บทที่ 149 ยึดคืน
บทที่ 149 ยึดคืน
ครืนนนน!
ฉับพลันที่คนทั้งสี่จู่โจม ท้องฟ้าสะท้านสะเทือนเป็นระลอกครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งกระแสกระเพื่อมแผ่กระจายไปทุกแห่งหนที่พวกเขาเคลื่อนผ่านไป พลังที่น่าเกรงขามอยู่แล้วยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างน่าสะพรึงกลัว
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่คนเป็นถึงประมุขของนิกาย การลงมือจู่โจมอย่างเฉียบพลันเช่นนี้ออกจะเกินความคาดหมายของทุกคนโดยรอบอย่างแท้จริง ไม่มีใครคิดว่าคนซึ่งมีอัตลักษณ์เป็นที่นับถือของคนทั่วไป ยามนี้จะเสียความสงบเยือกเย็นได้ถึงเพียงนี้ และไม่นำพาต่อสถานะและสถานการณ์ของตนจึงร่วมกันลงมือจู่โจมเฉินซี!
ฝ่ายซูเจิ่นเทียนทั้งสี่คนมีความว่องไวปานสายฟ้าอย่างยากจะหาผู้ใดทัดเทียม เกือบจะพร้อมกับเสียงที่ดังกึกก้อง ทั้งสี่คนพลันพุ่งทะยานลงจากแท่นหยก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้วางแผนกันมาก่อนหน้าแล้ว
ยิ่งกว่านั้นคนทั้งหมดเป็นผู้ฝึกบ่มเพาะพลังขอบเขตจุติ ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาเปิดฉากจู่โจม ได้แผ่พลังอันน่าสะพรึงกลัวออกจากร่างกายราวมวลน้ำในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่กระหน่ำซัดพัดพา เป็นเหตุให้คนที่อยู่ใต้แท่นหยกต่างรู้สึกอึดอัดเหมือนกับหายใจไม่ออก ทันใดนั้นคนทั้งหมดก็ถูกพลังพัดปลิวจนกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง ไม่ต่างจากใบไม้แห้งต้องกระแสลมฤดูใบไม้ร่วงพัดจนปลิดปลิวไปอย่างง่ายดาย
เฉินซีที่อยู่ไกลออกไปยังคงหลับตาอยู่ ใบหน้าแฝงรอยยิ้มเป็นนิจก็จริงหากแต่ในหัวใจของเขากลับรับรู้ถึงอันตรายร้ายแรงที่พุ่งเข้ามา ความสยองขวัญสั่นประสาทที่บังเกิดขึ้นทำให้ชายหนุ่มถึงกับตาสว่าง ตื่นจากสภาวะเป็นสุขและสงบนิ่ง จากนั้นจึงสังเกตเห็นซูเจิ่นเทียนและอีกสี่คนผสานพลังที่น่าสะพรึงกลัวสุดขีดขณะพุ่งเข้าหาเขา เพียงพลังที่แผ่ออกมาจากพวกเขา ก็ทำให้เฉินซีรับรู้ถึงแรงกดดันน่ากลัวที่ไม่ว่าจะสลัดอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้น
“เกิดอะไรกันขึ้น แล้วเหตุใดข้าถึงออกมาจากเจดีย์เช่นนี้?” ยังไม่ทันที่เฉินซีจะหันไปรอบข้างด้วยความงุนงง เขาพลันได้รับการสื่อสารจากหลิงไป๋ที่ส่งเข้ามาในจิตใจ “หนีไปเร็ว! พวกสี่คนนั้นล้วนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติทั้งสิ้น เจ้าฉวยเอาเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ไปอย่างนี้ พวกมันจะปล่อยให้เจ้ารอดไปได้อย่างนั้นหรือ!”
เพียงได้ยินเท่านั้น เฉินซีก็เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของตนเอง สีหน้าของเขาพลันกลายเป็นถมึงทึงทันที พวกของซูเจิ่นเทียนกำลังล้อมกรอบเขาจากทุกทิศทาง ขณะเดียวกันก็ปลดลปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมาปิดล้อมอย่างแน่นหนา จนเขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นเพียงฟางหญ้าที่ลอยคว้างอยู่กลางมหาสมุทรกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เขาแทบไม่อาจต้านแรงกดดันมหาศาลนั้นด้วยการใช้พลังทั้งหมดที่มี ไม่ว่าจะสู้หรือหนีดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
นี่คือความแตกต่างอย่างร้ายกาจของขอบเขตการบ่มเพาะพลัง
ไม่ว่าความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเฉินซีจะโดดเด่นเพียงใด ความสามารถในการเข้าใจของเขาจะสูงเพียงใด หรือเคล็ดวิชาที่เขามีอยู่จะเลิศล้ำขนาดไหน เมื่อเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติซึ่งอยู่เหนือกว่าเขาถึงสองขอบเขต เขาก็อ่อนแอจนถึงจุดที่ดูเหมือนมดที่คงตายด้วยการกระทืบเพียงครั้งเดียว
นี่ยังไม่พูดถึงว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติสี่คนที่จู่โจมเข้ามาพร้อมกัน เช่นนี้เขาจะมีช่องว่างตรงไหนให้โต้ตอบบ้าง?
ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่เฉินซีรู้สึกอับจนหนทาง ขาดแคลนพละกำลังและสูญสิ้นความหวังราวกับคนที่กำลังจะจมน้ำตาย
เฉินซีกำลังตกอยู่ในอันตราย!
ขณะนั้นตู้ชิงซีหลับตา ใบหน้าของต้วนมู่เจ๋อบิดเบี้ยวเหยเก ฝ่ายซ่งหลินหรี่ตาแคบ ส่วนเฉินฮ่าวกัดริมฝีปากตนเองแน่น เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเร็วนักจนทำให้พวกเขาไม่ทันได้ตอบโต้ หรือต่อให้พวกเขามีเวลาในการลงมือช่วยเหลือมากกว่านี้ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้มากเช่นกัน
มีเพียงซูเจียวคนเดียวเท่านั้นที่แววตาเป็นประกายด้วยความยินดี ความเป็นศัตรูของนางกับเฉินซีนั้นฝังรากหยั่งลึกมานาน และสิ่งที่สตรีผู้นี้ต้องการไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่ได้เห็นเฉินซีต้องตายด้วยฝีมือของผู้เป็นบิดา ฉะนั้นภาพนี้จึงถูกใจของนางยิ่งนัก
“ตายเสีย!” ซูเจิ่นเทียนทะยานขึ้นไปอยู่เหนือร่างของเฉินซี ขณะที่สายตาจ้องขม็งไปยังชายหนุ่มผู้เป็นเป้าหมายที่อยู่ไม่ไกลนัก เจตนาสังหารพุ่งออกมาจากหัวใจ ความเดือดดาลที่ปะทุอยู่ในใจเป็นตัวกระตุ้นให้ปรารถนาที่จะบดขยี้คนที่อยู่ตรงหน้าให้แหลกมากยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น
“ซูเจิ่นเทียน…ผู้นำตระกูลซู เถี่ยอวิ๋นจื่อ ประมุขแห่งพระราชวังข่ายดารา ฉางเสี่ยวหลง ผู้นำตระกูลฉาง…และประมุขของสำนักเมฆาอนันต์ เจียงเจิ้นอวี่…ข้าจดจำพวกเจ้าได้ทุกคน ต่อให้ต้องตายลงวันนี้ข้าก็จะลากพวกเจ้าทั้งหมดให้ลงนรกไปด้วย!” แววตาเหี้ยมเกรียมของเฉินซีส่องประกายวาบ เขากำลังต้องการจะระเบิดพลังบ่มเพาะทั้งหมดในตัวและเมื่อนั้นจะทำให้ทุกคนที่เขาระบุตัวตนถูกระเบิดไปด้วย!
ในช่วงเวลาแห่งความป็นความตาย ขณะนั้นเฉินซีรู้สึกว่าภาพที่มองเห็นพร่ามัวไปหมด ทันใดนั้นร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า และก่อนที่เขาจะแยกแยะได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ฉับพลันนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดเปรี้ยงปร้างที่ดังไม่ชัดนักขึ้นสี่ครั้ง ผลคือพวกของซูเจิ่นเทียนที่พุ่งตัวมาจากทุกทิศทางต่างถูกพลังฟาดจนทุกคนกระเด็นไปไกลกว่าห้าสิบจั้ง ด้วยการสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งเดียว ซึ่งเป็นภาพที่น่าสมเพชอย่างยิ่ง!
ฟึ่บ!
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ทุกคนที่กำลังรับชมอยู่อ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน แต่ละคนที่เฝ้าดูแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่เห็น การลงมือจู่โจมพร้อมกันของผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติถึงสี่คน จะไปสามารถรับมือได้ง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
บัดนี้เฉินซีก็ได้เห็นว่าคนที่เพิ่งมานั้นคือใครอย่างชัดเจนแล้วเช่นกัน อีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าสีคราม ในมือมีพัดที่ทำมาจากขนนก ท่าทางมีมิตรไมตรี ใบหน้าหล่อเหลาและสุภาพ น่าตกใจอย่างยิ่งที่คนผู้นี้ก็คือบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร…! ผู้สำเร็จการบ่มเพาะพลังขอบเขตสถิตกายา แต่เขาไม่เป็นที่รู้จักโดยวงกว้างนักเพราะชอบอยู่อย่างสันโดษมานานปี!
“นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนนั่นเอง ไม่แปลกใจแล้วเป็นเขาที่จะสามารถทำลายพลังจู่โจมของพวกซูเจิ่นเทียนทั้งสี่ด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว!”
“เขาเองอย่างนั้นหรือ? ข้าเคยได้ยินมาเหมือนกันว่ามีผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรที่แยกตัวสันโดษ เป็นผู้อาวุโสตรงหน้าคนนี้เองสินะ”
“ถ้าเช่นนั้นเขาก็คือผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา…น่ากลัว! น่ากลัวนัก!”
เมื่อทุกคนต่างลงความเห็นว่าบุรุษลึกลับที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหันผู้นั้นคือเหวินเสวี่ยน ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร นักพรตเต๋าที่ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก ณ ขณะนั้น ผู้คนในบริเวณโดยรอบต่างเผยความเคารพนับถือและเทิดทูนอยู่ในที
ทว่าสำหรับคนสี่คน ซูเจิ่นเทียน เถี่ยอวิ๋นจื่อ ฉางเสี่ยวหลงและเจียงเจิ้นอวี่ นอกจากพวกเขาจะรู้สึกประหลาดใจและงุนงงแล้ว การปรากฏตัวของเหวินเสวี่ยน ได้กระตุ้นให้ความโกรธเคืองของพวกเขาพุ่งขึ้นมาเป็นระลอก
พวกเขากำลังจะจัดการกับเฉินซี เพื่อที่พวกตนจะได้ยึดสมบัติอมตะเจดีย์บำเพ็ญทุกข์เสียเลย ทว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาคนนี้จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาแทรกกะทันหัน จะไม่ให้พวกเขารู้สึกขัดเคืองใจอย่างไรได้
“อาจารย์!” เฉินฮ่าวพลันทะยานเข้ามา จากนั้นจึงรีบค้อมตัวคารวะทักทาย
“ฝีมือของเจ้าในงานเทียบอันดับมังกรซ่อนครั้งนี้นับว่าไม่เลว เจ้าอยู่เฉย ๆ คอยจับตาดูไปก่อน แล้วข้าจะพากลับนิกายเอง” เหวินเสวี่ยนคลี่พัดที่ทำจากขนนกขณะกล่าวพร้อมรอยยิ้มอย่างอบอุ่น
“ขอรับ” เฉินฮ่าวผงกศีรษะรับคำ จากนั้นจึงขยับเข้าใกล้เฉินซีก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง”
เฉินซีส่ายศีรษะทำนองปฏิเสธ จากนั้นสายตาของเขาก็มองเลยไปยังพวกซูเจิ่นเทียน แววตาเกลียดชังฉายวาบอย่างไม่ปกปิดเลยแม้แต่น้อย หากมิใช่เพราะนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนเข้ามาขัดขวางไว้ทันเวลา ตนเองคงถูกคนทั้งสี่บังคับให้ต้องระเบิดพลังพลีชีพไปแล้ว
ขณะนั้นเหมือนตนกำลังย่างกรายลงสู่ขุมนรก รู้สึกสิ้นหวัง โกรธแค้นและไม่ยินยอม ด้วยความเกลียดชังเต็มหัวใจ เฉินซีจึงได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าเมื่อใดที่เขาแข็งแกร่งขึ้น เขาจะกำจัดคนที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจและไร้ยางอายเหล่านี้ให้ดับดิ้นอย่างแน่นอน!
อาจารย์อย่างนั้นหรือ? นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนที่แท้ก็คืออาจารย์ของน้องชายของเฉินซีอย่างนั้นหรือ? ไม่น่าแปลกที่เขาจะเข้ามาช่วยเหลือ!
เมื่อพบว่าเฉินฮ่าวรีบเข้ามาทักทายนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน ผู้คนในบริเวณนั้นบ้างก็เข้าใจได้ทันที บ้างก็แสดงอาการตกใจ
น้องชายของเฉินซีกลายเป็นศิษย์ของผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาอย่างนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าบุรุษคนนี้ก็มีสถานะอาวุโสเทียบเท่าประมุขแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรสินะ
“อาจารย์อาเหวินเสวี่ยน” เพื่อพิสูจน์สถานะของเหวินเสวี่ยนที่คนอื่น ๆ กำลังคาดเดาอยู่นั้น หลิงคงจื่อก็ทะยานจากแท่นหยกและรีบตรงมาหยุดอยู่เบื้องหน้านักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนทันที ก่อนที่เขาจะคารวะทักทายอีกฝ่าย จากนั้นสายตาก็เหลือบไปทางเฉินฮ่าวและกล่าวพร้อมกับยิ้ม “เดิมทีหลังจากเสร็จสิ้นงานเทียบอันดับมังกรซ่อนในครั้งนี้แล้ว ข้าตั้งใจจะเลื่อนระดับเจ้าให้เป็นศิษย์ชั้นยอด ตอนนี้คงไม่จำเป็นเพราะเจ้ากลายมาเป็นศิษย์น้องเล็กของข้าเสียแล้ว ฮ่า ๆ!”
เฉินฮ่าวสติปัญญาฉับไวใช่เล่น เขาค้อมกายคารวะพร้อมเอ่ยทักตอบ “เฉินฮ่าวคารวะศิษย์พี่ใหญ่”
“ดี…ดี…ดี…ฮ่า ๆๆ! นี่คือของขวัญแสดงการต้อนรับจากศิษย์พี่ใหญ่ ศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสูง…กระบี่เพลิงคราม” หลิงคงจื่อยิ้มก่อนจะนำกระบี่บินสีฟ้าครามที่เปล่งพลังแห่งเปลวเพลิงออกมา จากนั้นก็ยื่นให้เฉินฮ่าว
“เฮอะ! นิกายกระบี่เมฆาพเนจรแผนสูงนัก คิดเอาชนะใจน้องชายของเฉินซีเพื่อหวังครอบครองสมบัติอมตะอย่างเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ที่เฉินซีมีไว้ในทางอ้อม คิดหรือว่าพวกเราจะมองแผนการนี้ไม่ออก” เสียงพูดเยาะเย้ยของซูเจิ่นเทียนดังมาแต่ไกล
“จริงด้วย เจดีย์บำเพ็ญทุกข์เป็นกรรมสิทธิ์ของทุกกองกำลังแห่งเมืองทะเลสาบมังกร แต่เวลานี้นิกายกระบี่เมฆาพเนจรกลับคิดครอบครองไว้คนเดียว พวกเราทุกคนไม่เห็นด้วยแน่นอน” เถี่ยอวิ๋นจื่อ ประมุขแห่งพระราชวังข่ายดาราส่งเสียงสนับสนุนซูเจิ่นเทียน
“แน่นอน พวกเราก็ไม่ยอมเหมือนกัน” เวลานี้ฉางเสี่ยวหลง ผู้นำตระกูลฉางและเจียงเจิ้นอวี่ ประมุขแห่งสำนักเมฆาอนันต์ เสริมขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
ทันใดนั้น ทั้งสี่ฝ่ายต่างร่วมคัดค้านต่อการกระทำของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอย่างพร้อมเพรียง ทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที ราวกับพวกเขาพร้อมที่จะกระโจนเข้าขย้ำคอหอยของฝ่ายตรงข้ามเลยทีเดียว
กระทั่งความคิดมากมายที่อยู่ในใจของบรรดาผู้นำที่กำลังสังเกตการณ์บนแท่นหยกต่างพากันพรั่งพรูออกมา แต่ด้วยยังมีความหวาดเกรงพลังแกร่งกล้าของนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน พวกเขาจึงเลือกที่จะเป็นเพียงผู้เฝ้าดู ทว่าท้ายที่สุดพวกเขาจะไม่ยอมนิ่งเฉยปล่อยให้เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ตกไปอยู่ในมือของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอย่างแน่นอน
“ผู้ที่โชคชะตากำหนดไว้แล้วเท่านั้นจึงได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าแห่งสวรรค์และโลก เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่มาเกือบเจ็ดพันปีเหตุใดพวกเจ้าจึงปราบลงไม่ได้ มาตอนนี้พวกเจ้ามองข้ามการกระทำของตัวเอง แต่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก มิหนำซ้ำยังพยายามจะแย่งชิงสมบัติล้ำค่าอย่างหน้าด้าน ๆ ขนาดข้าเองยังรู้สึกละอายใจแทนพวกเจ้า” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนคลี่พัดขนนกในมือขณะออกวาจาดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างชัดเจน
“เฮอะ! พวกเราทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่านี่เป็นสิ่งชอบธรรมแล้วจึงได้ทำลงไป เพราะไม่มีทางที่เราจะยอมทนเห็นเจดีย์ตกไปอยู่ในมือของคนภายนอกเด็ดขาด อย่างนี้แล้วจะเรียกว่ารังแกเด็กได้อย่างไร” ซูเจิ่นเทียนพูดด้วยสีหน้าคล้ำเคร่ง “นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโส เจ้ากลับสร้างความลำบากแก่พวกเราทุกประการ นั่นไม่ใช่เพราะเจ้าเองก็อยากจะได้เจดีย์นี้เหมือนกันหรอกหรือ ไม่รู้ล่ะ อย่างไรเสียวันนี้เจ้าเด็กคนนั้นจะต้องส่งเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มาให้เรา มิฉะนั้น สหายเต๋าทุกคนในเมืองทะเลสาบมังกรของเราจะไม่ยอมสงบง่าย ๆ!”
“ถ้าข้าไม่ยอมล่ะ” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนยกยิ้ม แววตาปรากฏประกายเยือกเย็นสว่างวาบ
“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหาว่าพวกเราหยาบคายก็แล้วกัน!” ซูเจิ่นเทียนกล่าวจบ ใบหน้าของเขาพลันเย็นชาขึ้นมา “คนอื่นอาจกลัวเจ้า นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน แต่ข้า…ซูเจิ่นเทียนไม่เคยกลัว วันนี้ไม่เพียงเจ้าเด็กนั่นจะต้องมอบเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ให้เราเท่านั้น แต่มันจะต้องชดใช้ให้คนในตระกูลซูของข้าที่ตายไปด้วยชีวิต! นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน ข้าสันนิษฐานว่านิกายกระบี่เมฆาพเนจรของเจ้าคงไม่เต็มใจที่จะมาร่วมต่อสู้กับตระกูลซู ตระกูลฉาง พระราชวังข่ายดาราและสำนักเมฆาอนันต์ ใช่ไหม”
“ขู่ข้าอย่างนั้นหรือ” รอยยิ้มบนใบหน้าของนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนพลันเลือนหายไป ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขากลับปรากฏเจตนาสังหารฆ่าเข้ามาแทน
“ข้าไม่ได้ขู่ เฉินซีไม่ใช่ศิษย์แห่งเมืองทะเลสาบมังกรและไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของเจ้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงต้องออกหน้ารับแทนมันด้วยเล่า นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน” ซูเจิ่นเทียนพูดพลางสีหน้าราบเรียบ “เหตุผลที่พวกเราร้องขอให้ส่งมอบเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มิใช่เพียงเพื่อตัวเอง แต่เพื่อประโยชน์ของกองกำลังต่าง ๆ ในเมืองทะเลสาบมังกรทั้งหมด หลังจากนี้พวกเราค่อยมาแบ่งประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน ข้าคิดว่าบรรดาผู้นำอื่น ๆ ก็คงจะยินดีถ้าเราตกลงกันได้”
“สหายซู…ช่างเข้าใจพูด ท่านเหมารวมพวกเราเข้าไปด้วยเพื่อกดดันนิกายกระบี่เมฆาพเนจรสินะ” ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีดำที่มีท่าทางภูมิฐานบนแท่นหยกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แต่ตระกูลตู้ของข้ากลับคิดว่า ในเมื่อโชคชะตาสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้กำหนดให้สหายน้อยเฉินซีปราบมันได้แล้ว ดังนั้นมันก็ควรเป็นของเขาจึงจะถูก ดั่งคำที่ว่าสมบัติล้ำค่าในสวรรค์และหล้าโลกย่อมเป็นของผู้ที่โชคชะตาฟ้ากำหนด พวกข้าไม่อาจยอมรับพฤติกรรมอันน่ารังเกียจที่หลับหูหลับตาจะยึดแต่สมบัติล้ำค่าอย่างนี้”
คนผู้นี้คือผู้นำตระกูลตู้…ตู้อู่หยวน
“ตระกูลซ่งของข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” เสียงผู้นำตระกูลซ่ง…ซ่งเหวินชงเอ่ยตามมา
“ตระกูลต้วนมู่ของข้าขอสนับสนุนความคิดของพี่ชายตู้ด้วยเช่นกัน” บัดนี้ ต้วนมู่อวิ๋นคงผู้นำตระกูลต้วนมู่ย้ำชัดมาอีก
ตระกูลตู้ ตระกูลซ่ง และตระกูลต้วนมู่เอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน จึงเป็นเหตุให้สถานการณ์ในครั้งนี้พลิกผันไปอีกครั้ง สามกลุ่มกองกำลังทยอยเข้าร่วมกับฝ่ายนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเพื่อต่อต้านฝ่ายของซูเจิ่นเทียนทั้งสี่
เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนในบริเวณต่างหันไปมองกันเลิ่กลั่ก ท่าทางว้าวุ่นและตกใจสุดขีด
‘ไม่ใช่ว่าเฉินซีเป็นผู้บ่มเพาะที่มาจากต่างแดนหรอกหรือ? เหตุใดจึงมีกองกำลังยิ่งใหญ่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือมากมายนัก?’
หากมีแต่เฉินซีคนเดียวที่เข้าใจทันทีว่าพวกตู้ชิงซีล้วนเข้าไปมีบทบาทในการทำให้ความคิดเห็นและทัศนคติของกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาเปลี่ยนไป เมื่อคิดได้ดังนี้ชายหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นและพบว่าเป็นจริงดังคาด ด้วยสายตาของเขาจับไปที่ตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อและซ่งหลิน ทุกคนกำลังโบกมือให้เขาอยู่พอดี ทำให้ชายหนุ่มสัมผัสถึงความรู้สึกอุ่นใจ ขณะยิ้มตอบรับ
“เฮอะ! เรื่องเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ค่อยไปว่ากันภายหลังก็ได้ แต่วันนี้เจ้าเด็กนี่จะต้องสังเวยชีวิตให้แก่ดวงวิญญาณของคนตระกูลซูที่ตายไปแล้วทุกคน!”
ทันใดนั้นบังเกิดเสียงหวีดแหลมดังขึ้นจนแสบแก้วหู สายตาของทุกคนพลันจับภาพของก้อนเมฆสีแดงฉานกำลังลอยตรงมาแต่ไกล ก่อนจะแปรสภาพเป็นร่างของชายชราผมยาวประบ่า ใบหน้าผอมตอบและเคร่งเครียดลงมาจากกลางอากาศประหนึ่งเดินลงบันไดที่ไร้รูปทรงกระนั้น ทุกย่างก้าวของคนผู้นั้นส่งให้ชั้นบรรยากาศเกิดความแปรปรวนอย่างรุนแรง และร่างกายของเขาก็พุ่งออกมาด้วยพลังกราดเกรี้ยวรุนแรงเหมือนกับระลอกคลื่นถาโถมลงมากดทับทุกคนที่อยู่ที่นั่น บางคนถึงกับตื่นตระหนกจนใบหน้าซีดเผือด