บทที่ 95 มรสุมที่ก่อตัวขึ้นในเมือง
บทที่ 95 มรสุมที่ก่อตัวขึ้นในเมือง
ร้านค้าของตระกูลจาง ตั้งอยู่บนถนนที่พลุกพล่านที่สุดของเมืองหมอกสน แต่ตอนนี้มันได้กลายเป็นซากปรักหักพังในชั่วข้ามคืน
สามเดือนผ่านไปนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
บนถนนที่พลุกพล่าน มีร้านค้าเรียงรายเป็นทิวแถว เต็มไปด้วยฝูงคนพลุกพล่าน ทุกที่เต็มไปด้วยเสียงจอแจทว่ามีเพียงที่นี่เท่านั้นที่เงียบสงัดราวกับสุสาน หากมีผู้คนเดินผ่านที่แห่งนี้ พวกเขาจะเดินชิดไปที่อีกริมฝั่งของถนนราวกับพวกเขากลัวจะถูกแปดเปื้อนจากความโชคร้าย
สถานที่นี้อยู่ในสภาพพังทลาย และยังคงมีคราบเลือดสีแดงเข้มระหว่างกระเบื้องหลังคาที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ คราบเลือดเหล่านี้เป็นของเจ้าของร้านค้าตระกูลจางและบรรดานักสร้างยันต์ฝึกหัดทั้งสามสิบเจ็ดคน แม้ว่าศพของพวกเขาจะเน่าเปื่อยและหายไปนานแล้ว แต่คราบเลือดก็ไม่อาจลบล้างได้ ราวกับสื่อถึงความหวาดกลัว ความโกรธ และความแค้นในใจของพวกเขา…
พ่อค้าคนหนึ่งนำกลุ่มคนรับใช้ที่มีรูปร่างกำยำมายังที่แห่งนี้ เขาปรารถนาถึงที่ดินผืนนี้และต้องการสร้างร้านค้าของเขาบนซากปรักหักพัง
“รื้อพวกมันออกซะ! ข้าได้สอบถามตระกูลหลี่และได้ใช้เงินจำนวนมหาศาลในการซื้อที่ดินผืนนี้ ในอนาคตที่แห่งนี้คืออาณาเขตของนายท่านฉุ่ย จงรีบเก็บกวาดซากปรักหักพังและชำระล้างคราบโลหิตที่สกปรกและส่งกลิ่นเหม็นให้สะอาดหมดจดซะ!” พ่อค้าผู้มีท้องโตออกคำสั่งเสียงดัง
แต่เขาสังเกตเห็นว่ากลุ่มคนรับใช้ที่มีร่างกายกำยำที่อยู่ด้านหลัง มีท่าทีไม่เต็มใจและไม่ยอมก้าวไปข้างหน้า ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะระเบิดความโกรธออกมา “มีเหตุใดต้องกังวล? พวกเจ้าทุกคนกลัวแปดเปื้อนจากความโชคร้ายของตัวซวย หรือกลัวถูกตระกูลหลี่จัดการกันฮะ? ข้าไม่ได้บอกพวกเจ้าหรือว่าข้าถามไถ่จากตระกูลหลี่แล้ว!”
“นายท่าน ที่แห่งนี้มีผู้คนล้มตายมากมาย แม้ว่าเราจะเปิดร้านในที่แห่งนี้ ความโชคร้ายจะไม่มาเยือนหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าตัวซวยนั่นก็อยู่ที่นี่เป็นเวลาถึงสี่ปี ใครจะรู้ว่าเราจะแปดเปื้อนความโชคร้ายของเขาหรือไม่…” ข้ารับใช้คนหนึ่งอธิบายด้วยสีหน้าอันขมขื่น
“ใช่แล้วขอรับ ในตอนนี้ ทุกคนในเมืองที่เกี่ยวข้องกับตัวซวยต่างถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น และแม้กระทั่งสิ่งของที่เขาเคยใช้มาก่อน ก็ถูกเผาทำลายจนไม่เหลือสิ่งใด”
“นายท่าน จะเป็นการดี ถ้าเราไม่ข้องเกี่ยวกับที่ดินผืนนี้!”
ข้ารับใช้ทั้งหมดกล่าวพร้อมกันและเผยความกังวลในใจออกมาอย่างชัดเจน
“พวกเจ้าทุกคนยังอยากมีชีวิตอยู่หรือไม่” พ่อค้าฉุ่ยตะคอกเสียงดัง “ไปทำงานซะ! ถ้าเจ้าไม่เก็บกวาดซากปรักหักพังภายในคืนนี้ ข้าจะตัดศีรษะของพวกเจ้า!”
เหล่าข้ารับใช้ได้แต่นิ่งเงียบราวกับจักจั่นจำศีลในฤดูหนาว พวกเขาทำได้เพียงกัดฟันและก้าวเดินไปข้างหน้า ก่อนจะเริ่มเก็บกวาดร้านค้าของตระกูลจางที่กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว
สีหน้าของพ่อค้าฉุ่ยผ่อนคลายลงเมื่อเห็นสิ่งนี้ขณะบ่นพึมพำด้วยความดูแคลน “ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง กลัวแม้กระทั่งสวะเฉกเช่นตัวซวยเฉินซี ถ้าข้าเป็นคนของตระกูลหลี่ ข้าคงฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดไปแล้ว…”
“หืม นั่นคือผู้ใดกัน? เหตุใด…จิตสังหารที่แผ่ออกจากตัวเขาเข้มข้นราวกับเดินออกมาจากทะเลแห่งเลือดและซากศพแบบนั้น!?”
“มันคือเฉินซี! เฉินซี! มัน… มันกลับมาแล้ว!”
“เฉินซี? เจ้าตัวซวย?”
“บัดซบ ข้าต้องหลีกเลี่ยงมันเป็นการด่วน ตระกูลหลี่อาจจะทำลายครอบครัวของข้า หากมีความสัมพันธ์กับมันเพียงเล็กน้อย”
บนถนนที่ไกลออกไป ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องแหลมสูงมากมายก็ดังขึ้นจากฝูงชนที่พลุกพล่าน ราวกับว่าพวกเขาได้เห็นสัตว์ร้ายที่คาดไม่ถึง ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือดขณะที่พวกเขาต่างวิ่งหนีอย่างดูไม่ได้
ทันใดนั้น ถนนทั้งสายก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ร้องโวยวายขณะที่หลีกหนีราวกับว่าพวกเขาได้พบกับบางสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
“นายท่าน! เจ้าตัวซวยกลับมาแล้ว!”
“พวกเรารีบหนีเร็วเข้า!”
“ใช่แล้ว! ใช่แล้ว!”
ข้ารับใช้ทุกคนต่างมีสีหน้าเศร้าหมอง หากไม่ใช่เพราะกลัวอำนาจและอิทธิพลของพ่อค้าฉุ่ย พวกเขาคงจะวิ่งหนีไปนานแล้ว
“หุบปากซะ!” สีหน้าของพ่อค้าฉุ่ยเปลี่ยนไปเช่นกัน แต่เขากลับตะโกนออกมาสุดเสียง “มันเป็นแค่สวะที่มีดีแค่การสร้างยันต์ พวกเจ้าจะต้องกลัวอะไร? คนเหล่านั้นหลีกหนีเพราะกลัวตระกูลหลี่ แต่ข้ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลหลี่ แล้วยังจำเป็นต้องหนีอีกหรือ?”
ในขณะที่พ่อค้าฉุ่ยกำลังกล่าว ถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนก็ไม่มีแม้แต่เงาเดียว บรรดาร้านค้าทั้งสองฟากถนนต่างก็ปิดประตูดังโครมคราม ราวกับหลีกเลี่ยงเทพเจ้าแห่งโรคระบาด
บรรยากาศกลายเป็นเงียบสงัด แปลกประหลาดและกดดัน ราวกับเป็นความสงบก่อนที่จะเกิดพายุ
“ไม่ต้องตื่นตระหนกไป จงทำในสิ่งที่ควรทำ เจ้าจะได้รับค่าจ้างเพิ่มอีกสิบเท่าสำหรับวันนี้!” พ่อค้าฉุ่ยสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกล่าวช้า ๆ
เงินทองสามารถกระตุ้นจิตใจของผู้คนได้เยี่ยมนักดังคำกล่าวที่ว่า หากมีเงินมากพอแม้แต่ใช้ผีโม่แป้งก็ยังทำได้
เมื่อข้ารับใช้ทั้งหลายได้ยินว่าจะได้รับค่าจ้างเพิ่มอีกสิบเท่า แม้สีหน้าจะไม่น่าดูนัก แต่ก็ไม่มีผู้ใดเลือกที่จะจากไป นี่แหละคือมนต์เสน่ห์ของเงินทอง!
ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงฝีเท้าดังกึกก้องไปทั่วท้องถนนอันหนาวเหน็บและมืดทึบ เสียงแผ่วเบาราวกับลมพัดผ่าน แต่หนักแน่นราวกับเสียงรัวกลอง ทุกย่างก้าวเหยียบย่ำไปยังหัวใจของพวกเขา ทำให้พลังชีวิตและเลือดที่สำคัญต่างก็พลุ่งพล่าน ลมหายใจก็หนักขึ้นเช่นกัน
ร่างนั้นเดินมาท่ามกลางเสียงฝีเท้าประหลาดที่ทำให้ผู้คนต้องตัวสั่นไปด้วยความกลัว สีหน้าของมันเย็นชาราวกับซากศพ แต่ดวงตาเป็นสีแดงก่ำราวกับเลือด และมีแววตาคล้ายกับวิญญาณชั่วร้าย
จิตสังหารของมันเป็นดั่งเลือดข้นที่ไม่อาจละลาย ราวกับมีดคมกริบที่เย็นยะเยือกเสียดแทงเข้าไปในไขกระดูก
ในขณะที่ตัวมันเองเป็นเหมือนกระบี่แหลมคมที่ยังไม่ถูกปลดออกจากฝักซึ่งถูกแช่อยู่ในทะเลเลือด และโหยหาที่จะดื่มเลือดและดวงวิญญาณสด ๆ
ตุ้บ!
ขาของพ่อค้าฉุ่ยอ่อนแรงจนล้มลงนั่งไปกับพื้น เรี่ยวแรงในร่างกายดูเหมือนจะถูกดูดออกไปจนหมดสิ้น ราวกับมีมือไร้รูปร่างมาบีบคอของเขาอยู่ ดวงตาของเขาเบิกโพลง เมื่อเขามองไปยังร่างที่เต็มไปด้วยจิตสังหารกำลังใกล้เข้ามา ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะร้องโหยหวน “เฉินซี เจ้า… เจ้าตัวซวย! เจ้าคิดจะทำสิ่งใด? ตระกูลหลี่หนุนหลังข้าอยู่ เจ้าไม่อาจแตะต้องข้า!!”
ที่ด้านข้าง ข้ารับใช้ทุกคนต่างหวาดกลัวจนตัวสั่น สองขาทรุดลงกับพื้น สีหน้าของพวกเขาซีดเผือดราวกระดาษ เมื่อคนเหล่านี้ได้เห็นร่างนั้น พวกเขาจึงตระหนักได้ ไม่ว่าจะมีเงินมากสักเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบกับชีวิตของพวกเขา
เฉินซีไม่ได้สนใจพวกเขา เขาเพียงมองดูซากปรักหักพัง และภาพในอดีตก็แวบผ่านเข้ามาในความคิดของเขา
‘เจ้าเด็กน้อยผู้น่าสงสาร ในเมื่อไม่มีใครซื้อแผ่นยันต์ของเจ้า ก็จงขายพวกมันให้ข้าเถอะ การเลี้ยงดูครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อยนั้นยากลำบากเกินไป’
‘ฮ่า ๆ! เฉินซี ทักษะการสร้างยันต์ของเจ้าพัฒนาขึ้นอีกแล้ว เพื่อเห็นแก่ปู่ น้องชายเจ้า และที่สำคัญที่สุดคือตัวเจ้าเอง เจ้าต้องหมั่นเพียรต่อไป และอย่าได้หยิ่งยโส รู้ไหม!’
‘ข้ารู้เสมอว่าวันนี้จะต้องมาถึง ไปเถอะ ร้านของลุงนั้นเล็กเกินไป และชีวิตของเจ้าก็ไม่ควรถูกเหนี่ยวรั้งอยู่แต่ที่นี่ จงขยันหมั่นเพียรไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อ้อ หากเจ้าพอมีเวลาอย่าลืมแวะมาหาลุงบ้างล่ะ ฮ่า ๆๆ ข้าขอมากเกินไปหรือเปล่านี่?’
…
น้ำตาสีเลือดสองสายไหลรินลงบนใบหน้าของเขาอย่างเงียบ ๆ เฉินซีคุกเข่าลงบนพื้น ขณะหันหน้าไปยังทางซากปรักหักพัง ซึ่งเคยเป็นร้านค้าของตระกูลจางในอดีต เผชิญหน้ากับลุงจางที่คอยให้กำลังใจและช่วยเหลือเขาอยู่เสมอ และเขาก็หมอบกราบลงบนพื้นอย่างรุนแรง
‘ท่านลุง เสี่ยวซีได้เติบใหญ่แล้ว ข้าจะแก้แค้นให้แก่ท่านในวันนี้!’
เฉินซีลุกยืนขึ้นและจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
พ่อค้าฉุ่ยและเหล่าข้ารับใช้ที่อยู่ด้านข้าง ต่างมีสีหน้าหวาดกลัวเกินบรรยาย หลังจากเฉินซีจากไปเพียงอึดใจ ทวารทั้งเจ็ดของพวกมันก็มีเลือดหลั่งไหลออกมา จากนั้นจึงล้มลงและตายโดยไร้เสียง!
มีแผ่นยันต์ที่วาดด้วยเลือดอยู่บนพื้น มันคือยันต์เมฆาอัคคีขั้นหนึ่งที่เฉินซีถนัดที่สุด อักขระของยันต์สีเลือดต่างบานสะพรั่งราวกับดอกไม้ ดูเหมือนจะเป็นการไว้ทุกข์ให้กับดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับที่อยู่ภายในซากปรักหักพัง
ณ สถานที่ที่เคยเป็นร้านอาหารนทีกระจ่าง…
บนซากปรักหักพังที่ว่างเปล่าและน่าสยดสยอง ต่างเต็มไปด้วยซากกระดูกและคราบเลือด ในตอนนี้ เฉินซีกำลังปรุงอาหารอันแสนเลิศรส ดูเหมือนว่าเขาบ่นพึมพำอะไรบางอย่างด้วยคำพูดที่ขาด ๆ หาย ๆ เช่น ผู้เฒ่าหม่า เพ่ยเพ่ย และเฉียวหนาน อย่างแผ่วเบา
ซากปรักหักพัง คราบเลือด ซากกระดูก และผู้คนที่มักว่ากล่าวในยามที่เขาปรุงอาหาร ฉากเช่นนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ซึ่งอาจเรียกได้ว่าน่าสะพรึงกลัว
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป
อาหารสี่จานและสุราหนึ่งเหยือกตั้งวางอยู่หน้าซากปรักหักพัง ในขณะที่ร่างของเฉินซีไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกต่อไป
สุนัขจรจัดตัวหนึ่งได้กลิ่นอันหอมหวนจึงวิ่งเข้ามา แต่มันก็ไม่ทันได้เข้าใกล้อาหารอันเลิศรสเลยด้วยซ้ำ จู่ ๆ ก็ร้องครวญครางโหยหวน ก่อนที่มันจะล้มลงกับพื้นและตายอยู่ที่นั่น
…
‘เฉินซีกลับมาแล้ว!’
ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหมอกสนภายในชั่วพริบตา และทำให้ทั้งเมืองต้องปั่นป่วน
เฉินซี เจ้าตัวซวยที่อยู่ในเมืองหมอกสนมาตั้งแต่เขายังเด็ก ตัวซวยของตระกูลที่ล่มสลาย บุพการีต่างก็หายสาบสูญ สัญญาการแต่งงานของเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ปู่ของเขาก็มาเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ อีกทั้งมือขวาของน้องชายก็มาพิการอีก…
เมื่อไม่กี่เดือนก่อน เป็นเพราะเฉินซีอีกครั้งที่ทำให้ตระกูลหลี่กวาดล้างชาวบ้านในระยะสามร้อยลี้ อีกทั้งยังทำลายร้านค้าของตระกูลจาง และร้านอาหารนทีกระจ่างลง ตราบใดที่มีความสัมพันธ์เพียงเล็กน้อยกับเขา ไม่ว่าใครก็ต้องตายอย่างอนาถ ช่างไม่ยุติธรรมเลยแม้แต่น้อย!
ในตอนนี้ ตัวซวยที่ทุกคนรู้จักได้กลับมาแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาต้องการทำให้ทั้งเมืองเต็มไปด้วยความโชคร้ายและเลือดต้องหลั่งไหลอีกครั้ง?
ที่ถนนนั้นไร้ผู้คนแล้ว
ร้านค้าที่เคยคึกคักต่างก็ปิดประตูเช่นกัน
สำนักต่าง ๆ ได้สั่งห้ามเหล่าศิษย์ไม่ให้ออกไปข้างนอก
ทั่วทั้งเมืองเงียบสงัดราวกับเมืองร้างในพริบตา
แม้แต่ผู้บ่มเพาะที่มักโอ้อวดถึงพลังที่แข็งแกร่งของพวกเขาก็ยังต้องปิดปากเงียบและเฝ้ามองจากด้านข้าง เนื่องจากพวกเขาคาดคิดว่า ในวันนี้เฉินซีจะต้องตายอย่างอนาถภายใต้คมกระบี่ของตระกูลหลี่
…
จวนแม่ทัพ
ผู้เชี่ยวชาญอันดับหนึ่งภายใต้คำสั่งของแม่ทัพฉิน หลัวชงกำลังขมวดคิ้วด้วยความกังวล
ในขณะนั้นเอง ทหารคนหนึ่งได้รีบวิ่งเข้ามาแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “รายงานถึงผู้บัญชาการหลัว ท่านแม่ทัพถ่ายทอดคำสั่งว่า จวนแม่ทัพจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้!”
ปัง!
หลัวชงฟาดฝ่ามือใส่โต๊ะที่อยู่ใกล้เคียงอย่างรุนแรง จนเศษไม้กระจัดกระจายไปทั่ว
“เรานิ่งเฉยขณะที่ตระกูลหลี่สังหารผู้คนกว่าหมื่นคน ตอนที่ร้านค้าของตระกูลจางและร้านอาหารนทีกระจ่างถูกทำลายล้างเราก็ยังนิ่งเฉยอีก หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ศักดิ์ศรีของจวนแม่ทัพจะยังหลงเหลืออยู่อีกหรือ? แล้วเราจะใช้สิ่งใดเพื่อโน้มน้าวใจผู้คน?”
ความโกรธที่หลัวชงสะสมมาเป็นเวลาสองสามเดือนระเบิดออกมาในที่สุด ในตอนนี้เอง เขาก็คำรามลั่นด้วยความกราดเกรี้ยว “เพราะอะไร? เหตุใดเราถึงเมินเฉยแก่เขา? เป็นเพราะตระกูลหลี่ได้รับการหนุนหลังจากตระกูลซูของเมืองทะเลสาบมังกร ดังนั้นพวกมันจึงสามารถเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของจวนแม่ทัพได้อย่างนั้นหรือ?”
“หลัวชง เจ้าช่างใจร้อนยิ่งนัก!” เสียงที่เปี่ยมล้นด้วยอำนาจดังขึ้นขัด จากนั้นชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีม่วงก็เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ เขาสูงราวสิบสองจั้ง แผ่นหลังตั้งตรงราวกับหอกและดูเหมือนภูเขาสูงที่แผ่แรงกดดันยามเข้าใกล้ เปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรี บุคคลนี้เป็นบุคคลอันดับหนึ่งของจวนแม่ทัพ อีกทั้งยังเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของเมืองหมอกสน เขาคือ ‘ฉินฮั่น’
“ท่านแม่ทัพ!” หลัวชงตกตะลึงเมื่อเขาเห็นชายวัยกลางคนผู้นั้น จากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนลุกขึ้นยืนและป้องมือทำความเคารพ
“ตระกูลซูนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ขุมพลังใหญ่ทั้งหมดในเมืองทะเลสาบมังกรก็น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเจ้าและข้าจะเป็นตัวแทนของราชวงศ์ซ่ง ก็ควรเลือกที่จะประนีประนอมเมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลเก่าแก่เหล่านี้” ฉินฮั่นทอดถอนหายใจ “ไม่ต้องกล่าวถึงตัวข้า แม้ว่าจะอยู่ภายในเมืองทะเลสาบมังกรหรือดินแดนทางตอนใต้ทั้งหมด ก็ไม่มีจวนแม่ทัพของเมืองใดกล้าที่จะต่อต้านพวกเขาอย่างเปิดเผย”
หลัวชงรู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวมานั้นเป็นความจริง แต่โทสะในใจของเขาก็ยังคงเพิ่มขึ้น เขากัดฟันแน่นและกล่าวว่า “แต่ขณะนี้เรากำลังเผชิญหน้ากับตระกูลหลี่หาใช่ตระกูลซู!”
ฉินฮั่นส่ายศีรษะ “เจ้าคิดว่าตระกูลหลี่จะกล้าทำเรื่องอุกอาจไร้ศีลธรรมเยี่ยงนี้โดยปราศจากการหนุนหลังจากตระกูลซูของเมืองทะเลสาบมังกรหรือ?”
หลัวชงกล่าวด้วยความสับสน “เราจะไม่ทำอะไรเลยหรือ? แค่นิ่งเฉย ขณะที่เฉินซีกำลังจะถูกฆ่าอย่างนั้นหรือขอรับ? ยิ่งไปกว่านั้น หงเหมี่ยนเองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขามาก”
“ข้าทราบถึงเรื่องนั้นดี ดังนั้นข้าจึงกักบริเวณนางไว้” ฉินฮั่นตอบกลับ “นี่เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้หากเฉินซีตายไป บางทีเมืองหมอกสนอาจกลับคืนสู่ความสงบสุข นอกจากนั้น การเป็นศัตรูกับตระกูลหลี่และตระกูลซูเพื่อทายาทจากตระกูลที่ถูกกวาดล้าง ย่อมเป็นการฝังจวนแม่ทัพของข้าลงในก้นบึงนรกอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นมันจึงไม่คุ้มค่าที่จะแลกเลย”
“ตระกูลใหญ่และขุมพลังที่ยิ่งใหญ่พวกนั้นน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้นเลยหรือ?” หลัวชงบ่นพึมพำอย่างไร้เรี่ยวแรงและได้แต่สลดใจ
“มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ” ฉินฮั่นพยักหน้ารับและไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อไปอีก