บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 119 ผู้ใดไร้ศักดิ์ศรี

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 119 ผู้ใดไร้ศักดิ์ศรี

บทที่ 119 ผู้ใดไร้ศักดิ์ศรี

ศาลาชุมนุมเซียนถูกเรียกว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอันดับหนึ่งของเมืองทะเลสาบมังกร ผู้ที่มาใช้บริการมีทั้งความแข็งแกร่งน่าเกรงขามหรือภูมิหลังที่ลึกซึ้ง และล้วนเป็นบุคคลชั้นสูง

มู่เหยากับมู่เหวินเฟยปรากฏตัวที่นี่เห็นได้ชัดว่า เป็นเพราะเหยียนชิงหนี่พาพวกเขามาที่นี่เพื่อหาความรื่นรมย์

เหยียนชิงหนี่คือใคร?

เฉินซีไม่รู้แน่ชัด เมื่อครั้งอยู่นอกประตูเมือง เขาพบว่าการบ่มเพาะของหญิงสาวคนนี้ไม่อาจหยั่งถึง และอย่างน้อยก็ต้องอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลหรือสูงกว่า ซ้ำยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่เก็บงำไว้จากท่าทางที่หยิ่งผยอง ภูมิหลังของนางย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!

ดังนั้นเฉินซีจึงไม่กังวลเมื่อเห็นมู่เหยากับมู่เหวินเฟยเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่ หากการคาดเดาถูกต้อง …หญิงสาวที่ชื่อเหยียนชิงหนี่คงจะรั้งเขาไว้ในไม่ช้า

ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่นี้คือศาลาชุมนุมเซียน หากความขัดแย้งส่งผลกระทบต่อลูกค้าที่นี่ กองกำลังที่อยู่เบื้องหลังศาลาชุมนุมเซียนจะไม่ยินยอมอย่างแน่นอน

“เกิดอะไรขึ้น?” ต้วนมู่เจ๋อลุกยืนขึ้นและเดินออกไป ก่อนที่จะมองลงไปที่ศาลาด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง “เซี่ยจ้าน? ข้าไม่แปลกใจเลยที่เขาจะกล้าส่งเสียงดังในศาลาชุมนุมเซียน ที่แท้ก็เป็นเขาเอง”

“เขาแข็งแกร่งมากหรือเปล่า” เฉินซีถามด้วยความประหลาดใจ คนที่สามารถทำให้นายน้อยต้วนมู่เจ๋อจดจำเขาได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดา

“เขาเป็นลูกชายคนที่สองของผู้นำตระกูลเซี่ย และเกิดมาพร้อมกับความแข็งแกร่ง แม้จะอายุเพียงสิบเก้าปี แต่ก็บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลถึงขั้นหกดาราแล้ว และถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะตัวน้อยแห่งตระกูลเซี่ย”

ต้วนมู่เจ๋อกล่าวว่า “แต่อารมณ์ของชายคนนี้เลวร้ายนัก คอยแต่สร้างปัญหาตลอดเวลา อีกทั้งยังมีนิสัยดุร้าย เอาแต่ใจ และหยิ่งยโส หากไม่ใช่เพราะมีตระกูลเซี่ยคอยหนุนหลัง เขาคงถูกใครบางคนทำให้พิการไปนานแล้ว” ต้วนมู่เจ๋อส่ายศีรษะในขณะที่กล่าววาจาถูกเหยียดหยามเซี่ยจ้าน

ตระกูลเซี่ยก็เป็นหนึ่งในหกตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกร และในฐานะลูกชายคนที่สองของผู้นำตระกูลเซี่ย เซี่ยจ้านนั้นมีนิสัยหยิ่งยโสและเจ้าเล่ห์ แต่ตราบใดที่ไม่ยั่วยุผู้ทรงพลังใด ๆ ก็จะไม่มีใครกล้าแตะต้องเขา

“ใช่ เหตุใดถึงเรียกเขาว่าอัจฉริยะตัวน้อยเล่า” เฉินซีถาม

“เป็นเพราะพี่ชายของเขา เซี่ยเหมิง ในตระกูลเซี่ยเหมิงกับเซี่ยจ้านได้รับขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซี่ยเหมิง เขาเป็นคนที่ทรงพลังและเป็นคนที่อยู่ในอันดับที่ 23 ในการจัดอันดับมังกรซ่อนครั้งล่าสุดด้วยอายุเพียงสิบสามปี…”

“และได้บ่มเพาะจนบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดดารา ตอนนี้ก็ผ่านไปสิบปีแล้ว ความแข็งแกร่งย่อมทรงพลังไม่หยอกแน่” ต้วนมู่เจ๋ออธิบายและดวงตาของเขามีร่องรอยความเกรงกลัวปรากฏอยู่

เฉินซีต้องยอมรับว่าเซี่ยเหมิงผู้นี้ทรงพลังอย่างแท้จริง ตอนอายุสิบสามปีสามารถบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดแล้ว หากยึดตามความเร็วนี้ สิบปีต่อมา… การบ่มเพาะของเขาจะบรรลุถึงระดับใด?

เมืองทะเลสาบมังกรสมควรได้รับการขนานนามว่าเป็นที่สิงสถิตของมังกรซ่อนและพยัคฆ์หมอบ!

เฉินซีจำไม่ได้แล้วว่าถอนหายใจไปกี่ครั้ง สิ่งนี้ทำให้เขาตระหนักแจ้งว่า ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ยังมีคนที่ยิ่งใหญ่กว่าเสมอ โลกนี้กว้างใหญ่เกินไป และจะไม่มีวันขาดแคลนอัจฉริยบุคคล

“อืม? เขาทำเกินไปแล้ว!” ในขณะนี้ ต้วนมู่เจ๋อมองไปที่ด้านนอกศาลาด้วยความตกตะลึง

เฉินซีหันกลับมาด้วยสีหน้ามืดมนเมื่อได้ยินบทสนทนา

มู่เหยากับมู่เหวินเฟยรู้สึกกระวนกระวายใจ เพราะทุกอย่างที่อยู่ที่นี่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่คุ้นเคย

ทิวทัศน์ที่ราวกับเป็นดินแดนเซียน อาหารเลิศรส ชายหญิงผู้สูงศักดิ์… ที่แห่งนี้ไม่ใช่ย่านสามัญชนที่พวกเขาคุ้นเคย และผู้คนที่พบเจอก็ไม่ใช่คนยากไร้เสมอตน

ทุกสิ่งอย่างกดให้ทั้งสองรู้สึกต่ำต้อยและอับจนหนทาง สองพี่น้องเป็นลูกกวางตัวน้อยในฝูงหมาป่า ที่ทำได้เพียงตื่นตระหนก หวาดกลัว และกระวนกระวาย

ความโกรธเผยขึ้นบนใบหน้าของสองพี่น้อง และเมื่อมองชายร่างสูงที่ผุดรอยยิ้มเย็น อีกทั้งสายตาคู่นั้นยังราวกับแมวเล่นกับหนู

พวกเขาไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการหันหลังกลับและออกจากรังอสูร ทั้งสองทำอะไรไม่ถูก หวาดกลัว และโกรธเคือง!

“น้องชายตัวน้อย เจ้าไม่ต้องกล่าวอะไรอีกแล้ว ข้าจะขอโทษ” มู่เหยาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่พยายามระงับโทสะ แต่ทันทีที่กล่าวจบ ร่างเพรียวบางก็สั่นสะท้าน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าหญิงสาวที่มีอายุเพียงสิบห้าปีคนนี้ ต้องอดทนต่อความโกรธและความอัปยศอดสูเพียงใด

“สายไปแล้ว! การคุกเข่าและขอโทษมันไม่มีผลใด ๆ อีกต่อไป แต่ถ้ายอมตกลงเป็นนางบำเรอของข้า ข้าจะยอมปล่อยน้องเจ้าไปเป็นอย่างไร?” เซี่ยจ้านเชิดหน้าชูคอขณะที่กล่าวอย่างไม่เร่งรีบ

“เจ้า…!” มู่เหวินเฟยคำรามด้วยใบหน้าซีดเซียว “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าพยายามลวนลามพี่ใหญ่ของข้าก่อน นางคงไม่มองหน้าเจ้า นี่มันรังแกกันชัด ๆ!”

มู่เหยาตกตะลึงเช่นกัน จนกระทั่งตอนนี้นางเพิ่งเข้าใจว่าชายร่างสูงใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า ไม่ได้คิดจะปล่อยนางไปตั้งแต่แรก

“ฮ่า ๆๆๆ!” เมื่อเห็นท่าทางที่โกรธแค้นและไร้หนทางของสองพี่น้อง เซี่ยจ้านก็ระเบิดเสียงหัวเราะ “ข้ากำลังรังแกคนอื่น แล้วอย่างไรล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าตาอันน่าเชยชมของพี่สาวเจ้า นายน้อยคนนี้คงฆ่าเจ้าทั้งคู่ไปนานแล้ว เหตุใดถึงต้องมากล่าววาจาไร้สาระกับพวกเจ้าอีกล่ะ”

มู่เหยากับมู่เหวินเฟยโกรธจนตัวสั่น ทั้งสองเป็นดั่งสัตว์ร้ายที่ถูกขังอยู่ในกรง สิ้นหวังและไร้หนทาง…

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นดึงดูดความสนใจของผู้คน ดวงตาเย้ยหยันจับจ้องไปยังมู่เหยากับมู่เหวินเฟยราวกับกำลังรับชมการแสดง

สายตาของคนเหล่านี้เฉียบแหลมอย่างยิ่ง เพราะสามารถแยกแยะได้จากพฤติกรรมกับท่าทางของสองพี่น้อง พวกเขาเป็นผู้มาใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในเมืองทะเลสาบมังกร และอาจมาจากหมู่บ้านห่างไกลบางแห่ง

แล้วจะมีผู้ใดที่กล้าเป็นศัตรูกับเซี่ยจ้าน เพียงเพื่อคนต่ำต้อยและยากจนเช่นพวกเขา?

“ข้าจะนับถึงสาม หากนางไม่ยินยอม ข้าคงต้องใช้กำลัง” เซี่ยจ้านยกจอกสุราขึ้นก่อนที่จะค่อย ๆ จิบและลิ้มรสมันด้วยท่าทางสุขุม จริงอย่างที่คนอื่น ๆ คาดคิด เขาสังเกตเห็นว่าพี่น้องคู่นี้ดูไม่เหมือนคนที่มีภูมิหลังมาก่อน และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงดูเหมือนขี้แพ้

“ทำตามนายน้อยเซี่ยเถอะ เขาเป็นอัจฉริยะแห่งตระกูลเซี่ย หากยินยอมติดตามเขา เจ้าจะสามารถเพลิดเพลินไปกับความมั่งคังและเกียรติยศไปชั่วชีวิต และนั่นเป็นสิ่งที่ดียิ่งกว่าอื่นใด”

“แน่นอนว่าจะมีสักกี่คนที่ดิ้นรนจนตาย แต่กลับไม่พบโอกาสเยี่ยงนี้? เจ้าควรรักษาไว้”

ผู้ชมที่อยู่ใกล้เคียงส่งเสียงหัวเราะดังลั่น ขณะเติมเชื้อเพลิงให้กับเปลวไฟ

ร่างกายของมู่เหยากับมู่เหวินเฟยสั่นเทิ้ม พวกเขากำหมัดแน่นขณะกัดริมฝีปากอย่างแรง สีหน้าของพวกเขาซีดเซียวไร้สีเลือด

“เซี่ยจ้าน มันไม่มากไปหรือที่รังแกคนของข้าเช่นนี้!” ในเวลานี้เองที่เสียงอันกังวานใสดังขึ้น

สายตาของผู้คนพุ่งตรงไปยังทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาเห็นหญิงสาวที่งดงามหมดจด เรือนผมสีดำสนิท คิ้วรูปใบหลิว ดวงตาใสกระจ่าง ผิวขาวราวกับหิมะ และสวมชุดหยกสีน้ำเงินกำลังก้าวเข้ามาช้า ๆ โดยมีชายชุดขาวหน้าตาหล่อเหลาเดินตามมา

“พี่ใหญ่เหยียนชิงหนี่!” เมื่อเห็นคนทั้งสอง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในอกของสองพี่น้องเต้นแรงเพียงใด

เมื่อเฉินซีที่อยู่ภายในศาลาไม้ไผ่เห็นคนทั้งสองปรากฏขึ้น เขาก็จะถอนหายใจอย่างโล่งอก

เพราะเมื่อได้ยินที่เซี่ยจ้านทำให้มู่เหยากับมู่เหวินเฟยอับอายขายหน้า เขาแทบไม่อาจยับยั้งตัวเอง

“เหยียนชิงหนี่! น้องชาย?” ต้วนมู่เจ๋อมีท่าทีประหลาดใจ

“เกิดอะไรขึ้น?” เฉินซีตกตะลึง

“เหยียนชิงหนี่ เป็นหนึ่งในสามสิบหกศิษย์ชั้นยอดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และคนที่อยู่ข้าง ๆ นางคือต้วนมู่หลินผู้เป็นน้องชายของต้วนมู่เจ๋อ” ตู้ชิงซีเดินไปที่หน้าต่างและกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา

เฉินซีตระหนักได้ในทันทีและรู้สึกผ่อนคลายลง ด้วยการปรากฏตัวของคนทั้งสอง มู่เหยากับมู่เหวินเฟยจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้ดำเนินไปตามที่เฉินซีคาดไว้

เซี่ยจ้านตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อเห็นเหยียนชิงหนี่กับต้วนมู่หลินปรากฏตัวขึ้น จากนั้นก็หัวเราะเยาะ “คนของเจ้า? คนของเจ้าอาจกล้าอวดดีได้ขนาดนี้เลยรึ?”

“แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด” เหยียนชิงหนี่ขมวดคิ้ว อันที่จริงนางไม่อยากเผชิญหน้ากับบุตรชายที่เย่อหยิ่งและชอบกดขี่จากตระกูลที่มีอำนาจเยี่ยงเซี่ยจ้าน อีกทั้งการต้องเผชิญหน้ากับตระกูลเซี่ยเพียงเพื่อเห็นแก่มู่เหยากับมู่เหวินเฟยนั้นไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไร

ต้วนมู่หลินดูเหมือนจะเข้าใจความคิดของเหยียนชิงหนี่ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พี่เซี่ยเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ขอรับ? ข้าจะให้มู่เหยากับมู่เหวินเฟยขอโทษท่าน แล้วเรามาจบเรื่องนี้กันได้ไหม”

ขณะที่กล่าว ต้วนมู่หลินก็หันกลับมาและสั่งมู่เหยากับมู่เหวินเฟย “พวกเจ้าสองคนเหม่อลอยอะไรอีก รีบขอโทษนายน้อยเซี่ยเร็วเข้า!”

มู่เหยากับมู่เหวินเฟยต่างงุนงง ตอนแรกคิดว่ามีคนมาช่วยแล้ว แต่ไยพวกตนยังต้องขอโทษด้วยล่ะ? พวกนางกระทำสิ่งใดผิดหรือ?

“มันเป็นผู้ลวนลามพี่สาวของข้าก่อน และเป็นคนผิด แล้วเหตุใดถึงบอกให้พวกข้าขอโทษมันด้วย” มู่เหวินเฟยรวบรวมความกล้าโต้ตอบ

“ช่างโง่เขลา!” ต้วนมู่หลินจ้องมองไปยังมู่เหวินเฟยอย่างดุร้าย และเขาก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการฟาดเด็กที่หุนหันพลันแล่นให้ตายไปซะ!

“ข้าจะขอโทษ อย่าตำหนิน้องชายของข้าเลย” มู่เหยารักน้องชายดั่งแก้วตาดวงใจ เมื่อเห็นต้วนมู่หลินตะคอกใส่มู่เหวินเฟย นางก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาเพื่อปกป้องเขา

“เอาล่ะ เห็นแก่หน้าพวกเจ้าทั้งสอง จงให้นางคุกเข่าคำนับหนึ่งร้อยครั้ง แล้วข้าจะปล่อยไป” เซี่ยจ้านยิ้มเยาะอย่างชั่วร้าย

มู่เหยาตกตะลึง ใบหน้าเล็ก ๆ แดงก่ำอย่างโกรธจัด แต่เมื่อมองไปที่เหยียนชิงหนี่ที่อยู่ใกล้เคียงยังคงนิ่งเฉย ทำให้หัวใจของนางดิ่งวูบและร่างกายเริ่มสั่นอย่างรุนแรงอีกครั้ง

“ฮึ่ม!” ต้วนมู่หลินคำรามด้วยความไม่พอใจ เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดพี่น้องคู่นี้ถึงดื้อรั้น การมีชีวิตอยู่หรือศักดิ์ศรี… สิ่งใดสำคัญกว่า?

“ข้าจะ… ขอโทษ” มู่เหยายิ้มอย่างข่มขื่นคล้ายว่าสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว…

“พี่ใหญ่ อย่าโทษตัวเองเลย ท่านเสียสละเพื่อให้ข้าได้เข้าร่วมนิกายกระบี่เมฆาพเนจร หากมีใครต้องคุกเข่า คนผู้นั้นก็ควรเป็นข้า!” มู่เหวินเฟยหยุดผู้เป็นพี่และขบฟันแน่นขณะกล่าว

“เร็วเข้า อย่าชักช้า เวลาของนายน้อยผู้นี้มีค่ามาก” เซี่ยจ้านไม่แยแส

ใบหน้าเล็ก ๆ ของมู่เหวินเฟยซีดเผือดลง เขากัดริมฝีปากขณะหลับตาและค่อย ๆ คุกเข่าลง ในเวลานี้เองที่เสียงถอนหายใจดังก้องอยู่ในหู “เกิดเป็นคนไม่ควรหยิ่งยโส แต่ก็ไม่ควรไร้ศักดิ์ศรี เมื่อเจ้าคุกเข่าครั้งแรกก็จะมีครั้งที่สอง ครั้งที่สามตามมา… เจ้าหวังว่าจะเป็นคนเช่นนี้หรือ?”

หัวใจของมู่เหวินเฟยสั่นสะท้าน ก่อนยืนหยัดด้วยความหาญกล้า “ข้าไม่ยินยอม! ข้า มู่เหวินเฟยจะไม่ยอมก้มหัวให้ศัตรูเด็ดขาด!”

ทันใดนั้นผู้คนต่างตกตะลึงด้วยไม่คาดคิดมาก่อนว่าในช่วงเวลาสุดท้ายนี้ ผู้เยาว์คนนี้จะกลับคำพูด

“ดีมาก! เจ้าช่างกล้าหาญ! เห็นไหม ข้าไว้หน้าพวกมันแล้ว แต่กลับไม่เห็นค่า” เซี่ยจ้านหัวเราะอย่างชั่วร้าย

ท่าทางของเหยียนชิงหนี่กับต้วนมู่หลินมืดมนฉับพลัน

“ไปซะ จงไปจับนางงามน้อยมาให้ข้า ส่วนเจ้าเด็กนั่น จงทำให้ตันเถียนของมันพิการ ดูสิ เจ้าจะเย่อหยิ่งอีกไหม?!” เซี่ยจ้านออกคำสั่งอย่างสบาย ๆ

“ขอรับ นายน้อย” คนรับใช้ที่ท่าทางแข็งแกร่งสองคนก้าวเดินออกไป และหัวเราะอย่างโหดเหี้ยมขณะที่เดินไปหามู่เหยากับมู่เหวินเฟย

“ไม่จำเป็นต้องกลัว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง” ในขณะนั้นเอง เสียงที่ไม่แยแสและสงบนิ่งก็ดังขึ้น และก่อนที่เสียงจะจางไป การมองเห็นของผู้คนก็พร่ามัวลง และครู่ถัดมาจึงเห็นร่างสูงปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ามู่เหยากับมูเหวินเฟยราวกับภูตผี

เร็วอะไรปานนี้!

ผู้คนตกต่างตะลึงและจับจ้องไปที่คนผู้นั้นเป็นสายตาเดียว

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท