได้จับมา ดูเหมือนจะมีคนสองสามคนที่พูดถึงเจ้า เดิมทีข้าตั้งใจจะจับกุมเจ้าเนื่องจากการกลั่นของโอสถลาภวิญญาณโลหิตยังขาดผู้บ่มเพาะที่เป็นมนุษย์อยู่อีกหนึ่งคน หึ ๆ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเสนอตัวมาถึงหน้าประตูแบบนี้!”

เฉินซีรู้สึกตกใจ ผู้บ่มเพาะเหล่านั้นอาจจะเป็นตู้ชิงซีและคนอื่น ๆ หรือไม่?

“ตู้ชิงซี มู่หลงเว่ย ฉางปิน ต้วนมู่เจ๋อ… เจ้ารู้จักชื่อเหล่านี้หรือไม่?” ราชามังกรทมิฬกล่าวอย่างล้อเลียนในขณะพูดอย่างช้า ๆ

เฉินซียังคงนิ่งงันแต่สีหน้าของเขาเย็นชายิ่งกว่าเดิม ตามที่คาดไว้ ราชาอสูรเหล่านี้ต้องการใช้ผู้บ่มเพาะมนุษย์เป็นวัตถุดิบสำหรับกลั่นโอสถ อวี้ฮ่าวไป๋จึงไม่ได้กล่าววาจาเท็จเพื่อหลอกลวงเขา

“เจ้าคงยังไม่รู้ว่าโอสถลาภวิญญาณโลหิตคือสิ่งใดใช่ไหม? เช่นนั้นข้าจะอธิบายให้ฟัง! มันคือการนำโลหิตและดวงวิญญาณของผู้บ่มเพาะชาวมนุษย์มาเป็นส่วนผสมหลัก จากนั้นจึงรวมเข้ากับสมบัติแห่งสวรรค์และปฐพีเพื่อกลั่นเม็ดยาอันมหัศจรรย์” ราชามังกรทมิฬเลียริมฝีปากของเขาขณะแสยะยิ้มชวนสยองออกมา “เจ้าช่างมาได้เวลาที่เหมาะเจาะจริง ๆ พวกข้าเพิ่งวางแผนที่จะสกัดโลหิตและดวงวิญญาณของคนเหล่านั้น การเพิ่มเจ้าเข้าไปจะเติมเต็มจำนวนที่ขาดหายไปของทั้งเก้าคน คงไม่มีสิ่งใดจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว”

‘ราชามังกรทมิฬนี้ต้องการยั่วให้ข้าโกรธชัด ๆ อีกทั้งเขายังจงใจถ่วงเวลา ข้าต้องไม่ตกหลุมพรางของเขา ตู้ชิงซีและคนอื่น ๆ ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ? ข้าจะฆ่าราชามังกรทมิฬและรีบไปช่วยพวกเขา!’

เมื่อคิดถึงจุดนี้เฉินซีก็มองไปยังราชามังกรทมิฬด้วยจิตสังหารที่เพิ่มขึ้นยิ่งกว่าเดิม

‘จิตใจของเจ้าเด็กคนนี้ไม่เลว ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริงที่ราชาวานรทมิฬและราชาเหยี่ยวสายฟ้าตกตายในเงื้อมมือของมัน’ ราชามังกรทมิฬเห็นท่าทีนิ่งสงบของเฉินซีแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านในใจ

“ตายซะ!”

ในเวลานี้เองที่เฉินซีใช้เคล็ดวิชาวาตะเหินทะยานและหายตัวไป หลังจากผ่านไปอีกเพียงอึดใจ พลันเกิดพายุโหมกระหน่ำรุนแรงปกคลุมพื้นที่ราวครึ่งลี้โดยรอบ

เสียงสายลมหอนหวีดหวิวและคมกริบราวกับกระบี่ ชั่วขณะหนึ่ง กระบี่จำนวนมหาศาลเป็นเหมือนสายฝนที่ตกลงมา และส่งเสียงก้องกังวานยามที่พวกมันกวาดฟันไปทางราชามังกรทมิฬ

ฟู่! ฟู่!

ท้องฟ้าราวกับว่าถูกผ่าแยกออก เนื่องจากพายุกระบี่ที่รุนแรงนี้แฝงไปด้วยเต๋าแห่งการรู้แจ้ง มันกวาดล้างสิ่งกีดขวางทั้งหมดทั้งมวลด้วยพลังอันเกรี้ยวกราด

“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” ราชามังกรทมิฬตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะโจมตีทันทีโดยปราศจากการเตือน สีหน้าของเขามืดหม่นขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นดาบอุษาทศวารีที่อยู่ในมือก็ฟันออกอย่างหนักหน่วงถี่รัว ประกายแสงจากดาบดูเหมือนจันทร์เสี้ยวสีครามที่พุ่งออกไปอย่างรุนแรงด้วยพลังอันน่าทึ่ง!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท