บทที่ 82 กระบี่วายุล่องหน
บทที่ 82 กระบี่วายุล่องหน
สายน้ำปรภพพุ่งขึ้นสูงก่อนจะม้วนเป็นเกลียวคลื่นผงาดราวมังกรยักษ์ดำทะมึนกำลังคำรามอย่างกราดเกรี้ยว ระลอกคลื่นโหมกระหน่ำ แผ่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าปานจะทำให้แตกสลายด้วยพลังบดขยี้และทำลายล้างทุกสิ่ง ในสายตาของทุกคน เฉินซีไม่ต่างอะไรกับฟางข้าวที่กำลังถูกสายน้ำดำมืดท่วมทับ เป็นดั่งใบไม้ที่ลอยล่องไปตามกระแสน้ำอย่างไม่รู้ทิศทางและมีแนวโน้มจะถูกคลื่นยักษ์ถาโถมจนพลิกคว่ำและทำลายไปได้ทุกเมื่อ
สถานการณ์ของชายหนุ่มเข้าขั้นวิกฤต!
“นึกแล้วเชียวว่าราชาคือผู้ไร้เทียมทาน! ความสามารถแค่นี้เข้าตำราคนโง่ย้ายภูเขาต้มน้ำทะเล*[1]นั่นเอง! เจ้าหนุ่มนั่นตายแน่!”
“แน่นอน ราชายึดครองหุบเขาจันทราโหยหวนมานานแสนนาน เจ้าเห็นหรือว่ามีใครเคยทำร้ายเขาได้แม้แต่เส้นขน ทันทีที่เจ้าหนุ่มมาปรากฏตัวข้าก็รู้แล้วว่าต่อให้ติดปีกก็ยากที่เขาจะหนีรอดหายนะแห่งความตาย!
เวลานั้นในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ สัตว์อสูรทั้งหลายที่กำลังเฝ้าดูการต่อสู้บนท้องฟ้าต่างส่งเสียงโห่ร้องยินดีดังกระหึ่มอย่างต่อเนื่อง พวกมันมั่นใจเป็นที่สุดว่ามนุษย์ผู้นี้ไม่มีทางที่จะพลิกสถานการณ์ได้เมื่อเผชิญกับเต๋าแห่งสายน้ำของราชาอีกาทมิฬ
ทุกตนต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปในทำนองเดียวกันอยู่ภายในหุบเขา
สีหน้าของตู้ชิงซีและคนข้าง ๆ แสดงออกวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด หากไม่ใช่เพราะมาช่วยพวกเขา เฉินซีคงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
เขาไม่สมควรตาย!
“เขากำลังจะแพ้แล้วจริง ๆ อย่างนั้นหรือ มันน่าโมโหนัก! ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้สู้ไม่ต้องโผล่มาเสียจะดีกว่าไหม มาแล้วทำให้ข้ามีความหวังแต่สุดท้ายต้องผิดหวัง! พวกบุรุษชอบทำตัวเป็นคนกล้าหาญและมุทะลุแบบนี้ทุกคนหรือไร” เสียงมู่หลงเว่ยคร่ำครวญอย่างไม่รู้จักจบขณะใบหน้าที่เคยสวยงามกลับงอง้ำ
“น่าผิดหวังนัก ข้าเคยคิดว่าเขาจะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ แต่ท้ายสุดเขามันก็แค่คนไม่เอาไหน อนิจจา” ฉางปินพูดสนับสนุนมู่หลงเว่ยเต็มที่ขณะที่เจ้าตัวถอนหายใจเฮือก
“พูดอะไร! เสียสติแล้วหรือไรขืนพูดอีกละก็!” ต้วนมู่เจ๋อเค้นเสียงคำรามด้วยความโกรธ เขาไม่คิดว่าจะพบคนไร้ยางอายอย่างสองคนนี้อยู่ในโลก
“อย่าเสียกำลังกับพวกนี้เลย จะโกรธพวกไร้ศีลธรรม ไร้ยางอายพวกนี้ไปเพื่ออะไร” ซ่งหลินเอ่ยปากเตือนเบา ๆ
ตู้ชิงซีหุบปากเงียบ แต่ในใจของนางคิดดูแคลนฉางปินและมู่หลงเว่ยเป็นอย่างยิ่ง และคิดได้ว่าไม่ควรใส่ใจกับคนพวกนี้มากเกินไป
…
“เอ๊ะ!”
“เกิดอะไรสักอย่างขึ้นที่นั่น!”
ท่ามกลางสายตาของผู้ที่กำลังจับจ้องอยู่ในบริเวณนั้น เฉินซีกำลังถูกคลื่นยักษ์ดำทะมึนโอบล้อมไว้ทุกทิศทาง ทันใดนั้นชายหนุ่มก็หยุดเคลื่อนไหวกะทันหัน และเขาก็ไม่ได้แสดงอาการต่อสู้ดิ้นรนต่อไป!
“เจ้าหนุ่มนั่นจะทำอะไร” ราชาจิ้งจอกเก้าหางนิ่วหน้าพลางเขม้นมอง เมื่อเห็นชัดว่าขณะนี้เฉินซีไม่เพียงหยุดการต่อต้านทั้งหมด แต่กลับหลับตาลงด้วย
ถัดออกไปไม่ไกล ราชาเต่าเฒ่าผู้มีสายตาลึกล้ำยังคงนิ่งเงียบมิได้เอ่ยอะไร เขามองดูเฉินซีด้วยสายตาแน่วนิ่ง หากมีร่องรอยความตื่นเต้นเผยให้เห็นเด่นชัดบนใบหน้าซูบตอบซึ่งเต็มไปด้วยรอยย่น ทั้งปรากฏริ้วรอยแห่งความคาดหวังแฝงมากับความกังวลใจ
ฟิ้วววว!
ทันใดนั้น ราชาอีกาทมิฬในชุดสีดำล้วนก็ปรากฏตัวขึ้นในเกลียวคลื่นดำสนิทและกำลังจ้องมองไปยังเฉินซี ซึ่งจะถูกแม่น้ำปรภพของตนกลืนกินในอีกไม่ช้า ดวงตาแวววาวของเขามิได้ฉายความยินดีแห่งชัยชนะที่ใกล้จะมาถึง แต่กลับมีความฉงนสนเท่ห์ออกมาแทน
‘มันไม่น่าจะเป็นแบบนี้ เจ้านั่นมันมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะต่อสู้กับข้า นิสัยดื้อรั้นและใจเพชรของเขากลับไม่ต่อสู้ดิ้นรนได้อย่างไร’ ในหัวใจของราชาอีกาทมิฬเกิดความสงสัยเป็นที่สุด ขณะมองดูคนตรงข้ามพลันส่ายหน้าด้วยความงุนงงไม่หาย ‘เป็นไปได้หรือว่าก่อนหน้านี้ข้าเข้าใจผิดไปเอง เจ้าหนุ่มนั่นมันแกล้งทำอย่างนั้นหรือ’
เปรี้ยง!
ขณะต่อมาปรากฏระลอกคลื่นใหญ่กว่าร้อยจั้งซัดเข้าใส่เฉินซีจนเขากระเด็นไปไกลกว่ายี่สิบจั้งราวมดปลวกทันที อวัยวะภายในบาดเจ็บจนปรากฏโลหิตทะลักออกมาจากทวารทั้งห้า
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง
ก่อนที่ร่างของเฉินซีจะตกลงกระแทกพื้น คลื่นอีกสองสามระลอกก็ซัดเข้ามาซ้ำอีก กระทั่งเนื้อตัวของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลเลือดอาบร่างเต็มไปหมด สภาพของเขาก่อให้เกิดความรู้สึกน่าสังเวชแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก
แต่ดวงตาสองข้างของชายหนุ่มกลับยังคงปิดสนิทเช่นเดิม อีกทั้งท่าทีที่สงบนิ่งอย่างไร้สาเหตุก็ดูน่าแปลกใจมากเช่นกัน
“ดูไม่ชอบมาพากล เจ้าหนุ่มคนนั้นมีบางอย่างแปลกไปเสียแล้ว” เสียงราชาจิ้งจอกเก้าหางพึมพำด้วยความประหลาดใจ เท่าที่ตนเห็นกับตา กล่าวได้ว่าเฉินซีตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน อีกเพียงพริบตาเดียวเขาอาจตายหรือย่อยยับได้ทุกเมื่อ แต่หลังจากที่พิจารณาให้ดีแล้ว เขาจึงสังเกตว่ามีไอระเหยพลังหนืดไร้รูปร่างอยู่รอบตัวของเฉินซีอย่างน่าประหลาด และไม่ว่าคลื่นยักษ์จะซัดมากระทบกระแทกฝ่ายนั้นจากทุกทิศทางเพียงใด พลังหนืดไร้รูปรอยได้ทำให้มันสลายหายไปกว่าครึ่งหนึ่งเหลือไม่ถึงสองในสิบเข้าโจมตีเฉินซีเท่านั้น!
‘แปลกมาก!’
แววตาสงสัยใคร่รู้ฉายประกายวาบออกมาจากนัยน์ตาดอกท้อมีเสน่ห์ของราชาจิ้งจอกเก้าหาง
ไม่ใช่แค่เขาไม่เคยเผชิญหน้ากับผู้ฝึกบ่มเพาะพลังรุ่นเยาว์ที่มีความสามารถพิเศษติดตัวมาแต่กำเนิดมาก่อนเท่านั้น แต่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบคนอย่างเฉินซี ยิ่งกว่านั้นอีกฝ่ายยังใช้ระยะเวลาในการฝึกฝนเพียงไม่นานและเป็นคนหนุ่มอายุน้อยมาก มิหนำซ้ำหนุ่มน้อยคนนี้สามารถยืนหยัดต้านทานพลังเต๋าแห่งสายน้ำของราชาอีกาทมิฬได้จนถึงเดี๋ยวนี้ เฉินซีเป็นตัวประหลาดสำหรับเขาโดยแท้
“เจ้าเห็นไหม” ยามนี้แววตาของราชาเต่าเฒ่าลุกโพลง เสียงของเขากล่าวกับอีกฝ่ายฟังดูแปลกจนยากจะเข้าใจ พลางชี้ไปที่ท้องฟ้าไกลโพ้นพร้อมตะโกนเสียงดัง “ดูนั่นเร็ว…!”
…
ในจิตใต้สำนึกอันรางเลือนของเฉินซี เขากำลังฝันถึงท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพราวกระจ่าง
บนท้องฟ้าปลอดโปร่งของยามค่ำคืน พร่างพราวไปด้วยดาราสุกสกาวระยิบระยับมากมายนับไม่ถ้วน ขณะที่เปล่งแสงสีเงินยวงเย็นเยือก ดาวทุกดวงมีวิถีอย่างแน่นแฟ้นขณะที่โคจรไปรอบ ๆ ดุจกำลังเต้นรำอยู่บนท้องฟ้า สายลมเย็นพัดผ่านทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ต้นหญ้าอ่อนนุ่มและละเอียดเอนลู่ราวกับคลื่นที่ซัดไปมาท่ามกลางเสียงลมดังหวีดหวิวแผ่วเบา
ยามนั้นจิตของเขาบริสุทธิ์และสะอาด
เวลานั้นในสายตาของเขามีเพียงดวงดาวจำนวนมากมายมหาศาล ประหนึ่งฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ใช้ฟ้าดินต่างแผ่นยันต์ ดวงดาราต่างพู่กันวาดเป็นลวดลายวิถีลี้ลับและลึกซึ้งแห่งวงโคจรของดวงดาว
ครู่ต่อมาเขาก็มองเห็นดวงดาวดารดาษเรียงรายบนท้องฟ้าอีกครั้ง ลมหายใจแห่งบรรพกาลและยิ่งใหญ่ดังเข้ามาในหูของเขาอีกครั้ง
ภาพความทรงจำในอดีตมากมาย ความเศร้าโศก ความไม่พึงปรารถนา ความทุกข์ยาก เย้ยหยันและการกระทำที่สูญเปล่าสุดท้ายก็เหลือเพียงเถ้าถ่าน เมื่อเผชิญหน้ากับดาวนับล้านดวงเช่นนี้ ความโกรธแค้นแสนสาหัสและความซับซ้อนทั้งหลายที่เคยมีบนโลกมนุษย์ รวมทั้งเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้เขาเกิดความแค้นและไม่พอใจ ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งสลักสำคัญ ไม่ควรค่าแม้การจะกล่าวถึง
จิตใจของชายหนุ่มสุขสงบอย่างแท้จริง เสมือนดั่งหินผาคงทนที่ตั้งตระหง่านและไม่ยอมขยับเขยื้อน แม้ต้องท้าแดดและลมฝนมานานนับหมื่นปี
สายตาเครียดเขม็งของชายหนุ่มกลับมาสงบเยือกเย็นอีกครั้ง ประหนึ่งทะเลสาบกว้างใหญ่ไร้คลื่นลม
‘ชีวิตของข้ามีแต่อุปสรรค เต็มไปด้วยเรื่องเศร้าโศกและความขุ่นเคือง เหมือนสายลมที่มีทั้งรวดเร็วและแผ่วเบา เหมือนดวงดาวที่มีทั้งสว่างไสวและสลัวเลือนราง ในโลกนี้มีสิ่งที่เป็นที่ยอมรับและฝ่าฝืน ในชีวิตคนเรามีทั้งสุขและเศร้าคละเคล้ากันไป ไม่ว่าจะอย่างไร ชีวิตต้องดำเนินต่อไปตามเส้นทางของมัน ไม่ว่าจะอย่างไร เราก็ต้องเผชิญหน้ากับมันด้วยใจที่สงบเยือกเย็น เหมือนกับสายลม สิ่งที่ข้าต้องแสวงหาคืออิสรภาพในใจของข้าเอง!’
‘ทว่าอิสรภาพของข้าคือ…’
ในห้วงความคิดคะนึงของชายหนุ่ม ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง สายตาของปู่ที่มองมาด้วยความคาดหวัง ความรักของมารดาที่คอยมาย้ำเตือน สีหน้าเทิดทูนบูชาของเด็กที่ยังไม่โตเต็มที่ของน้องชาย เสียงห้ามปรามอย่างจริงใจและหนักแน่นของพวกตู้ชิงซีทั้งสาม…
‘อิสรภาพของข้าคือพวกเขาเหล่านี้!’
ทันใดนั้น ภายในกายของเขาพลันมีรังสีที่ลึกล้ำยากเกินบรรยายกำลังกำซาบเข้ามาและจิตวิญญาณในกระแสสำนึกกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าและแปรเปลี่ยนไปด้วยความรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ!
ราวกับภายใต้สถานการณ์คับขันเช่นนี้เขาได้กลับมาเกิดใหม่
เปรี้ยง!
เสียงที่ดังกังวานในจิตวิญญาณประหนึ่งรุ่งอรุณแห่งวันใหม่กำลังมาเยือน พลันภาพสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนภายในหัวใจกลายเป็นเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่โดยรอบในรัศมีหนึ่งพันลี้ ราวกับอสูรที่หลบซ่อนตัวอยู่ในรังของมัน สายน้ำเชี่ยวกรากที่ซัดมาเป็นระลอก สีหน้าไม่สบายใจและหวั่นวิตกของพวกตู้ชิงซี… แม้แต่รูปร่างของก้อนหินที่ตกอยู่บนพื้น เส้นสายบนใบไม้กระทั่งหนวดของมดน้อยตัวเล็กก็สามารถมองเห็นทุกรายละเอียดอย่างชัดเจน นอกจากนั้นยังมีสายลมแห่งอิสรภาพพัดพาไปทั่วทุกหนแห่ง!
เฉินซีลืมตาขึ้น บัดนี้สายตาของเขาชัดเจนปราศจากเศษเสี้ยวของสิ่งเจือปน และสีหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ว่ากำลังสุขหรือเศร้า เหมือนพระภิกษุที่ปฏิบัติสมาธิจนตระหนักรู้ในเรื่องของกรรมและจิตแห่งเต๋าบริสุทธิ์ไร้สิ่งแปดเปื้อนอย่างสิ้นเชิง
“เฉินซี เจ้าสิ้นท่าแล้วสินะเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ลงนรกเสียเถอะ!” พร้อมกับตอนนี้เสียงหอนแหลมสูงดังก้องของราชาอีกาทมิฬพลันระเบิดขึ้นทันที สายน้ำปรภพที่อยู่บนอากาศกระเพื่อมอย่างรุนแรง ดุจมังกรดำได้ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล ก่อนจะเคลื่อนไหวร่างอันใหญ่โตมโหฬารประหนึ่งภูเขาลูกย่อมไปมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนั้นก็ส่งเสียงคำรามอึกทึกดังปานฟ้าร้องก่อนจะพุ่งตัวไปทางเฉินซี ซึ่งเวลานี้เปรียบได้กับมดน้อย
เสียงคำรามของมังกรและรูปลักษณ์ที่เหมือนมังกรนั้น แม้ว่าฟ้าดินยังคงสะท้านสะเทือน ปานจะฉีกแผ่นฟ้าให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อากาศปั่นป่วนด้วยพลังจิตวิญญาณที่พุ่งออกไปดุจใบมีดอย่างรุนแรง ทั้งก้อนหิน ต้นไม้และสายน้ำในรัศมีหนึ่งพันลี้ไกลออกไปพลันสลายเป็นเศษธุลี และบรรดาอสูรที่อยู่ใกล้เคียงถึงกับกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทางไปไกลกว่ายี่สิบจั้งก่อนจะตกกระแทกพื้นดินและกระอักโลหิตอยู่ตรงนั้น
ชั่วขณะหนึ่งแสงสว่างบนฟ้าและพื้นดินมืดดับลงเหมือนในยามราตรีราวกับถึงวันสิ้นโลกกระนั้น
ราชาอีกาทมิฬจะลงมือสังหาร!
นี่คือความคิดที่แวบเข้ามาในหัวของทุกคนในบริเวณพร้อมกัน ใคร ๆ ต่างคิดว่าเฉินซีคงจบชีวิตจากการจู่โจมครั้งนี้เป็นแน่…
“ลม…มา!” ในขณะนั้นเองเสียงที่ราบเรียบและไม่ยินดียินร้ายก็ดังขึ้น เริ่มจากแผ่วเบาก่อนจะค่อยดังขึ้น และเมื่อเสียงเคลื่อนผ่านกระแสคลื่นยักษ์ดำทะมึนที่กำลังม้วนตัวตรงมากลับเป็นเสียงดังสะท้านกังวานไปทั่วทั้งสวรรค์และพื้นพิภพ
คำเพียงไม่กี่คำ แต่เหมือนเป็นปาฏิหาริย์ทะยานไปในอากาศเป็นเวลานาน ครั้งแรกที่ได้ยิน ฟังจะเหมือนเสียงลมพัดแผ่วเบาเข้ามาที่ข้างหู
‘หืม?’
‘เขายังไม่ตายอย่างนั้นหรือ’
เหล่าอสูรจ้องมองด้วยความตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
ฉับพลันนั้น พวกมันต่างพบว่าเจ้ามังกรร่างดำเมี่ยมกลางอากาศซึ่งก่อตัวขึ้นจากสายน้ำปรภพได้ถูกใครบางคนมัดไว้อย่างแน่นเหนียวจนมันหยุดอยู่กลางอากาศ ไม่แสดงความกราดเกรี้ยวกระหน่ำด้วยระลอกคลื่นหรือปลดปล่อยกระแสคลื่นซัดสาด ทั้งพลังแกร่งกล้าน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้หัวใจของผู้พบเห็นต้องสะท้านด้วยความหวาดกลัวได้หายสูญไปด้วย… กระทั่งดูเหมือนมันจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย!
ไม่ไหวติง!
ประหนึ่งมีมือขนาดมหึมาที่ไร้รูปทรงเอื้อมมาฉวยจับมันไว้แน่น ราวกับมันถูกสายลมเย็นเยียบกับพายุเกล็ดน้ำแข็งแช่แข็งมันเอาไว้ ภาพที่ปรากฏดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
ครืนนนน!
เสียงดังสนั่นครั่นครืนราวกับฟ้าและดินพิโรธ ภายในรัศมีหนึ่งพันลี้บังเกิดพายุรุนแรงพัดกระหน่ำ กระแสลมหมุนวนเข้ารวมตัวที่นั่นราวฝูงฉลามที่ได้กลิ่นคาวโลหิต เสียงที่รุนแรงพร้อมกับเสียงระเบิดดังจนแก้วหูลั่นเปรี๊ยะเป็นบรรยากาศน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง
มีเพียงสัตว์อสูรที่ด้อยพลังเท่านั้นที่ถูกเสียงนี้ฟาดจนกระเด็นไป
‘เกิดอะไรขึ้น’
‘ทำไมจึงเป็นแบบนี้?’
ไกลออกไปราชาเต่าเฒ่าผู้มีแววตาลึกล้ำหัวเราะเบา ๆ หากไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา จากนั้นกระแสแห่งการตระหนักรู้ได้ฉายวาบออกมาจากแววตาลึกล้ำของเขา แต่ก็อดที่จะพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นไม่ได้ “ดิ่งลงสู่นรกขุมเก้ากลายร่างมังกร… เป็นเขาจริง ๆ…เป็นเขาจริง ๆ!”
“กระบี่…มา!” เสียงไร้อารมณ์ดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นทุกคนจึงได้เห็นว่าเฉินซีที่อยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิง ทั้งร่างกายมีโลหิตไหลโชกกระทั่งหยดลงสู่สายน้ำปรภพซึ่งไม่ไหวติง ทว่ากลับค่อย ๆ ลอยขึ้นสู่เบื้องบนท้องฟ้า ก่อนที่กระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือของเขาจะตวัดฟาดลงไป
ภาพที่ปรากฏขึ้นมาจะตราตรึงอยู่ในหัวใจของเหล่าสัตว์อสูรไปตลอดกาล
เวลาเดียวกับที่กระบี่ของเฉินซีฟาดลงไปนั้นเอง แรงพายุทั้งในสวรรค์และพื้นพิภพแปรสภาพกลายเป็นกระบวนท่ากระบี่วายุล่องหนอย่างฉับพลัน ด้วยมีความยาวถึง 66 ลี้ คลื่นเสียงครางหึ่งดังออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน ระลอกคลื่นจำนวนมากก่อตัวขึ้นจากแรงสั่นสะเทือนรุนแรงทำให้เกิดการเสียดสีบนชั้นอากาศกระจายออกไป ราวกับว่าสวรรค์และพื้นพิภพกำลังสั่นคลอนเพราะพลังกระบี่วายุล่องหน ท่ามกลางเสียงกึกก้องดังสะท้อนที่เกิดขึ้น กระบี่วายุล่องหนกลับหายไปอย่างกะทันหันประหนึ่งมวลสารที่ถูกเคลื่อนย้าย
ฉัวะ! ฉัวะ!
ฉับพลันนั้นเองสายน้ำปรภพที่ถูกกระแสลมพัดพา ได้ทะยานขึ้นที่สูงก่อนจะตกฮวบลงมาทันทีดั่งสันเขาถูกตัดขาดเป็นสองท่อนและแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนจะสลายกลายเป็นหยดน้ำและระเหยเป็นไอในเวลาต่อมาด้วยแรงสั่นสะเทือนก่อนจะตกลงสู่พื้นดิน
เปรี้ยง!
อำนาจแห่งกระบี่วายุล่องหนยังไม่ลดทอนลงแม้แต่น้อยขณะที่มันฟาดลงไปกับพื้นพสุธา มิหนำซ้ำยังทิ้งหลุมยุบขนาดมหึมาน่าพรั่นพรึงกลัวไร้ก้นบึ้งยาวเกือบเจ็ดสิบลี้ไว้เบื้องหลัง เวลานั้นทั้งเนินเขา สายน้ำ ก้อนหินและพืชพรรณไม้ล้วนกลายเป็นเถ้าธุลี
พลังกระบี่ฟาดออกไปเพียงหนึ่งครั้ง ยังรุนแรงและรวดเร็วปานนี้!
[1] คนโง่ย้ายภูเขา เป็นสำนวนเปรยเปรยประมาณว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น