บทที่ 139 ค่ายกลคุกหมากล้อมสามพันเชือด
บทที่ 139 ค่ายกลคุกหมากล้อมสามพันเชือด
ทันทีที่เฉินซีลงมือกระบี่บินทั้งหกสิบสี่เล่มได้ก่อตัวเป็นค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสขั้นที่สอง และอานุภาพของมันก็ทรงพลังจนสามารถทำให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางต้องรู้สึกหวาดกลัว นอกจากนี้ ค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสยังมีชื่อเสียงในด้านรวดเร็ว เมื่อรวมเข้ากับเต๋าแห่งสายลมที่เฉินซีรู้แจ้งแล้ว ความเร็วของมันจึงไม่ต่างกับแสงที่สาดส่องหรือสายรุ้งที่ทะยานผ่านท้องฟ้า
การโจมตีครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าทรงพลังเสมือนสายฟ้าฟาด และความเร็วของมันรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า!
ศิษย์ของตระกูลซูหลายสิบคนไม่มีโอกาสที่จะหลีกหนีและถูกฆ่าตายในทันที ฉากที่กะทันหันเช่นนี้ทำให้ทุกคนต้องอกสั่นขวัญแขวน และทำให้การเคลื่อนไหวของพวกมันต้องหยุดชะงักไป
นี่เป็นผลลัพธ์ที่เฉินซีต้องการ การบุกช่วยกลุ่มของเฉินฮ่าวในครั้งนี้ไม่ได้กระทำโดยบุ่มบ่าม แต่เป็นเพราะเฉินซีเห็นโอกาส ในขณะที่ศิษย์ของตระกูลซูกำลังบุกทะลวงแนวป้องกันของเฟยเหลิ่งชุ่ยและคนอื่น ๆ พวกมันกำลังกู่ร้องด้วยความยินดีที่จะได้รับส่วนแบ่งจากของที่ริบมา ทำให้พวกมันไม่ได้ระวังข้างหลัง ดังนั้นเขาจึงลอบจู่โจมจากข้างหลัง เพื่อทำให้พวกมันขวัญหนีดีฝ่อ
ยามนี้ เขาเป็นเหมือนเสือดุร้ายที่กระโจนลงมาจากยอดเขา เล็งไปที่เหยื่อของเขาก่อนจะลงมืออย่างไร้ความปรานี กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดมีความคม รวดเร็ว และรุนแรง พวกมันแฝงไปด้วยพลังน้ำแข็งที่เย็นเยียบจากเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ของเขา และเมื่อรวมกับเคล็ดวิชาวาตะเหินทะยานที่ลึกซึ้งและรวดเร็ว เขาก็เป็นเหมือนลำแสงอันแหลมคมพุ่งทะยานสังหารผู้คนจากทุกทิศทุกทาง
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เฉินซีโจมตีอย่างเฉียบขาด การโจมตีแต่ละครั้งคร่าชีวิตโดยปราศจากความเมตตา ดาบท่องปรภพทั้งแปดเล่มต่างก็หมุนวนและพุ่งออกไป และผู้คนไม่กี่คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็เสียชีวิตในทันที
เพียงชั่วพริบตา ศิษย์อีกสิบกว่าคนของตระกูลซูก็ถูกสังหาร นี่เป็นเพราะเฉินซีต้องการหลีกเลี่ยงการเสียปราณแท้ของเขาและไม่เต็มใจที่จะใช้ค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสขั้นที่สองอีกต่อไป ถ้าเขาใช้กำลังทั้งหมดของเขา การโจมตีเพียงครั้งเดียวอาจจะฆ่าศิษย์ของตระกูลซูได้มากกว่านั้น
เมื่อซูเจียวที่อยู่ใกล้เคียงเห็นเฉินซีปรากฏตัว ในตอนแรกนางก็รู้สึกยินดี ทว่าเมื่อนางเห็นเขาสังหารศิษย์ของตระกูลซูมากกว่าสิบคนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ความเดือดดาลก็เกิดขึ้นในใจของนาง และเมื่อเห็นว่าแรงกดดันของเฉินซีนั้นเหมือนกับคลื่นยักษ์ถาโถม ซึ่งกวาดล้างทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า นางก็รู้สึกเกรงกลัวและตะโกนออกมาดัง ๆ ว่า “อย่าไปพัวพันกับมัน! ล่าถอยออกมาและตั้งค่ายกลซะ!”
ศิษย์ของตระกูลซูถูกเฉินซีโจมตีจนถึงจุดที่พวกมันรู้สึกสับสนมาตั้งนานแล้ว และเมื่อพวกมันได้ยินคำสั่งนี้ ราวกับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากความฝัน พวกเขาละการเผชิญหน้าและล่าถอยกลับอย่างรวดเร็วเพื่อมาบรรจบกันที่ตำแหน่งของซูเจียว
เฉินซีจะเฝ้าดูพวกมันหนีไปได้อย่างไร? ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเมื่อซูเจียวสร้างค่ายกลได้สำเร็จ สถานการณ์ที่เขาเปิดฉากโจมตีด้วยความยากลำบากจะกลายเป็นไร้ค่าและกลายเป็นสถานการณ์ล่อแหลมต่อเขาในทันที ทันใดนั้นเอง ร่างของเฉินซีก็พุ่งทะยานพร้อมกับปราณกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มได้ผสานกันเป็นตาข่ายขนาดใหญ่เคลื่อนไปสกัดกั้นพวกมันจากทางอีกด้าน
แต่น่าเสียดายที่ศิษย์ของตระกูลซูฟื้นคืนสติมาได้แล้ว และเสียงตะโกนที่ดังของซูเจียวทำให้พวกมันหาเสาหลักยึดเหนี่ยวจิตใจได้ ดังนั้นพวกมันจึงล่าถอยไปพร้อมกับต่อต้านเฉินซี และภายใต้ราคาที่จ่ายไปด้วยการสูญเสียศิษย์ไปสองคน ในที่สุดพวกมันก็มาบรรจบกับซูเจียว
ในขณะนี้ เนื่องจากการปรากฏตัวของเฉินซี ฝ่ายของซูเจียวจึงได้ยกเลิกการโจมตีเฉินฮ่าวเช่นกัน และกองกำลังทั้งสองได้รวมกันอย่างรวดเร็วเพื่อก่อตัวเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่กักขังเฉินซี เฉินฮ่าว และกลุ่มของเฟยเหลิ่งชุ่ยไว้ภายในอีกครั้ง
เฉินซีรู้ว่าเขาได้สูญเสียโอกาสที่จะทำลายล้างศัตรูของเขาอย่างรวดเร็วไปแล้ว จึงไม่ได้ไล่ล่าพวกมันอีกต่อไป จากนั้นเขาก็มองไปยังกลุ่มของเฟยเหลิ่งชุ่ย และประสานมือของเขาขณะที่กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ ข้าเฉินซี ขอขอบคุณพวกท่านที่ไม่ทอดทิ้งน้องชายของข้า ข้านั้นรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง เอาไว้ในภายภาคหน้า ข้าจะให้รางวัลใหญ่แก่พวกท่านทุกคนอย่างแน่นอน”
เมื่อคำพูดของเฉินซีเข้าหูกลุ่มของเฟยเหลิ่งชุ่ย ก็ทำให้พวกเขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก และรู้ว่าพวกเขารอดพ้นจากชะตากรรมที่จะถูกฆ่าตายได้ชั่วขณะ
แต่เมื่อพวกเขาเห็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่ก่อตัวโดยเหล่าศิษย์ของตระกูลซูที่อยู่รายรอบเกือบจะเสร็จสมบูรณ์ หัวใจของพวกเขาก็รู้สึกหนักอึ้งอยู่อีกครั้งและการแสดงออกของพวกเขาก็เคร่งขรึมในทันที
“ท่านพี่!” เฉินฮ่าวก้าวเข้ามาขณะที่เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก และเขากล่าวอย่างมีความสุขว่า “ข้ารู้ว่าท่านจะต้องมา”
“จงอย่าสู้อย่างสิ้นหวังในอนาคต หากเจ้าคิดว่าชนะไม่ได้ก็จงหนี มันไม่มีสิ่งใดที่ต้องอาย” เฉินซีกล่าวด้วยเสียงต่ำ ก่อนหน้านี้ เมื่อเขาเห็นสีหน้าที่สิ้นหวังทว่าไม่ยอมแพ้ของเฉินฮ่าว เขารู้สึกตกใจและกังวลเป็นอย่างมากว่า หากเฉินฮ่าวพบกับศัตรูที่ไม่สามารถเอาชนะได้ในอนาคต เด็กหนุ่มอาจจะต้องตายเพราะความดื้อรั้นของตนเอง
“อืม…” เฉินฮ่าวก้มศีรษะลงและตอบอย่างแผ่วเบา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของเฉินซี
ด้วยศัตรูตัวฉกาจที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา เฉินซีรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสอนบทเรียนให้แก่เฉินฮ่าว จึงทำได้เพียงถอนหายใจและไม่ได้กล่าวอะไรอีก
“เจ้าคือเฉินซี ผู้ที่สังหารผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งหกคนและผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอีกหนึ่งคนของตระกูลซูหรือ?” เฟยเหลิ่งชุ่ยมองไปที่เฉินซีด้วยแววตาที่สดใส ราวกับนางได้ค้นพบทวีปใหม่และเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ส่วนคนอื่น ๆ ที่อยู่เบื้องหลังเฟยเหลิ่งชุ่ยก็เป็นแบบนี้เช่นกัน พวกเขาจ้องมองไปที่เฉินซีด้วยสีหน้าพิกล ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มที่มีชื่อเสียงซึ่งเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันคือคนที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา
“เรามาจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้ากันก่อนดีกว่าหรือไม่?” เฉินซีหลีกเลี่ยงการตอบคำถามและเขาก็จ้องไปยังซูเจียวที่อยู่ห่างออกไป
“ตกลง” เฟยเหลิ่งชุ่ยและคนอื่น ๆ รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนทนา และพวกเขาก็หยุดกล่าวคำทันที ก่อนที่จะมองไปยังศิษย์ของตระกูลซูที่อยู่รายรอบ
ในขณะนี้ ภายใต้การนำของซูเจียว นอกจากคนอีกยี่สิบกว่าคนที่ถูกเฉินซีสังหารแล้ว ศิษย์ของตระกูลซูที่เหลืออีก 108 คนก็ได้ก่อค่ายกลขนาดใหญ่ขึ้นอีกครั้ง คนสามคนก่อตัวเป็นวงกลม วงกลมสามวงได้ก่อตัวเป็นวงแหวน ก่อนที่วงแหวนสามวงจะขยายออกเป็นกลุ่ม จากนั้นกลุ่มก้อนนั้นก็เรียงซ้อนกันเป็นวงแหวน จนพวกเขาดูเหมือนละอองคลื่นจำนวนมากที่ล้อมรอบตามจุดตำแหน่งที่แปลกประหลาด
ทันทีที่ค่ายกลขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น แรงกดดันมหาศาลพลันจู่โจมพวกเขามาจากทุกทิศทาง ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันจนถึงขีดสุด ราวกับว่าพวกเขาถูกจองจำอยู่ในคุกที่ไร้ซึ่งหนทางหลบหนี
“สิ่งนี้คือค่ายกลคุกหมากล้อมไตรวารีของตระกูลซู ด้วยหลักการที่ว่า หนึ่งสร้างสอง สองสร้างสาม และสามสร้างทุกสิ่ง มันจึงถูกสร้างขึ้นจากองค์ประกอบของหมากล้อมซึ่งแฝงด้วยเจตนาที่จะปิดล้อมและทำลายล้าง นอกจากนั้น พลังของทุกคนสามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ และตราบใดที่หนึ่งในนั้นถูกโจมตี พลังโจมตีของมันจะถูกคนอื่น ๆ สลายไป ด้วยอานุภาพเช่นนี้ มันจึงทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง” เฟยเหลิ่งชุ่ยอธิบายอย่างรวดเร็ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่านางเข้าใจค่ายกลขนาดใหญ่ตรงหน้าพวกเขาอย่างถ่องแท้
“มันทรงพลังจริง ๆ” เฉินซีพยักหน้า พลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้ง 108 คน ถูกซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ ซึ่งแทบจะทัดเทียมได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง
“ท่านพี่ เราจะทำอย่างไรดี” เฉินฮ่าวถาม
“เราต้องฝ่าออกไปอย่างรวดเร็ว!” เฉินซีกล่าว ขณะที่พุ่งมาทางนี้ ผู้บ่มเพาะจำนวนมากมายที่กำลังตามหลังเขา ส่วนใหญ่เป็นศิษย์ของพระราชวังข่ายดารา สำนักเมฆาอนันต์ และตระกูลฉาง เมื่อคำนวณจากเวลาแล้ว ในไม่ช้าพวกมันจะมาถึงที่นี่ และเมื่อพวกมันได้รวมตัวเข้ากับศิษย์ของตระกูลซู ผลที่ตามมาจะไม่อาจคาดเดา
ดังนั้น ต้องฉวยโอกาสตอนนี้ฆ่าพวกตระกูลซูให้เร็วที่สุด พวกเขาจึงจะมีโอกาสรอดชีวิตออกไป
แน่นอนว่า เมื่อพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาสามารถขยี้แผ่นยันต์เคลื่อนย้ายและจากไปโดยไม่ล้มตาย แต่ผู้ใดจะเต็มใจทำเช่นนั้น? นี่เป็นเพียงชั้นแรกของเจดีย์เท่านั้น!
“เนื่องจากเป็นเช่นนี้ เราจะฟังคำแนะนำของสหายเต๋าเฉินซี และลงมือไปด้วยกัน” เฟยเหลิ่งชุ่ยกล่าวอย่างเด็ดขาด
“เอาล่ะ ข้าจะเป็นผู้นำ พวกเจ้าจงตามหลังข้ามา” เฉินซีไม่ใช่คนที่ไม่กล้าตัดสินใจ เขาทะยานออกไปในระยะไกลทันที และเป้าหมายของเขาก็คือซูเจียว
“ทำลายผู้นำแล้วกองทัพจะพังทลาย และยังทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันตั้งตัวได้อีกด้วย พี่ชายของเฉินฮ่าวนั้นไม่ธรรมดา” เฟยเหลิ่งชุ่ยพยักหน้ากับตัวเอง จากนั้นจึงพาศิษย์คนอื่น ๆ ติดตามหลังเฉินซีไป
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
กระบี่บินทั้งหกสิบสี่เล่มลอยอยู่รอบตัวเฉินซีอย่างรวดเร็ว กระบี่แปดเล่มก่อตัวเป็นค่ายกลกระบี่ย่อย แปดค่ายกลกระบี่ย่อยรวมเป็นค่ายกลกระบี่ขนาดใหญ่ และภายใต้การนำของกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่ม ค่ายกลขนาดใหญ่ก็เปล่งรัศมีเข่นฆ่าที่น่าตกตะลึงออกมา มันเย็นยะเยือกเสมือนกลุ่มทหารผ่านศึกซึ่งกำลังสะสมกำลังขณะที่รอคอยคำสั่ง ซึ่งกระหายที่จะดื่มเลือดสด ๆ ของศัตรู!
โอม!
การหยั่งรู้ถึงเจตจำนงกระบี่ของเขาเป็นเหมือนกระแสน้ำที่เปล่งเสียงคำรามที่ชัดเจนราวกับมังกร และปราณกระบี่บริสุทธิ์และน่าสยดสยองก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกอึดอัดในทันทีและพวกมันรู้สึกราวกับว่าวิญญาณและผิวหนังเจ็บปวดจากการถูกเฉือนด้วยปราณกระบี่ที่พัดผ่านกลางอากาศ
ช่างทรงพลังจริง ๆ!
เขาสามารถควบคุมกระบี่บินระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดได้ถึงหกสิบสี่เล่ม ยิ่งกว่านั้น ค่ายกลที่สร้างขึ้นโดยพวกมันก็แฝงไปด้วยเต๋าแห่งสายลมที่ทรงอานุภาพ เขากลับบรรลุถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?
การบ่มเพาะเต๋าแห่งการต่อสู้ของเฟยเหลิ่งชุ่ยกำลังจะบรรลุไปสู่ขั้นเขตแดนเต๋า และนางมีสายตาที่เฉียบแหลมเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นนางจึงสามารถรับรู้ถึงพลังของค่ายกลกระบี่ของเฉินซีได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว
“ลมลืมเลือนเป็นพื้นผิว แสงคล้อยเป็นรากฐาน เสาหลักทั้งแปดยังคงไม่เคลื่อน หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว!” พร้อมกับเสียงของเฉินซี กระบี่บินทั้งหกสิบสี่เล่มก่อตัวเป็นกระบี่ลมและกระบี่แสง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแผนภาพของเจตจำนงกระบี่อันลึกซึ้งพุ่งตรงไปยังซูเจียว
ร่องลึกเป็นแนวขนาดมหึมาเส้นแล้วเส้นเล่าถูกฉีกออกบนพื้นหินแข็งทุกแห่งที่ค่ายกลกระบี่ผ่านไป ทำให้พื้นที่โดยรอบคล้ายกับร้องคร่ำครวญด้วยความไม่สบายใจและเปล่งเสียงเศร้าหมองไปทั่ว
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะมุ่งเป้ามาที่ข้า แต่น่าเสียดาย ไม่ว่าค่ายกลกระบี่ของเจ้าจะทรงพลังสักแค่ไหน วันนี้เจ้าต้องตายอย่างแน่นอน!” เจตนาฆ่าที่เย็นชาและสยดสยองปรากฏขึ้นในดวงตาของซูเจียว ขณะที่นางสร้างผนึกด้วยมือขวา จากนั้นนางก็ตะโกนอย่างเย็นชา “ค่ายกลคุกหมากล้อมสามพันเชือด!”
หวือ! หวือ! หวือ!
ปราณแท้ที่ทรงพลังพุ่งออกมาจากร่างของศิษย์ 108 คนในทันที และมันถูกส่งไปยังอีกคนหนึ่งในระยะไกลด้วยวิธีพิเศษ ในท้ายที่สุด มันก็มาบรรจบกันที่ปลายนิ้วของซูเจียว โดยควบแน่นเป็นลูกพลังแสงขาวดำ หยินอยู่ข้างหนึ่ง หยางอยู่อีกข้างหนึ่ง และมันหมุนวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คล้ายกับหมากล้อมสีขาวและสีดำ บรรยากาศรอบลูกพลังแห่งแสงดูเหมือนจะไม่อาจทนต่อพลังแห่งการทำลายล้างนี้ได้ จึงแตกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนที่จะพังทลายลง ทำให้เกิดวังวนที่มีสีดำและสีขาวตัดกันเป็นระลอกคลื่น
ทันใดนั้น ซูเจียวดีดนิ้วของนางออกไป!
ท่ามกลางสวรรค์และโลก กระแสของปราณแท้สีดำและสีขาวทั้งสามพันสายที่แตกต่างกันปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน และพวกมันก็เปลี่ยนเป็นลำแสงแหลมคมและดุร้าย ซึ่งเหมือนเส้นด้ายขณะที่พวกมันฟันลงมา
ปัง! ปัง! ปัง!
เกิดเสียงปะทะดังสนั่นเสมือนเสียงรัวกลอง ราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาไม่ขาดสาย และมันดังกึกก้องไปถึงหู ค่ายกลกระบี่ที่สร้างขึ้นโดยกระบี่บินทั้ง 64 เล่มสั่นไปมาอย่างรุนแรง จนเกือบจะพังทลายลงมา
ช่างเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวเสียนี่กระไร! ใบหน้าของเฉินซีเย็นชาในขณะที่เขาโคจรปราณแท้ในร่างกายด้วยพลังทั้งหมดของเขา และไม่ลังเลที่จะถ่ายเทปราณแท้ทั้งหมดลงในกระบี่บินทั้ง 64 เล่ม ทำให้พวกมันสามารถทรงตัวได้อีกครั้ง ทว่าพวกมันกลับต้องหยุดชะงักด้วยกระแสปราณแท้ทั้งสามพันสายสีขาวดำ และดูเหมือนไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้กับศัตรู
“สหายเต๋าเฉินซี ข้าจะช่วยเจ้า! ผนึกน้ำแข็งพันโยชน์!” ดาบคู่อัสนีผสานในมือของเฟยเหลิ่งชุ่ย ก่อให้เกิดคลื่นของปราณสีฟ้าและสีม่วงที่ดุร้ายและบ้าคลั่ง จากนั้นมันก็รวมตัวเป็นผลึกน้ำแข็งแวววาวและโปร่งแสงที่ปกคลุมท้องฟ้าขณะโปรยปรายออกไป สวรรค์และโลกกลายเป็นเยียบเย็นในทันที
“ภายใต้สวรรค์และโลกอันสูงส่ง กระบี่ของข้าเท่านั้นที่เที่ยงธรรม!” เฉินฮ่าวตะโกนออกมาดังลั่นขณะที่กระบี่ในมือซ้ายของเขาแทงออกมาอย่างเรียบง่ายด้วยเจตจำนงกระบี่อันทรงพลังที่ไม่อาจต้านทานได้ ซึ่งนำพาพลังมหาศาลที่ทำให้โลกต้องมืดมนขณะที่มันพุ่งออกไป
ศิษย์คนอื่น ๆ เข้าใจเช่นกันว่าพวกเขามาถึงช่วงเวลาสำคัญและทุกคนก็พยายามอย่างเต็มที่ ในช่วงเวลาหนึ่ง พลังงานหลายประเภทบินผ่านท้องฟ้าและพุ่งออกมาเหมือนมังกร ทำให้พื้นที่วุ่นวายและทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน และมันก็นำพาพลังงานที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ตูม!
ภายใต้การโจมตีเต็มพลังของเฉินซีและคนอื่น ๆ ลำแสงที่แหลมคมของปราณแท้สีขาวดำทั้งสามพันสายก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกระแสลมที่หมุนวนอย่างรุนแรงซึ่งระเบิดไปรอบ ๆ อีกทั้ง ยังทำให้พื้นดินในระยะยี่สิบลี้ รอบตัวพวกเขาถูกระเบิดจนพื้นดินไหม้เกรียมและพลิกคว่ำ ทำให้เศษหินแตกกระจายไปทั่ว
“มันไร้ประโยชน์ ไม่ว่าเจ้าจะดิ้นรนอย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงการโจมตีด้วยพลังที่อ่อนแอที่สุดของค่ายกลคุกหมากล้อมไตรวารี เพียงเท่านี้พวกเจ้าก็ต้านทานกันได้ลำบากแล้ว เฉินซี วันนี้เจ้าสองพี่น้องจะหนีไปได้อย่างไร?” ซูเจียวกล่าวอย่างเย็นชาว่า “และแม้ว่าเจ้าสองคนจะขยี้แผ่นยันต์เคลื่อนย้ายของเจ้าก็ไร้ประโยชน์ หากเจ้าไม่เชื่อคำพูดข้า เจ้าก็ลองดูได้”
“เจ้าแอบดัดแปลงแผ่นยันต์เคลื่อนย้ายอย่างนั้นหรือ?” หัวใจของเฉินซีจมดิ่งลง และสีหน้าของเขาก็เย็นชาจนสุดขีด ในเมื่อซูเจียวกล่าวด้วยความมั่นใจเช่นนี้ เขาจะไม่อาจเดาได้อย่างไรว่าแผ่นยันต์เคลื่อนย้ายได้ถูกดัดแปลงไปแล้ว?