บทที่ 91 เมืองทะเลหมอก
บทที่ 91 เมืองทะเลหมอก
แสงไฟที่สว่างไสวอยู่ในขณะนี้มันคือเมืองทะเลหมอก
ท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี เมื่อเรือเหาะสมบัติอยู่ห่างจากตัวเมืองราวยี่สิบห้าลี้ เฉินซีก็สามารถเห็นป้ายชื่อเมืองได้อย่างชัดเจน และข้อมูลของเมืองทะเลหมอกก็ปรากฏขึ้นในใจเขาทันที
เมืองทะเลหมอกเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองในดินแดนทางตอนใต้รองลงมาจากเมืองทะเลสาบมังกร มันได้นามนี้จากทะเลหมอกที่อยู่ใกล้เคียง เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการขนส่งของทางตอนใต้ บรรดาสินค้าของตอนใต้จะถูกรวบรวมไว้ที่นี่ก่อนจะถูกกระจายไปยังเมืองต่าง ๆ ทุกสารทิศ การค้าขายนับว่าเจริญรุ่งเรืองทำให้บรรดาพ่อค้ามักมารวมตัวกันที่เมืองนี้
หากพูดถึงความหรูหรา แม้แต่เมืองทะเลสาบมังกรก็นับว่าด้อยกว่าเมืองทะเลหมอกมาก!
แน่นอนว่าเมืองทะเลสาบมังกรเป็นหัวใจของดินแดนทางตอนใต้ นิกายโบราณ ตระกูลและสำนักต่าง ๆ มักก่อตั้งอยู่ที่นั่น มันคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการบ่มเพาะที่อยู่ในใจของเหล่าผู้บ่มเพาะในดินแดนทางตอนใต้เสมอ
“มันคือเมืองทะเลหมอกจริง ๆ นับว่าเป็นเมืองที่หรูหราที่สุดในดินแดนทางตอนใต้ และเจ้าสามารถหาซื้ออะไรก็ได้ตามที่เจ้าต้องการในที่แห่งนี้ เช่นสมบัติวิเศษ หุ่นเชิด โอสถ เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ… และแม้แต่นารีผู้งามงดหรือสมบัติหายากของเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ จากท้องทะเล ตราบใดที่กระเป๋าของเจ้าหนาพอ เจ้าก็สามารถหาซื้ออะไรก็ได้!” ดวงตาของต้วนมู่เจ๋อเป็นประกาย เพียงเท่านี้ก็รับรู้ได้ว่า นายน้อยต้วนมู่ผู้นี้มักมาเที่ยวเล่นในเมืองทะเลหมอกเป็นประจำ และรู้ทุกซอกทุกมุมของเมืองนี้จึงสามารถเล่าได้อย่างละเอียด
“โอ้ ข้าอยากไปภัตตาคารเซียนหลงระเริง ที่นั่นมีพ่อครัววิญญาณระดับห้าใบไม้ประจำอยู่ อาหารที่ปรุงโดยพ่อครัววิญญาณคนนั้นเป็นที่ต้องการของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำอยู่เสมอ” เมื่อซ่งหลินกล่าวถึงอาหาร ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที สายตาคู่นั้นดูเร่าร้อนและตื่นตัว หาได้มีอาการง่วงซึมเช่นที่ผ่านมา
“เมืองทะเลหมอกอยู่ห่างจากเมืองทะเลสาบมังกรเพียงเจ็ดพันห้าร้อยลี้ แต่อยู่ห่างจากเมืองหมอกสนอย่างน้อยสองหมื่นห้าพันลี้” ตู้ชิงซีมองไปที่เฉินซีและกล่าวว่า “เหตุใดเราไม่พักที่เมืองนี้สักวัน แล้วค่อยออกเดินทางต่อ?”
เฉินซีรู้สึกกังวลและต้องการที่จะกลับบ้านโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เดิมทีเขาตั้งใจที่จะปฏิเสธ แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกได้ว่า มีสมบัติมากมายที่ถูกเก็บอยู่ในกระเป๋ามิติที่เขาต้องการขาย ดังนั้นท้ายที่สุดเขาจึงตอบตกลง
ครั้งหนึ่ง เขาเคยได้ยินผู้คนพูดถึงหอขุมทรัพย์สวรรค์ที่ตั้งอยู่ภายในเมืองทะเลหมอก ภายในนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่าง และขายทุกสิ่งตามที่ต้องการ นอกจากนี้ยังมีวิธีค้าขายในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การประมูลหรือการแลกเปลี่ยนสิ่งของ และยังมีสาขาอยู่มากมายที่สามารถพบเจอได้ทั่วราชวงศ์ซ่ง
หอขุมทรัพย์สวรรค์ในเมืองทะเลหมอกก็เป็นหนึ่งในสาขาของมัน และเป็นสถานที่สำหรับใช้จ่ายเงินทองที่มีขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดของดินแดงทางตอนใต้
ต้วนมู่เจ๋อถูฝ่ามือเข้าด้วยกันขณะกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “หืม? เจ้าต้องการไปที่หอขุมทรัพย์สวรรค์หรือ? ข้าจะไปกับเจ้าด้วย ข้ารู้จักสถานที่แห่งนั้นดี”
“ตกลง ข้าคงต้องรบกวนพี่ต้วนมู่แล้ว” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ จะเป็นการดี ถ้ามีคนที่เขาคุ้นเคยตามไปด้วย มันย่อมปลอดภัยกว่า
“ข้าก็จะไปด้วยเช่นกัน”
“พวกข้าว่างพอดี ดังนั้นเราไปด้วยกันเถอะ”
ซ่งหลินกับตู้ชิงซีก็กล่าวเช่นกัน เนื่องจากพวกเขาต้องการติดตามเฉินซี
เฉินซีตกตะลึงแล้วหันกลับไปมองเซวี่ยจิง โม่หาน และตี้หงถู่ที่ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่ง
ระหว่างทางมาที่นี่ เขาได้ทราบที่มาของคนทั้งสาม เซวี่ยจิงเป็นศิษย์ของนิกายนิรันดร์ โม่หานเป็นศิษย์ของนิกายพิภพกระจ่าง และตี้หงถู่เป็นศิษย์นิกายสุริยันคราม นิกายของทั้งสามล้วนเป็นส่วนหนึ่งของนิกายใหญ่ทั้งแปดของเมืองทะเลสาบมังกร ซึ่งมีทรัพยากรและมรดกเก่าแก่ซุกซ่อนอยู่มากมาย นิกายของพวกเขาเหนือกว่าตระกูลใหญ่ทั้งหกที่อยู่เบื้องหลังพวกตู้ชิงซีเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพวกเขาทั้งสามคนอยู่กลุ่มเดียวกับซูเจียว เฉินซีจึงถือว่าเป็นฝ่ายศัตรู ถึงแม้จะไม่เคยมีข้อบาดหมางระหว่างกัน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะกลายเป็นสหาย
“สหายเต๋าเฉินซี ไม่จำเป็นต้องสนใจพวกข้า ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยเหลือพวกเราออกจากส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ ในตอนนี้พวกเราคงต้องขอตัวลาไปก่อน หากมีโอกาสพบเจอที่เมืองทะเลสาบมังกรอีกครั้ง พวกเราจะจัดงานต้อนรับอย่างอบอุ่นเพื่อแสดงความขอบคุณต่อเจ้าที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้” โม่หานผู้มีนิสัยมั่นคงเดินมาข้างหน้าและโค้งคำนับขณะที่เขากล่าว
เฉินซีป้องมือรับแต่ไม่ได้กล่าวอะไร การไม่ฆ่าพวกเขาก็นับว่าปรานีแล้ว ส่วนคำชื่นชมที่โม่หานกล่าว เฉินซีไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ ตราบใดที่ไม่แทงข้างหลังกันก็เพียงพอ
กลุ่มของโม่หานไม่ได้กล่าวอะไรอีก จากนั้นพวกเขาก็กระโดดลงจากเรือเหาะสมบัติก่อนจะบินไปยังเมืองทะเลหมอก
“อันที่จริง สามคนนี้มีความสัมพันธ์กับซูเจียวเพียงผิวเผิน และเหตุผลที่พวกเขาอยู่ด้วยกันก็เป็นเพราะขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังพวกเขามีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลซู” ตู้ชิงซีกล่าวเบา ๆ
เฉินซียิ้มและกล่าวว่า “อย่ากล่าวถึงนางอีกเลย มันทำให้อารมณ์ขุ่นมัว แต่ก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของเจ้า”
“ใครให้เราเป็นสหายกันล่ะ” ตู้ชิงซียิ้มตอบเช่นกัน
หลังจากที่เฉินซีเก็บเรือเหาะสมบัติ พวกเขาก็ไม่รอช้าและพุ่งทะยานไปยังเมืองทะเลหมอกที่อยู่ไกลออกไป
เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในเมือง พื้นที่โล่งกว้างก็ได้ปรากฏสู่สายตาพวกเขา พื้นดินในรัศมีหนึ่งลี้ครึ่งราบเรียบไม่มีหินกรวดสักก้อน แถวของอาคารต่าง ๆ คดเคี้ยวไปตามถนนหินปูนที่ทอดยาวจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
แม้ยามนี้จะพลบค่ำ แต่เมืองก็ยังสว่างไสวเหมือนยามเช้า
ทั้งเมืองถูกประดับประดาด้วยโคมไฟและของประดับตกแต่งหลากสีสัน แสงไฟหลากสีสันต่างส่องประกายระยิบระยับอยู่ตามทุกมุมถนน ทำให้มันสว่างไสวราวกับมังกรไฟนับไม่ถ้วนที่กำลังบิดตัวไปมา
มันช่างงดงาม เจิดจรัสและตระการตา…
เมื่อเห็นฉากที่เจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งเช่นนี้ เฉินซีไม่อาจกล่าววาจาใด ๆ เขาเดินผ่านประตูเมืองด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ราวกับว่าเขากำลังก้าวไปสู่อีกโลกหนึ่ง
ผู้บ่มเพาะมากหน้าหลายตาสามารถพบเห็นได้ทุกที่บนถนนอันกว้างขวาง พวกเขาสวมเสื้อผ้าและมีตราสัญลักษณ์ที่แตกต่างกัน เห็นได้ชัดว่ามาจากนิกายต่าง ๆ
นอกจากนี้ ยังมีผู้บ่มเพาะหลายคนที่เป็นเหมือนพ่อค้าเร่กางแผงขายของอยู่ข้างถนนร้องเรียกลูกค้าจนเสียงดังไปทั่ว บรรยากาศคึกคักยิ่งนัก
เฉินซีเห็นผู้บ่มเพาะบางคนที่มาจากดินแดนอื่นกำลังขี่ม้าที่มีรูปร่างแปลกประหลาดไปตามถนนอย่างสบาย ๆ ไม่เร่งรีบ เท่าที่สังเกต ไม่ว่าจะเป็นลักษณะท่าทาง รูปพรรณ หรือเครื่องแต่งกาย ล้วนแปลกตานัก จึงสรุปได้ว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้บ่มเพาะจากดินแดนทางตอนใต้
แต่เมื่อเวลาผ่านไปชายหนุ่มก็ต้องผวาอยู่ในใจ เพราะเวลานั้น เขาได้พบเห็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลอย่างน้อยสามสิบคน มีแม้กระทั่งผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำสองสามคนที่ผ่านตาเขาไป!
ที่แห่งนี้มีปรมาจารย์มากมายราวกับมวลเมฆ!
เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองนี้แล้ว เมืองหมอกสนเปรียบเสมือนเมืองกันดารไร้ซึ่งอารยธรรมไปเลย
ในเมืองหมอกสน ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลคือตัวตนที่เรียกได้ว่าอยู่บนจุดสุงสุด ในขณะที่เมืองทะเลหมอก ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลกลับพบเห็นได้ทั่วไป เห็นได้ชัดว่าทั้งสองเมืองนี้ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
พวกเขาเดินและมองไปรอบ ๆ ทั้งวัน ไม่นานนัก กลุ่มของเฉินซีก็มาถึงเบื้องหน้าอาคารขนาดใหญ่ที่อันโดดเด่นที่สุดในระแวก
“เฮ้ นี่ไง หอขุมทรัพย์สวรรค์” ต้วนมู่เจ๋อมีท่าทางตื่นเต้น
เฉินซีรู้สึกตกตะลึงในทันที อาคารที่อยู่ข้างหน้าเขาสูงอย่างน้อยราวร้อยจั้ง ครอบคลุมพื้นที่กว่ายี่สิบห้าลี้ ดูเหมือนมันจะทำมาจากหยกขาวทั้งหลัง โคมผลึกแก้วจำนวนมากซึ่งแขวนอยู่ใต้หลังคาอันวิจิตรงดงามต่างหมุนไปมา ลำแสงเรืองรองส่องสว่างไปทุกทิศทุกทางและมีกลิ่นอายของสมบัติวิเศษพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ยิ่งกว่านั้น ความผันผวนอันน่าตกตะลึงของพลังแผ่กระจายออกมาอย่างน่าเกรงขาม เห็นได้ชัดว่ามีการจัดวางค่ายกลป้องกันที่ทรงอานุภาพไว้
“หอขุมทรัพย์สวรรค์แห่งนี้ได้รวบรวมสมบัติล้ำค่ามากมาย และราชวงศ์ซ่งก็เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะนอกจากจะมีผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำเจ็ดคนคอยรักษาความปลอดภัยแล้ว ยังมีผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติรั้งอยู่เช่นกัน” ต้วนมู่เจ๋อกล่าวด้วยความมั่นใจ ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับหอขุมทรัพย์สวรรค์เป็นอย่างดี
“อ๊ะ! คุณชายต้วนมู่นี่นา! โปรดเชิญเข้ามา โปรดเชิญเข้ามา!” เมื่อเห็นต้วนมู่เจ๋อ ดวงตาของสาวใช้ที่มีรูปลักษณ์งดงามก็เปล่งประกาย จากนั้นนางก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใส
ต้วนมู่เจ๋อพยักหน้าอย่างสบาย ๆ อย่างสงวนท่าที
‘ไม่นึกเลยว่าคนผู้นี้จะมีชื่อเสียงขนาดนี้ แม้แต่ข้ารับใช้ก็ยังรู้จักเขา’ เฉินซีลอบคิดพลางเหลือบมองต้วนมู่เจ๋อด้วยความประหลาดใจ และอดไม่ได้ที่จะประเมินอิทธิพลของหกตระกูลใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกรเสียใหม่
“ช่วยเตรียมห้องพักให้หน่อย พี่น้องของข้าต้องการขายสมบัติบางอย่าง อืม เชิญผู้ประเมินมาด้วย” ต้วนมู่เจ๋อสั่งออกไป
“นายน้อย โปรดตามข้ามาได้เลย” ตอนนี้สาวใช้เพิ่งสังเกตเห็นเฉินซี นางประเมินเขาเล็กน้อยก่อนจะที่ถอนสายตา รอยยิ้มของนางก็สงวนท่าทีมากขึ้น นางไม่กล้าหมิ่นใครก็ตามที่อยู่กับต้วนมู่เจ๋อ แม้ว่าเฉินซีจะแต่งตัวซอมซ่อก็ตาม
เฉินซีและคนอื่น ๆ ตามหลังสาวใช้เข้าไปในหอขุมทรัพย์สวรรค์ ผ่านทางเดินคดเคี้ยวกว้างขวางซึ่งตกแต่งอย่างสวยงาม จนกระทั่งไปถึงห้องพักที่ดูโอ่อ่าห้องหนึ่ง
ถึงจะเรียกว่าห้องพัก แต่พื้นที่ข้างในนั้นกว้างกว่าร้อยฉื่อ พื้นปูด้วยพรมสีแดงเข้มและมีกระถางธูปลายสัตว์มงคลที่มีควันลอยขึ้นมา ห้องถูกล้อมรอบไปด้วยฉากกั้นที่มีภาพวาดทิวทัศน์ และเสียงดนตรีที่ไพเราะน่าฟังก็ค่อย ๆ บรรเลงขึ้นภายในห้องที่เงียบสงบและหรูหรา
หญิงรับใช้นำผลไม้สดและสุราชั้นดีมาส่งก่อนจะจากไปอย่างเงียบเชียบ
ช่างเป็นสถานที่ที่ดีนัก!
เฉินซีลอบถอนหายใจ เขามองแวบเดียวก็พบว่าทั้งห้องถูกวางค่ายกลขนาดใหญ่ ซึ่งควบแน่นปราณวิญญาณปริมาณมากเอาไว้ และยังสามารถขจัดการดักฟังจากภายนอกได้อีกด้วย
“ผู้ประเมินของหอขุมทรัพย์สวรรค์ เล่อฉีขอเข้าพบนายน้อยต้วนมู่!” หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงทุ้มดังออกมาจากภายนอกประตู
“เชิญเข้ามา” ต้วนมู่เจ๋อกล่าวตอบ
ต่อจากนั้น มีชายวัยกลางคนสวมชุดสีเทาผลักประตูเข้ามา เขาป้องมือคารวะให้แก่ทุกคน ขณะที่เอ่ยถาม “ข้าขอเรียนถาม ผู้มีเกียรติท่านไหนที่ต้องการขายสมบัติบ้าง? ข้าขอดูเพื่อประเมินราคาได้หรือไม่”
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีเทานี้มีนามว่า ‘เล่อฉี’ แม้คนผู้นี้จะไม่ถ่อมตัว แต่ก็ไม่ได้ยโส ท่าทีของเขาไม่กระตือรือร้นและไม่ร้อนรน ซึ่งแสดงถึงความเป็นมืออาชีพด้านการประเมินอย่างแท้จริง
“ท่านอาจารย์เล่อฉีเป็นผู้ประเมินที่มากไปด้วยประสบการณ์ของหอขุมทรัพย์สวรรค์ เขามีดวงตาเฉียบแหลมซึ่งเต็มไปด้วยภูมิปัญญาและทักษะสูงที่สุดในการประเมินสมบัติล้ำค่าต่าง ๆ คนทั่วไปไม่มีสิทธิ์ได้รับการประเมินจากเขา เฉินซีเจ้าวางแผนที่จะขายสมบัติอะไร”
ต้วนมู่เจ๋อหันไปมองเฉินซีด้วยสายตาที่เร่าร้อน ดูเหมือนจะอยากรู้อยากเห็นว่าเขาต้องการขายสิ่งใดบ้าง
ไม่ใช่แค่ต้วนมู่เจ๋อ แม้แต่ตู้ชิงซีและซ่งหลินก็อยากรู้เช่นกัน ท้ายที่สุด หากมันเป็นของธรรมดาทั่วไปก็ไม่จำเป็นต้องมาขายที่นี่ ถึงแม้หอขุมทรัพย์สวรรค์นับว่าไม่เลว แต่ก็เก็บค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง
“มากมาย” คำตอบของเฉินซีเถรตรงเด็ดขาด จากนั้นเขาสะบัดแขนเสื้อ
ทันใดนั้น สมบัติล้ำค่ามหาศาลที่ปกคลุมไปด้วยประกายแสงแห่งปราณวิญญาณก็ปรากฏขึ้นบนพื้น มีทั้งสมุนไพรวิญญาณ ไม้วิญญาณ วัตถุดิบสำหรับหลอมสร้างสมบัติวิเศษ วัตถุดิบที่หายากและล้ำค่า… พวกมันถูกกองรวมกันราวกับภูเขาสมบัติ ทำให้ทั้งห้องเต็มไปด้วยแสงสีที่เปล่งประกาย
เฮือก!
นอกจากเฉินซี ทุกคนในห้องต่างก็อ้าปากค้าง
สวรรค์! สมบัติมากมายขนาดนี้เลยหรือ?
“สิ่งของเหล่านี้ไม่มีประโยชน์สำหรับข้า ข้าต้องการแลกเปลี่ยนพวกมันเป็นวารีวิญญาณ ท่านอาจารย์เล่อโปรดตรวจสอบด้วย” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย
สมบัติเหล่านี้มีจำนวนมากกว่าแสนชิ้น ซึ่งยึดมาจากราชาวานรทมิฬและราชาอสูรอีกสามตน นอกจากนี้ บางส่วนก็เป็นของกำนัลจากเหล่าสัตว์อสูรในส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ที่มอบให้เขาเป็นของขวัญ ส่วนใหญ่เป็นของจำพวกสมุนไพรวิญญาณและไม้วิญญาณที่เป็นสมบัติล้ำค่าของโลกภายนอก
แต่น่าเสียดายที่คุณภาพของพวกมันไม่สูงนักและไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับเฉินซี จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะแลกเปลี่ยนพวกมันทั้งหมดกับวารีจิตวิญญาณ เพื่อใช้สำหรับการบ่มเพาะของตนเอง
“ขอ… ขอเวลาข้านับมันสักครู่” เล่อฉีสูดลมหายใจเข้าลึก เขาแทบไม่สามารถระงับความตื่นเต้นในใจได้ จากนั้นเขาก็เป็นเหมือนเสือที่หิวโหยกระโจนเข้าหาอาหารของมัน ขณะลุยเข้าไปในกองภูเขาสมบัติและทำรายการทีละชิ้น
เห็นได้ชัดว่าสำหรับผู้ประเมินเช่นเล่อฉี การมีสมบัติมากมายให้เขาได้ประเมิน ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างไม่ต้องสงสัย