บทที่ 166 คำเชิญเข้าร่วมพิธี
บทที่ 166 คำเชิญเข้าร่วมพิธี
“ท่านพี่ ท่านบ่มเพาะมันสำเร็จแล้วหรือขอรับ?” เฉินฮ่าวกล่าวด้วยความประหลาดใจ อันที่จริง หลังจากที่เขาได้สัมผัสกับวิถีกระบี่ของเฉินซีก่อนหน้านี้ เขาก็เข้าใจว่าท่านพี่ของเขาบ่มเพาะคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบจนสำเร็จแล้ว แต่ความประหลาดใจที่น่ายินดีเช่นนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป จนเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อถือเช่นกัน
ซึ่งแท้จริงแล้ว คัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบเป็นวิชากระบี่ที่แพร่หลายมากที่สุดในโลก แต่ก็บ่มเพาะได้ยากเช่นเดียวกัน ในช่วงเวลาหลายพันปีมานี้ แทบไม่เคยได้ยินว่ามีผู้บ่มเพาะมันได้สำเร็จ แม้ว่าจะเป็นนิกายที่บ่มเพาะเต๋าแห่งกระบี่เฉกเช่นนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ก็ไม่มีใครสักคนที่สามารถบ่มเพาะมันได้สำเร็จ ดังนั้นการที่เฉินซีนั่งสมาธิจนตนเองอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้เป็นเวลาถึงห้าปีนั้น และก็สามารถบ่มเพาะจนสำเร็จได้ จึงเป็นสิ่งที่ยากจะเชื่อได้
“อาจถือได้ว่าข้านั้นประสบความสำเร็จเพียงขั้นต้นเท่านั้น และยังมีหนทางอีกยาวไกลที่ข้าต้องบ่มเพาะให้เชี่ยวชาญอย่างสมบูรณ์” เฉินซีถอนหายใจ เขาได้ตระหนักถึงกระบวนท่ากระบี่อันยิ่งใหญ่ทั้งแปดของคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ แต่กลับกลายเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด เมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาเพียงเรียนรู้พื้นฐานเท่านั้น และยังห่างไกลจากความเชี่ยวชาญอย่างมาก
ทั้งกระบี่เฉียนแห่งนภา กระบี่คุนแห่งพสุธา กระบี่ข่านแห่งวารี กระบี่ตุ้ยแห่งหนองบึง กระบี่สวินแห่งวายุ กระบี่หลีแห่งอัคคี กระบี่เจิ้นแห่งสายฟ้า และกระบี่เกิ้นแห่งขุนเขา แม้ว่ากระบวนท่าของพวกมันจะเป็นอิสระและจำแนกตามแต่ละคุณลักษณะ แต่พวกมันก็ไม่ได้แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิงและยังเชื่อมโยงถึงกัน จึงอาจกล่าวได้ว่า กระบวนท่ากระบี่อันยิ่งใหญ่ทั้งแปดนี้เป็นเพียงรากฐานเท่านั้น และสิ่งที่เฉินซีต้องทำต่อไปคือผสานกระบวนท่ากระบี่อันยิ่งใหญ่ทั้งแปดนี้เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างกระบวนท่ากระบี่ที่ทรงอานุภาพยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อกระบี่เกิ้นแห่งขุนเขากับกระบี่ตุ้ยแห่งหนองบึงถูกผสานเข้าด้วยกัน ก็จะกลายเป็นกระบวนท่ากระบี่เกิ้นตุ้ยแห่งขุนเขาและหนองบึง ภูเขาและหนองน้ำเข้ากันได้ สิ่งหนึ่งเป็นแกนหลักและอีกสิ่งเป็นแกนรอง สิ่งหนึ่งเป็นลำต้นและอีกสิ่งหนึ่งเป็นกิ่งก้าน เมื่อเทียบกับการใช้กระบวนท่าที่ปราศจากการผสาน อานุภาพของมันจะพุ่งทะยานเป็นสองเท่าอย่างเห็นได้ชัด
หรือตัวอย่างเช่น กระบี่สวินแห่งวายุกับกระบี่หลีแห่งอัคคีเมื่อถูกผสานเข้าด้วยกัน ก็จะกลายเป็นกระบี่สวินหลีแห่งวายุและอัคคี ซึ่งสายลมจะสนับสนุนอานุภาพของไฟ จากนั้นไฟก็จะหมุนวนโดยรอบ เพื่อรองรับอานุภาพของลม และอานุภาพที่น่าทึ่งของมันนั้นไม่มีขอบเขต
สรุปแล้ว เมื่อกระบวนท่ากระบี่ทั้งแปดนี้ผสานเข้าด้วยกัน พวกมันจะเกิดกระบวนท่ากระบี่ขึ้นมาใหม่ ดังนั้น หากผสานกันมากเท่าไรก็ยิ่งมีกระบวนท่าที่หลากหลายมากขึ้นเท่านั้น และวงจรวิวัฒนาการก็ไร้ขอบเขต
แต่หากเฉินซีต้องการผสานกระบวนท่ากระบี่ทั้งแปดนี้เข้าด้วยกัน และค่อย ๆ อนุมานมันทีละเล็กทีละน้อย ความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณของเขาในตอนนี้ ก็ไม่เพียงพอที่จะบรรลุสิ่งนี้ได้ ตัวอย่างเช่น กระบี่เฉียนแห่งนภาและกระบี่คุนแห่งพสุธา สิ่งหนึ่งคือนภา อีกสิ่งคือพสุธา และพวกมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรือกระบี่ข่านแห่งวารีและกระบี่หลีแห่งอัคคี น้ำและไฟไม่อาจผสานกันเนื่องจากพวกมันแตกต่างกันสุดขั้ว ดังนั้นการผสานและเชื่อมโยงเข้าด้วยกันมันจะง่ายดายได้อย่างไร?
“แค่สำเร็จในขั้นต้นก็ทรงพลังขนาดนี้ แล้วมันจะวิเศษขนาดไหนหากท่านควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์” เฉินฮ่าวอ้าปากค้างด้วยความชื่นชม
“หืม? เจ้าต้องการบ่มเพาะมันด้วยหรือ?” เฉินซียิ้ม
เฉินฮ่าวรีบส่ายศีรษะ “สิ่งสำคัญในตอนนี้สำหรับข้า คือต้องอุทิศตนเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋าแห่งกระบี่อย่างเต็มที่ และเต๋ากระบี่เที่ยงธรรมของข้าก็เพิ่งเป็นรูปเป็นร่างเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น มันจะไม่ด้อยไปกว่าคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบหลังจากที่มันบรรลุถึงจุดสูงสุด ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องการแบ่งความสนใจออกเป็นสองส่วน เพราะนั่นเป็นข้อห้ามอย่างยิ่งในการบ่มเพาะ”
เฉินซีไม่ได้คิดที่จะบังคับเฉินฮ่าวเลยแม้แต่น้อย ท้ายที่สุด เขาเพิ่งเรียนรู้พื้นฐานของคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบเท่านั้น ดังนั้นเขาจะสามารถชี้นำการบ่มเพาะแก่เฉินฮ่าวได้อย่างไร
“น้องเฉิน ในที่สุดเจ้าก็ตระหนักได้ว่าหลงทางและกลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้องแล้วหรือ?” ในขณะนี้ เป่ยเหิงกำลังทะยานผ่านท้องฟ้า เมื่อเห็นเฉินซียืนอย่างภาคภูมิอยู่ที่ด้านข้างของหน้าผาจากระยะไกล เขาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ
เฉินซีหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา ‘ครั้งหนึ่งเฉินฮ่าวก็เคยกล่าวแบบนี้ และตอนนี้เป่ยเหิงก็กล่าวในทำนองเดียวกันเช่นนี้ หรือว่าทุกคนจะคิดว่าข้าจะบ่มเพาะล้มเหลวกัน?’
“ท่านบรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิง ท่านพี่ของข้าสามารถบ่มเพาะมันได้สำเร็จแล้ว!” เฉินฮ่าวร้องออกมาจากด้านข้าง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ เขาทำได้สำเร็จจริงหรือ?” เป่ยเหิงตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ร่างของเขาส่ายไปมา จนแทบหล่นมาจากท้องฟ้า
…
ในวันนี้ข่าวของเฉินซี ผู้นั่งสมาธิอยู่ที่ริมหน้าเป็นเวลาห้าปี ได้บ่มเพาะคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบจนสำเร็จ ได้แพร่กระจายไปยังภายในและภายนอกของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร เมื่อผู้คนในนิกายได้ทราบถึงข่าวนี้ พวกเขาต่างก็มีสีหน้าที่ดูเหมือนพบเห็นภูตผี และยืนเหม่อลอยอย่างว่างเปล่า ปราศจากคำพูดใด ๆ ออกมาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
บรรพจารย์สูงสุดเป็นคนเผยแพร่ข่าวนี้ ดังนั้นจะมีผู้ใดกล้าสงสัยอีก? ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสถานะของเขา ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหลอกลวงเหล่าศิษย์ร่วมนิกายของเขาเลยด้วยซ้ำ
ณ ยอดเขาใจสัจธรรมในยามนี้จึงคึกคักขึ้นมาในทันที เมื่อเหล่าแขกจากที่ต่าง ๆ มาถึงอย่างต่อเนื่อง และล้วนมาแสดงความยินดีแก่เฉินซี แม้แต่ตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อและซ่งหลิน เมื่อพวกเขาได้ยินถึงข่าวนี้ พวกเขาก็รีบเดินทางมาด้วยกัน และดูเหมือนว่าต้องการพิสูจน์ด้วยสองตาของพวกเขาว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่
เพียงไม่กี่วันผ่านไป ความคึกคักเช่นนี้ก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่ความสงบ และชีวิตบนยอดเขาใจสัจธรรมก็กลับสู่กิจวัตรประจำวันเช่นเคย
ท่ามกลางผืนป่าสนที่เก่าแก่และเขียวขจี เฉินฮ่าวกับเฉินซีกำลังนั่งดื่มชาด้วยกัน ตราบเท่าที่เขามีเวลาว่างจากการบ่มเพาะ เฉินซีก็จะมาคุยกับเฉินฮ่าว จากนั้นก็ทะเลาะกันพร้อมกับแลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้เรียนรู้แก่กันและกัน
“ท่านพี่ ท่านประมุขหลิงคงจื่อวานให้ข้าบอกท่านว่า วันรับสมัครของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือน เขาต้องการให้ท่านเข้าร่วมพิธีด้วย” เฉินฮ่าววางถ้วยชาลงก่อนที่จะกล่าว
“ให้ข้าเข้าร่วมพิธีหรือ? สถานะของข้าดูจะไม่เหมาะไปหน่อยหรือ?” เฉินซีตกตะลึง เขารู้ว่า เมื่อนิกายกระบี่เมฆาพเนจรทำการคัดเลือกศิษย์ จะมีผู้อาวุโสหลายคนได้เข้าร่วม เนื่องจากพวกเขาไม่เพียงแต่สามารถทดสอบความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของศิษย์ใหม่เท่านั้น แต่สามารถคว้าโอกาสนี้เพื่อคัดเลือกศิษย์ที่พวกเขาชื่นชอบจากบรรดาศิษย์ใหม่ ท้ายที่สุด พวกเขาก็มีโอกาสที่จะพบกับอัจฉริยะในระหว่างการรับสมัครทุกครั้ง และหากพวกเขาสามารถรับอัจฉริยะเหล่านี้เป็นศิษย์ได้ ก็จะเป็นเกียรติสำหรับพวกเขาเช่นเดียวกัน
“มันไม่เหมาะสมตรงไหนหรือ? เพียงแค่ใช้มันเป็นความเพลิดเพลินในการเบี่ยงเบนความสนใจ นอกจากนี้ นี่เป็นสิ่งที่ศิษย์พี่หลิงคงจื่อร้องขอด้วยตัวเอง และมันไม่ใช่เรื่องดีที่จะตอบปฏิเสธเขา” เฉินฮ่าวกล่าว
เฉินซีพยักหน้า มันควรเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในช่วงเวลาห้าปีที่ผ่านมา เขาได้รับการดูแลจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเป็นอย่างดี และหลิงคงจื่อก็เป็นถึงประมุขของนิกาย ดังนั้นไม่ว่ามันจะมาจากความรู้สึกส่วนตัวหรือเหตุผลอะไรก็ตาม เขาก็ไม่ควรปฏิเสธทั้งสิ้น
“อ้อ ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ท่านพี่ ข้าต้องการกลับไปที่เมืองหมอกสน และฟื้นฟูตระกูลเฉินของเราขึ้นมาใหม่!” เฉินฮ่าวกล่าวอีกครั้ง ดูเหมือนเขาจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว และหลังจากที่เขากล่าวจบ เขาก็จ้องไปที่เฉินซีอย่างแน่วแน่ และดูเหมือนจะเกรงเป็นอย่างมาก ว่าเฉินซีจะปฏิเสธเขา
“ยังไม่ควร! ตอนนี้การบ่มเพาะของเจ้ายังตื้นเขินอยู่มาก และเจ้าเพียงตัวคนเดียว ไม่มีทั้งทรัพย์สินหรือข้ารับใช้ใด ๆ ดังนั้นเจ้าจะฟื้นฟูตระกูลขึ้นมาใหม่ได้อย่างไร” เฉินซีส่ายศีรษะโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ท่านพี่ ในช่วงห้าปีที่ท่านนั่งบ่มเพาะไม่ขยับกาย ข้าได้บรรลุไปสู่ขอบเขตเคหาทองคำแล้ว!” เฉินฮ่าวกล่าวเสียงดัง “ด้วยการบ่มเพาะของข้าในปัจจุบัน ก็สามารถจัดการกองกำลังต่าง ๆ ของเมืองหมอกสนได้แล้ว ดังนั้นผู้ใดจะกล้าขัดขวางข้า ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ได้รับการสนับสนุนจากท่านอาจารย์ ไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องการจะต่อต้านข้า พวกเขาจะต้องคิดทบทวนถึงผลที่ตามมาของการล่วงเกินอาจารย์ของข้าเสียก่อน”
เฉินฮ่าวกำลังกล่าวความจริง เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองทะเลสาบมังกร เมืองหมอกสนซึ่งตั้งอยู่ที่ด้านข้างของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ก็เหมือนกับหมู่บ้านที่ห่างไกล ในบรรดากองกำลังต่าง ๆ ของเมืองหมอกสน ผู้มีการบ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น และด้วยการบ่มเพาะของเฉินฮ่าวในตอนนี้ มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะสร้างกองกำลังของเขาเองในเมืองหมอกสน
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินฮ่าวก็มีปรมาจารย์ขอบเขตสถิตกายาคอยหนุนหลังอยู่ และเขายังเป็นศิษย์น้องของประมุขนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเช่นกัน ดังนั้น ด้วยพลังทรงอานุภาพเช่นนี้ ก็สามารถบดขยี้กองกำลังต่าง ๆ ในเมืองหมอกสนได้อย่างง่ายดาย
“ว่าแต่… เจ้ามีทรัพย์สินเงินทองหรือ?” เฉินซีถามด้วยความลังเล
“ ท่านพี่ หรือว่าท่านได้ลืมไปแล้ว? ในตอนที่พระราชวังข่ายดาราถูกทำลายเมื่อห้าปีก่อน ศิษย์พี่หลิงได้ฉกฉวยสมบัติจำนวนมหาศาลที่สามารถกองจนเป็นภูเขามาได้ หลังจากคัดแยกและตรวจนับแล้ว เขาก็มอบสี่ในสิบส่วนของสมบัติทั้งหมดให้แก่ข้า ดังนั้นท่านจึงไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพย์สินเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย” เฉินฮ่าวดูเหมือนจะพิจารณาทุกอย่างมาก่อนแล้ว และเขาก็ตอบตามลำดับอย่างสมบูรณ์
“ก็ยังไม่ควรอยู่ดี” เฉินซียังคงส่ายศีรษะและกล่าวว่า “การฟื้นฟูตระกูลขึ้นมาใหม่นั้นไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิด ไหนจะปัญหาต่าง ๆ ของการสืบทอดและฟื้นฟูตระกูลขึ้นมาใหม่ อีกทั้งเจ้าก็ยังโสด และยังไม่ได้แต่งงาน ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถผ่านกำแพงกั้นของการสืบทอดได้”
เมื่อกล่าวถึงการแต่งงาน ใบหน้าของเฉินฮ่าวก็กลายได้เป็นสีแดงทันที และกล่าวอย่างเขินอายว่า “เอ่อ… ท่านพี่ ขอบอกตามตรงว่า ข้ากับศิษย์พี่หญิงเฟยเหลิ่งชุ่ยนั้นชอบพอกัน และพวกเราตั้งใจจะแต่งงานกันหลังจากก่อตั้งตระกูลแล้ว”
พรวด!
ชาหนึ่งคำพ่นออกมาจากปากของเฉินซีกะทันหัน จากนั้นเขาก็รีบวางถ้วยชาลง ก่อนที่จะจ้องมองไปยังเฉินฮ่าวด้วยความประหลาดใจ ราวกับว่าเขากำลังมองดูตัวประหลาด
เฉินฮ่าวถูกเพ่งมองจนถึงจุดไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขายืดหน้าอกและกล่าวว่า “ท่านพี่ ปีนี้ข้าอายุยี่สิบปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่ท่านพ่อและท่านแม่ได้แต่งงานกัน พวกเขาก็มีอายุเพียงสิบหกปีเอง!”
เฉินฮ่าวอายุยี่สิบปีแล้วหรือนี่…
ในตอนนี้ เฉินซีรู้สึกราวกับว่าเขาตัดขาดจากโลกภายนอกมาเป็นเวลานาน ‘อ่า… ใช่แล้ว เฉินฮ่าวไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ ที่ต้องการการปกป้องจากข้าอีกต่อไปแล้ว เขาเติบใหญ่และมีความคิดเป็นของตัวเอง เขาเหมือนลูกนกอินทรีที่สยายปีก เพื่อต้องการกู่ร้องอย่างภาคภูมิและโบยบินอย่างอิสระท่ามกลางท้องฟ้า ซึ่งไม่ควรอยู่ในรังอันอบอุ่นและได้รับการปกป้องอีกต่อไป’
“ท่านพี่ ท่านต้องคอยแบกรับแรงกดดันมากมายเพื่อข้าตลอดมา ตอนนี้ข้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ให้ข้าได้ช่วยแบ่งเบาท่านเถอะ” เฉินฮ่าวกล่าวด้วยท่าทางที่แน่วแน่ “อันที่จริง ข้าได้ยินจากท่านบรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิงมาว่า ท่านพี่ต้องการเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง ดังนั้นให้ข้าได้จัดการเรื่องการฟื้นฟูตระกูล ในขณะที่ท่านก็ทุ่มเทให้กับการบ่มเพาะ เพื่อให้ติดในสิบอันแรกและเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล เพื่อที่จะได้มุ่งหน้าไปยังแดนภวังค์ทมิฬในภายหลัง และค้นหาข่าวคราวของท่านพ่อและท่านแม่จากน้าไป๋ ซึ่งหากเทียบกันแล้ว แรงกดดันของท่านนั้นมากกว่าของข้านัก และสิ่งที่ข้าทำได้คือฟื้นฟูตระกูลขึ้นมาใหม่และปกป้องท่านจากความกังวล”
เฉินซีตบไหล่เฉินฮ่าวและไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว
เฉินฮ่าวเข้าใจว่าเฉินซีได้ยอมรับเรื่องของเขาแล้ว และเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น หลังจากผ่านไปยี่สิบปี ในที่สุดเขาก็สามารถช่วยพี่ชายของเขาได้สักที…
…
รุ่งสางของวันถัดมา เฉินฮ่าวได้จากไปในทันที และคนที่เดินเคียงข้างเขาคือเฟยเหลิ่งชุ่ย หญิงสาวผู้งดงามในชุดสีขาวที่มีลักษณะเหมือนภาพวาด จริงอย่างที่เฉินฮ่าวกล่าว นางชอบพอกับเขาอย่างแน่นอน และหลังจากฟื้นฟูตระกูลเฉินขึ้นมาใหม่ พวกเขาก็จะเข้าพิธีแต่งงานเพื่อเป็นสามีภรรยากัน
การจากไปของเฟยเหลิ่งชุ่ย ทำให้หลิงคงจื่อรู้สึกไม่ยินยอมเป็นอย่างมากอยู่พักหนึ่ง เพราะท้ายที่สุดแล้ว นางก็เป็นผู้นำในกลุ่มศิษย์รุ่นใหม่ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร อีกทั้งพรสวรรค์ การบ่มเพาะ และความสามารถในการทำความเข้าใจของนางก็เลิศเลอถึงขนาดอยู่ในระดับหนึ่งในล้าน แต่ตอนนี้นางกลับถูกเฉินฮ่าวล่อลวง และตั้งใจที่จะไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ในเมืองหมอกสน ซึ่งเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกล ด้วยเหตุนี้ ในฐานะที่เป็นประมุขของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร หลิงคงจื่อจะรู้สึกยินดีได้อย่างไร? ดังนั้น การที่เขาไม่แสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวก็ถือว่าเป็นขีดสุดของความอดทนของเขาแล้ว
เฉินซีไม่ได้ไปส่งน้องชายของเขา เขาเพียงยืนอยู่บนยอดเขาใจสัจธรรม และมองไปทางเมืองหมอกสนที่อยู่ไกลโพ้นอยู่เงียบ ๆ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และชั่วพริบตาก็เหลือเพียงสามวันก่อนจะถึงวันที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรรับสมัครศิษย์อย่างเป็นทางการ
ในช่วงสองสามวันมานี้ มีชายหนุ่มและหญิงสาวจำนวนมากมุ่งหน้าเข้าสู่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรภายใต้การคุ้มครองของสมาชิกในครอบครัวอยู่ทุกวัน และพวกเขาตั้งใจที่จะเข้าร่วมการทดสอบเพราะความปรารถนาที่จะเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งการบ่มเพาะ
นับตั้งแต่ได้ยึดครองสมบัติจำนวนมากที่นิกายพระราชวังข่ายดาราเหลือทิ้งไว้เมื่อห้าปีก่อน นิกายกระบี่เมฆาพเนจรก็กลายเป็นกองกำลังยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้ในเมืองทะเลสาบมังกร และแม้แต่ดินแดนทางใต้ พวกเขาก็เหนือล้ำกว่ากองกำลังที่เหลืออยู่และกลายเป็นผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ด้วยความเฟื่องฟูและมั่งคั่งที่มากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อรวมกับผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีผู้ยิ่งใหญ่อย่างเป่ยเหิงซึ่งยึดป้อมไว้ ทันทีที่นิกายประกาศข่าวว่าจะเปิดประตูรับศิษย์รุ่นใหม่ ก็ได้ดึงดูดสายตาของผู้บ่มเพาะในดินแดนทางใต้ทั้งหมดในทันที
แม้ว่าเฉินซีจะยืนอยู่บนยอดเขาใจสัจธรรม แต่เขาก็ยังรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า นิกายกระบี่เมฆาพเนจรเริ่มคึกคักมากกว่าปกติ และเหล่าศิษย์กับผู้อาวุโสของนิกายก็มีเพียงไม่กี่คนที่จัดการเรื่องต่างๆ
หลังจากจบพิธีแล้ว ก็ได้เวลาที่ข้าต้องไป…