บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 110 การเผชิญหน้า

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 110 การเผชิญหน้า

บทที่ 110 การเผชิญหน้า

สายน้ำที่เชี่ยวกรากหลั่งไหลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ทันทีที่เฉินซีออกมาจากบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์ เขาก็เห็นจี้อวี๋ยืนอยู่บนพื้นหญ้าริมฝั่งแม่น้ำจากระยะไกลเหมือนกำลังรอเขาอยู่

“ความก้าวหน้าของเจ้านับว่าไม่เลว ไม่เลวจริง ๆ” จี้อวี๋ยิ้มกว้างขณะกวาดสายตาไปที่เฉินซี คล้ายกับเห็นผลลัพธ์ของการบ่มเพาะของชายหนุ่ม

เฉินซียกยิ้มอย่างใสซื่อเมื่อได้รับคำชม จิตใจของเขาตอนนี้ยังคงสงบนิ่ง ในช่วงครึ่งปีมานี้ วารีวิญญาณหลายพันจินที่อยู่ในแหวนมิติถูกใช้ไป และศิลาวิญญาณดารากว่าหนึ่งร้อยก้อนก็ถูกใช้จนหมดสิ้น มันคงเป็นเรื่องไร้สาระจริง ๆ หากเขาไม่ก้าวหน้าเลยแม้แต่น้อย

“ข้าขัดเกลากระบี่ไผ่ทองคำนิลให้เจ้าแล้ว ลองดูสิ” ขณะที่จี้อวี๋กล่าวก็ผายมือออก กระบี่ยาวสี่จั้งปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่ม กระบี่ทั้งเล่มมีดำสนิทและมีแสงสีดำสลัวปกคลุมอยู่ มันปล่อยกลิ่นอายเย็นเยียบออกมา

“ดูเหมือนจะไม่มีความแตกต่างเลยนะขอรับ?” เขาตั้งใจที่จะหยิบมันขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ ทว่าจู่ ๆ ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น!

ฟิ้ว!

รัศมีแห่งนิพพานที่ไร้ขอบเขตและกว้างใหญ่พุ่งออกมาจากกระบี่ไผ่ทองคำนิลฉับพลัน จากนั้นลำแสงสีดำก็ส่องประกายและกลายเป็นคนตัวเล็กที่มีความสูงราวสี่ชุ่น

คนตัวเล็กคนนี้มีใบหน้าหล่อเหลา สวมชุดสีขาวล่องลอยไปในสายลม เขามีดวงตาที่แพรวแพรวลึกล้ำ คิ้วดั่งคันศร และดวงแสงอันเจิดจ้ากับสายฟ้าที่หมุนเวียนอยู่รอบกาย ท่าทางของเขาช่างดูยิ่งใหญ่ เฉียบแหลม เย็นยะเยือก ทำลายล้าง แม้กระทั่งส่งกลิ่นอายแห่งนิพพาน

“หลิงไป๋?” ดวงตาของเฉินซีเบิกกว้างและเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในทันที หลังจากที่จี้อวี๋ใช้วิชาสลายวิญญาณ กระบี่ไผ่ทองคำนิลได้หลอมรวมกับหลิงไป๋ซึ่งเป็นวิญญาณกระบี่ และเขาก็ไม่ได้เป็นศัสตราที่ไร้วิญญาณเหมือนอดีตอีกต่อไป!

ยิ่งกว่านั้น พลังสายฟ้าซึ่งเดิมทีกักเก็บอยู่ภายในกระบี่ไผ่ทองคำนิล ได้หลอมรวมเข้ากับกระบี่แดนนิพพานที่หลิงไป๋ครอบครองอยู่อย่างสมบูรณ์ มันมีกลิ่นอายของการทำลายล้างและรัศมีแห่งนิพพานที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ ทำให้น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิมจนชายหนุ่มเริ่มหวั่นเกรง

“เฉินซี ในที่สุดข้าก็บ่มเพาะได้แล้ว! ฮ่า ๆๆ!” หลิงไป๋กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเฉินซี ขณะที่เขายิ้มจนดวงตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ดูมีความสุขมาก

“โอ้ แล้วตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งแค่ไหน” เฉินซีถามด้วยความสงสัย สิ่งนี้เป็นสมบัติวิเศษชิ้นแรกที่สามารถบ่มเพาะได้ด้วยตัวเอง และเขาเพิ่งเคยพบเจอ อีกทั้งในอดีตยังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสมบัติวิเศษที่สามารถบ่มเพาะได้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงย่อมอยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องปกติ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงไป๋ก็รู้สึกตกตะลึง สีหน้าของเขาสั่นไหวสลับไปมาระหว่างซีดเผือด ดูเหมือนจะโกรธเกรี้ยว แต่ก็หดหู่ในเวลาเดียวกัน และเงียบอยู่เป็นเวลานาน

เฉินซีรีบปลอบประโลม “มันไม่สำคัญหรอกหากเจ้าอ่อนแอ แต่ก็บ่มเพาะได้แล้วนี่ ตราบใดที่ยังคงยืนหยัด สักวันหนึ่งเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นเอง”

“จริงหรือ?” จิตวิญญาณของหลิงไป๋ได้รับการเยียวยา จากนั้นความเขินอายก็ผุดขึ้นบนใบหน้าเล็ก ๆ ขณะที่กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้านั้นอ่อนแอมากจริง ๆ และคงเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ”

ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ!?

เฉินซีรู้สึกตกตะลึง หากระดับความแข็งแกร่งเช่นนี้ถือว่าอ่อนแอมาก แล้วความแข็งแกร่งของข้าไม่เรียกว่าโคตรอ่อนเลยหรือ?

“อย่าหัวเราะเยาะข้าเลย จริง ๆ แล้วเมื่อก่อนข้าน่าสะพรึงกลัวมาก นี่! เหตุใดเจ้าถึงยืนเงียบ? กำลังดูถูกข้าอยู่หรือ อันที่จริงแล้วแล้วข้าก็รู้สึกว่ามันน่าละอายมากเช่นกัน!” หลิงไป๋เสียงเบาลงเรื่อย ๆ และแทบจะเอาหน้ามุดดินด้วยความอับอาย เมื่อเห็นเฉินซีนิ่งเงียบ

การแสดงออกของเฉินซีแข็งทื่อไปหมด ‘เจ้าเด็กน้อยคนนี้กำลังเยาะเย้ยข้าอยู่หรือเปล่า?’

“อย่ากังวลไป ตอนที่ข้าใช้วิชาสลายวิญญาณ ข้าทิ้งร่องรอยของตราประทับวิญญาณไว้ให้ เจ้าตัวน้อยคนนี้จะเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่สุดในอนาคต และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำร้ายเจ้า” จี้อวี๋กล่าวผ่านกระแสปราณ เขาคิดว่าการแสดงออกของเฉินซีที่ผิดปกติเป็นเพราะกลัวว่าจะไม่อาจควบคุมหลิงไป๋ได้

“ข้า… ข้าแค่อยากรู้… ความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำนั้นอ่อนแอมากในโลกแห่งการบ่มเพาะจริง ๆ หรือ?” เฉินซีถอนหายใจผ่านกระแสปราณ

“ฮ่า ๆๆๆ!” จี้อวี๋หัวเราะเสียงดัง แท้ที่จริงเป็นเพราะเจ้าหนุ่มนี่ถูกยั่วยุด้วยคำกล่าวของหลิงไป๋นี่เอง!

“ผู้อาวุโสจี้อวี๋ ท่านกำลังล้อข้าหรือ?” ท่าทางของหลิงไป๋ไม่น่าดูอย่างยิ่ง และเขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะบ่มเพาะอย่างขยันขันแข็ง เนื่องจากความรู้สึกของการเสียหน้านั้นยอมรับไม่ได้!

จี้อวี๋หัวเราะดังยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาหัวเราะจนท้องแข็ง

“ผู้อาวุโสจี้อวี๋ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะออกไป มีวิธีออกจากสุสานกระบี่แดนนิพพานหรือไม่” เฉินซีรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“พลังที่รักษาสุสานกระบี่แดนนิพพานให้คงอยู่ เป็นสิ่งปรมาจารย์ของหลิงไป๋หลงเหลือไว้และมันคือพลังนิพพานที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ตราบใดที่หลิงไป๋ยังคงมีชีวิตอยู่ พลังนี้จะถูกกักเก็บอยู่ในมิติแห่งนั้นตลอดไป และหน้าที่ของมันคือการคุ้มครองชีวิตของหลิงไป๋ หากเขามอดม้วย มิติแห่งนั้นก็จะถูกทำลายไปพร้อมกัน” จี้อวี๋กล่าวช้า ๆ

ต้องฆ่าหลิงไป๋?

หัวใจของเฉินซีเต้นผิดจังหวะ และยับยั้งใจไม่ให้เอ่ยถามใด ๆ เพราะรู้ว่าจี้อวี๋จะไม่ทำสิ่งนี้อย่างแน่นอน มิฉะนั้นเขาคงจะไม่ใช้วิชาสลายวิญญาณเพื่อหลอมรวมหลิงไป๋เข้ากับกระบี่ไผ่ทองคำนิล

จี้อวี๋กล่าวต่อ “แน่นอน ในยามนี้มันแตกต่างออกไป หลังจากที่หลิงไป๋บ่มเพาะวิชาสลายวิญญาณ เขาได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ไผ่ทองคำนิล ทีนี้ก็เหมือนกับการได้เกิดใหม่อีกครั้ง ในขณะนี้ พลังนิพพานที่รักษาสภาพของแดนนิพพาน คือต้นไม้ที่ปราศจากราก น้ำปราศจากแหล่งกำเนิด และเจ้าสามารถทำลายขอบเขตได้โดยขอให้หลิงไป๋ดูดซับพวกมัน”

“เป็นเช่นนั้นนี่เอง” เฉินซีเข้าใจได้ในทันที

“ใช่แล้ว จงพาไป๋คุยไปด้วย” ขณะที่จี้อวี๋กล่าว ไป๋คุยที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาก็หมดความอดทน และบินไปที่ไหล่ซ้ายของชายหนุ่ม พร้อมกับการร้องเบา ๆ ก่อนที่จะแลบลิ้นน้อยสีชมพูเลียลำคอของเฉินซีด้วยความอบอุ่น

เฉินซีถูกเลียจนรู้สึกคันเล็กน้อยจึงคิดจะห้ามไป๋คุย แต่เมื่อหลิงไป๋เห็นไป๋คุยแววตาก็เป็นประกาย จากนั้นเขากระโดดขึ้นไปบนไหล่ซ้ายของเฉินซีด้วย เพื่อตั้งใจจะขึ้นขี่ร่างของไป๋คุย เจ้าตัวน้อยหล่อเหลาร้องออกมาอย่างตื่นเต้น “ช่างเป็นสัตว์วิญญาณที่ดีเลิศ เหมาะที่จะเป็นยานพาหนะสัตว์ จงมากับข้าในขณะที่ข้าชี้ดาบไปที่โลกและสร้างชื่อให้แก่ตัวเอง!”

หลิงไป๋ที่สูงราวสี่ชุนสวมชุดสีขาว ส่วนไป๋คุยที่มีขนปุยสีขาวราวกับหิมะและมีขนาดเท่ากับกำปั้นเท่านั้น พวกเขาทั้งสองดูเข้ากันได้ดี…

อย่างไรก็ตาม ไป๋คุยกลับไม่เต็มใจที่จะให้หลิงไป๋ขึ้นขี่ ดังนั้นจึงกระโดดไปบนไหล่ขวาของเฉินซี เมื่อหลิงไป๋เห็นเช่นนี้ก็ขุ่นเคือง ก่อนจะไล่ตามไปที่ไหล่ขวาพร้อมกล่าวในใจ ‘สัตว์วิญญาณตัวน้อยเจ้ากล้าต่อต้านข้าหรือ?’

ด้วยเหตุเช่นนี้ เจ้าตัวเล็กทั้งสองจึงวิ่งไล่กันไปมาบนไหล่ของชายหนุ่ม และความเร็วของพวกเขาก็รวดเร็วปานสายฟ้าขณะที่หยอกล้อกันไปมา

“หลังจากที่เจ้าออกไป จงหาสมบัติวิเศษที่พอจะใช้เป็นอาหารให้แก่เขา อย่างน้อยเขาก็เป็นสัตว์มงคลอันดับต้น ๆ ของโลก การทำให้อดอาหารย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สมควร”

จี้อวี๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าช่วยเจ้าปกปิดกลิ่นอายของเขาแล้ว เว้นแต่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เข้าใจความลึกซึ้งของธรรมชาติที่หาพบ มิฉะนั้นจะไม่มีใครในโลกนี้จดจำตัวตนของเขาได้”

“ตกลง ข้าจะดูแลเขาอย่างดี” เฉินซีพยักหน้า ไป๋คุยสามารถรวบรวมโชคแห่งกรรมได้ และสัตว์มงคลตัวนี้ก็เป็นสิ่งที่แม้แต่บุคคลผู้ยิ่งใหญ่มากมายในสมัยโบราณก็ยังปรารถนาที่จะได้มา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่ทำอะไรที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้

“เอาล่ะ ออกไปจากสุสานกระบี่แดนนิพพานก่อนเถอะ เมื่อออกจากที่พำนักในครั้งนี้ เจ้าสามารถกลับเข้ามาได้อีกครั้งเมื่อการขัดเกลากายาและการบ่มเพาะปราณภายในเข้าสู่ขอบเขตเคหาทองคำ”

จี้อวี๋สะบัดแขนเสื้อด้วยท่าทางน่าเกรงขาม เฉินซีรู้สึกว่าการมองเห็นของเขามืดลงก่อนที่จะหายตัวไปจากเคหา

ในห้องโถงกว้างใหญ่ มีร่องรอยเก่าแก่และผุพังอยู่ทุกหนทุกแห่ง โต๊ะ เก้าอี้ แท่น เสาหิน… และกระดูกสีขาวที่น่าสยดสยองกระจัดกระจายทั่วบริเวณ

“ไยที่นี่ถึงมีกระดูกมากมายนัก? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเขตหวงห้ามที่ใช้กักขังนักโทษ?” สายตาของซูเหลิ่งกวาดมองไปโดยรอบ และเมื่อมองไปที่เศษซากกระดูก ศัสตราที่เป็นสนิมมีรอยด่างและเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นอยู่บนพื้น หัวใจของเขาก็เต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล

แค่ก! แค่ก!

ซูติงอี้กับพวกอีกหกคนเหยียบกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนขณะที่ค้นหาห้องโถงใหญ่ด้วยความตื่นเต้น พวกเขาต้องการค้นพบสมบัติบางอย่าง แต่กลับต้องรู้สึกประหลาดใจ เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ไม่มีสมบัติเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

สีหน้าของพวกเขาแต่ละคนบิดเบี้ยวไม่น่ามองทันที

“ท่านลุงซูเหลิ่ง สถานที่แห่งนี้เป็นห้องโถงร้างชัด ๆ ที่นี่ไม่มีสมบัติเลยแม้แต่ชิ้นเดียว และดูเหมือนว่าไม่มีใครมาเยือนนานแล้ว”

“อืม เดิมทีข้าคิดว่าเฉินซีซ่อนตัวอยู่ที่นี่ แต่ใครจะรู้ว่าที่จริงมันจะเลวร้ายเช่นนี้ ช่างโชคร้ายจริง ๆ!”

“บัดซบ ข้าสงสัยนัก ใครที่มันไม่มีอะไรทำคงมาเปิดมิติที่นี่ สมองของมันคงผิดปกติน่าดู”

ซูติงอี้กับอีกหกคนก่นด่าสารพัด เดิมทีพวกเขาคิดว่ามันเป็นดินแดนเร้นลับและถึงแม้มันจะไม่มีอะไร แต่ก็คงสามารถค้นหาร่องรอยของเฉินซีจากภายในได้ แต่สิ่งไม่คาดคิดคือไม่พบสิ่งใดเลยสักอย่างเดียว จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะรู้สึกขุ่นเคือง

“พวกเจ้าทุกคนไม่ได้สังเกตอย่างนั้นหรือ ว่ามีพลังบางอย่างพลุ่งพล่านอยู่ในที่แห่งนี้? มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นหรือถูกทำลาย ไม่ได้เป็นหรือตาย แต่มันกลับทำให้คนผู้หนึ่งรู้สึกสิ้นหวัง หมดหนทาง ท้อแท้ และไม่สบายใจ…” ดวงตาของซูเหลิ่งกวาดมองไปโดยรอบ ในขณะที่กล่าวช้า ๆ

หัวใจของทุกคนกระตุกวูบเมื่อได้รับการเตือน และมันก็จริงอย่างที่ซูเหลิ่งกล่าว ห้องโถงใหญ่อันกว้างใหญ่ไพศาลช่างเงียบสงัดจริง ๆ มันดูแปลกประหลาด และทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“ไปกันเถอะ! สถานที่นี้มันแปลกประหลาดเกินไป เราควรรีบออกไปโดยเร็ว…” ซูเหลิ่งกล่าวยังไม่ทันจบ ทว่าจู่ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็ขึ้น

วูบ!

หลุมดำได้ฉีกมิติตรงใจกลางห้องออกจากกัน เวลานั้นเองที่ชายหนุ่มร่างผอมบางทะยานออกมา

ชายหนุ่มคนนี้มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาและมีท่าทางที่ไม่ธรรมดา หลังจากที่เขาปรากฏ หลุมมิติก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“เฉินซี!”

“เจ้านี้ซ่อนตัวอยู่ที่นี่จริง ๆ!”

“ฮ่า ๆ เดินทางไกลนับหมื่นลี้ แต่ตอนนี้กลับพบเขาโดยบังเอิญ!”

เมื่อเห็นชายหนุ่มคนนี้ ซูติงอี้กับคนอื่น ๆ ต่างก็ยินดีเป็นอย่างมาก และในขณะที่คิดว่าคงจะกลับไปมือเปล่า แต่ไม่นึกเลยว่า ‘สมบัติ’ จะมาหาพวกเขาด้วยตัวเอง!

“ระยำเอ๊ย! ทำไมพวกมันถึงเข้ามาได้”

ดวงตาของชายหนุ่มหดเกร็งเมื่อมองไปยังซูติงอี้และคนทั้งหก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นชายท่าทางยโสโอหังในชุดดำที่ยืนอยู่ตรงกลางนั่น

คนผู้นี้ยืนด้วยท่าทางสบาย ๆ แต่ร่างกายส่งกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว ยิ่งกว่านั้นพลังของหยินหยางยังไหลเวียนอยู่เหนือร่างของเขา บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นวิญญาณและแก่นแท้ และบางครั้งก็พลุ่งพล่านไปด้วยเปลวไฟสีดำขาวที่โลดแล่นไปมา

วิญญาณและแก่นแท้เกิดขึ้นมาพร้อมกัน หยินและหยางก็หลอมรวมกัน

ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง!

หลังจากที่ผู้บ่มเพาะบรรลุสู่ขอบเขตเคหาทองคำ ผู้บ่มเพาะจะควบแน่นปราณแท้ในร่างกายให้กลายเป็นแก่นทองคำ ซึ่งหยินหยางที่อยู่ภายในได้ผสมผสานและส่งเสริมการสร้างดวงวิญญาณกับปราณแท้ และปรากฏการณ์ประหลาดต่าง ๆ ก็พรั่งพรูเหนือศรีษะของผู้บ่มเพาะ

ยกตัวอย่างเช่น กระแสลมที่พุ่งออกมาเหนือศีรษะของซูเหลิ่ง ก็เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการไหลเวียนของกระแสเลือดและพลังที่น่าเกรงขามของเขาเอง

‘แค่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งหกคนก็ทำให้ข้าปวดศีรษะแล้ว ตอนนี้กลับมีผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอีกคน…’ นอกจากจะตกตะลึงพรึงเพริดแล้ว เส้นประสาทในร่างกายของเฉินซียังตึงเครียดถึงขีดสุด!

“มันคือเฉินซี?” ซูเหลิ่งเหลือบมองที่ชายหนุ่มอย่างเย็นชา “ข้าชื่อซูเหลิ่ง จงสลักชื่อนี้ไว้เมื่อเจ้าลงนรก ไอ้สารเลว”

หวิววววว!

ขณะที่เขากล่าว กระแสลมบนร่างของซูเหลิ่งก็พลุ่งพล่านราวกับการรัวกลองขนาดใหญ่ จนเกิดเสียงระเบิดเป็นชุด ๆ

ฟิ้ว!

กระบี่ท่องปรภพทะยานฉีกท้องฟ้าและพุ่งเข้าใส่เฉินซีอย่างรุนแรง

เขาไม่ได้กล่าวอะไรสักคำก่อนที่จะโจมตี ชายหนุ่มขณะนี้ทั้งเด็ดขาดและไร้ปรานี!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท