บทที่ 194 ปัจจัยสำคัญในการบรรลุ
“เฉินซี ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในปัจจุบัน หากร่างกายของเจ้าสามารถบรรลุขอบเขตเคหาทองคำได้ เมื่อเราเข้าสู่ห้วงทะเลทรายมรณะ โอกาสที่จะเอาชีวิตรอดของเราจะมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม อย่าลืมว่าเจ้ายังมีเคหาลึกลับอยู่และเจ้าสามารถซ่อนตัวอยู่ในนั้น หากเจ้าเผชิญกับอันตรายที่คุกคามถึงชีวิต” หลิงไป๋กล่าวทันที
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เพราะสิ่งที่หลิงไป๋กล่าวออกมานั้น มันถูกต้องทุกประการ เมื่อระดับการบ่มเพาะร่างกายและการบ่มเพาะลมปราณของเขาบรรลุขอบเขตเคหาทองคำแล้ว เขาก็จะสามารถเข้าสู่เคหาบ่มเพาะของผู้อาวุโสฝูซีได้อีกครั้ง นอกจากนี้ยังสามารถเข้ารับการทดสอบระดับที่สองของบททดสอบแห่งสรวงสรรค์ได้
หากเขาสามารถผ่านบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์ระดับที่สองได้ ก็จะได้รับผลประโยชน์อย่างมากมาย และไม่เพียงแต่จะได้รับรางวัลจากผู้อาวุโสฝูซีแห่งเคหาบ่มเพาะเท่านั้น แต่ยังสามารถฝึกบ่มเพาะภายในเคหาได้อีกด้วย
การบ่มเพาะภายในเคหานั้นมีความต่างด้านเวลา หากบ่มเพาะอยู่ในนั้นเก้าวัน เวลาของโลกภายนอกจะผ่านไปเพียงหนึ่งวัน ดังนั้นเขาจึงสามารถบ่มเพาะเป็นเวลาถึงสี่สิบห้าปี ในขณะที่โลกภายนอกผ่านไปเพียงห้าปีเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เขาย่อมสามารถทะลวงไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่การชุมนุมดาวรุ่งจะเริ่มต้นขึ้น
“สิ่งที่เจ้ากล่าวมานั้นถูกต้องจริง ๆ แต่การฝึกฝนการบ่มเพาะร่างกายของข้าได้มาถึงจุดคอขวดแล้ว อีกทั้งการดูดซับพลังดาราจักรจากศิลาวิญญาณดาราก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี ข้าต้องการปัจจัยสำคัญที่สามารถทำให้ร่างกายของข้าเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แต่น่าเสียดายที่ข้ายังไม่เคยพบมันเลย” เฉินซีส่ายศีรษะและหัวเราะอย่างขมขื่น
หลิงไป๋ยิ้มบาง ๆ “ส่งเคียวแห่งการสังหารมาให้ข้า”
“เพื่ออะไรหรือ?” เฉินซีตกตะลึงทันที แต่เขาก็ยังหยิบเคียวแห่งการสังหารออกมาและส่งมอบให้หลิงไป๋
โอม!
ในขณะที่หลิงไป๋ถือเคียวแห่งการสังหาร เจตนาฆ่าอันน่าสะพรึงกลัวก็พวยพุ่งออกมาโดยรอบ ราวกับมันกวาดล้างไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก ทำให้ห้องรับรองพิเศษทั้งห้องตกอยู่ในความมืดมิดในทันที
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
เสียงคำรามที่โกรธเกรี้ยวมากมายราวกับว่าพวกมันถูกกู่ร้องออกมาโดยเทพเจ้าแห่งการเข่นฆ่าจากสมัยโบราณ และมันประสานเข้ากับเสียงแห่งการเข่นฆ่าที่เย็นยะเยือกที่สุดของสวรรค์และโลก เจตนาฆ่าที่พลุ่งพล่านได้แปรเปลี่ยนเป็นหมอกดำที่ส่งเสียงคำรามก้อง เพียงชั่วพริบตา ห้องรับรองพิเศษทั้งห้องก็ดูเหมือนจะกลายเป็นทุ่งสังหาร
‘เจ้าตัวเล็กคนนี้กลับสามารถใช้เขตแดนเต๋าแห่งการสังหารได้ ข้าเกรงว่าเขาจะพึ่งพาความแข็งแกร่งของเคียวแห่งการสังหารเช่นกัน’ เฉินซีคิดด้วยความตะลึงทึ่ง
“เฉินซี เจ้าไม่ต้องการค้นหาปัจจัยสำคัญหรือ ถ้าเช่นนั้นก็จงเข้าไปในเขตแดนเต๋าแห่งการสังหารนี้ซะ และปล่อยให้เจตนาฆ่าขัดเกลาร่างกายของเจ้า จากนั้นข้าจะใช้เต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพานของข้า เพื่อทำให้ร่างกายของเจ้าอยู่ในสภาพนิพพาน ไม่เกิดและไม่ตาย ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะก้าวหน้าด้วยสิ่งนี้ไม่ได้!” หลิงไป๋ถือเคียวแห่งการสังหารไว้ในมือ และสีหน้าของเขาฉายแววอาฆาตแค้น “อย่าได้กังวล เจ้าจะไม่ตายอย่างแน่นอน แต่ความเจ็บปวดนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จงระวังตัวด้วย ข้าจะเริ่มแล้ว!”
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ทันทีที่หลิงไป๋กล่าวจบ แสงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่ควบแน่นจากเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง และกลายเป็นค้อนขนาดใหญ่ ดาบ ขวาน หอก… โจมตีใส่เฉินซีจากทุกทิศทางราวกับห่าฝนที่โหมกระหน่ำ
ในขณะนั้น ฟ้าดินต่างก็เต็มไปด้วยอาวุธฆ่าฟันและเจตนาฆ่า ซึ่งราวกับเฉินซีติดอยู่ในสนามรบที่เต็มไปด้วยเลือดที่หลั่งไหลดั่งสายน้ำ เจตนาสังหารอันร้ายกาจนั้น ทำให้เขาเองก็ยังต้องหายใจลำบากและจิตวิญญาณก็สั่นสะท้าน ซึ่งหากเป็นผู้อื่นพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าคนผู้นั้นคงถูกครอบงำด้วยความหวาดกลัวและคงปัสสาวะราดตัวเองไปตั้งนานแล้ว
แต่ดวงตาของเฉินซีกลับส่องประกายขึ้นแทน จากนั้นก็หายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะนั่งสมาธิลงบนพื้น และไม่ได้คิดที่จะต่อต้านการโจมตีใด ๆ แต่กลับหลับตาแน่นด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง ราวกับเขาได้ลืมเลือนการโจมตีนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้าหาเขาจากรอบด้าน
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟู่! ฟู่! ฟู่!
ชั่วพริบตาเดียว ศีรษะ ลำคอ หน้าอก แผ่นหลัง แขนขาของเฉินซี… ทั่วทั้งร่างกายของเขาก็มีบาดแผลฉกรรจ์จำนวนมาก และกระดูกสีขาวโพลนอันน่าสยดสยองของเขาก็ถูกเผยขึ้นมาในอากาศ ทำให้ร่างกายของเขาดูเหมือนกับโครงกระดูกที่ถูกบดจนแหลก ซึ่งมีลักษณะที่น่ากลัวเป็นอย่างมากและอาจทำให้ผู้พบเห็นต้องรู้สึกหวาดกลัวจนขนหัวลุกและหนาวเย็นไปถึงกระดูกดำ
“เต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารนี้เทียบได้กับการโจมตีของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ร่างกายของข้าอ่อนแอเกินไปจริง ๆ ถ้าข้าไม่ได้โคจรปราณจ้าววิญญาณ ข้าก็คงไม่สามารถต้านทานการโจมตีแม้แต่เพียงครั้งเดียว…” ภายในความเจ็บปวดที่ไร้ขอบเขต เฉินซีทุ่มเทอย่างหนักเพื่อรักษาจิตในห้วงจิตสำนึกของเขา จากนั้นจึงหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะถือศิลาวิญญาณดาราไว้ในมือแต่ละข้างและโคจรปราณจ้าววิญญาณของเขาอย่างบ้าคลั่ง
ฟู่! ฟู่! ฟู่!
เช่นเดียวกับต้นไม้เหี่ยวเฉาที่แตกหน่อ อาการบาดเจ็บทั้งหมดบนร่างกายของเฉินซีค่อย ๆ ฟื้นฟูอย่างช้า ๆ ในขณะที่ภายในอักขระจ้าววิญญาณบนแผ่นหลังของเขา ธุลีโกลาหล ไม้ศักดิ์สิทธิ์นิรนาม อัญมณีเพลิงนิรนาม มุกวารีนิรนาม และแร่โลหะนิรนาม ดูเหมือนจะได้รับการกระตุ้น จนพรั่งพรูออกมาด้วยพลังแห่งธาตุทั้งห้าอย่างบ้าคลั่ง เพื่อฟื้นฟูร่างกายพร้อมกับปราณจ้าววิญญาณของเขา
เหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่เฉินซีไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากที่เนื้อหนังของเขาดูดซับพลังงานของธาตุทั้งห้า มันก็ความยืดหยุ่นและแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ทุกอณูผิวหนังของเขาราวกับได้ผ่านการอบร้อนเป็นพันครั้งในเตาหลอมและได้รับการขัดเกลาอย่างเข้มข้น ทำให้มันไม่มีสิ่งเจือปนหรือสิ่งสกปรกแม้เลยแต่น้อย อีกทั้งยังเปล่งประกายอย่างอ่อนโยนราวกับเป็นผลึกแก้ว
นอกจากนี้ เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะสังเกตเห็นว่าจุดชีพจรในร่างกายของเขาสามารถกักเก็บปราณจ้าววิญญาณได้เพิ่มขึ้นและกว้างใหญ่ยิ่งกว่าเดิม หากร่างกายของเขาเป็นเพียงกาน้ำชาในอดีต ในตอนนี้มันก็คงกลายเป็นถังน้ำแล้ว เนื่องจากห้วงลมปราณที่ใช้กักเก็บปราณจ้าววิญญาณของเขาได้ขยายใหญ่มากกว่าเดิมถึงสองสามเท่า!
ทั้งหมดนี้เกิดจากธุลีโกลาหล และสมบัติอีกสี่ชิ้นที่อยู่ภายในอักขระจ้าววิญญาณของเขา อาจกล่าวได้ว่าเลือดเนื้อในปัจจุบันของเฉินซีมีคุณลักษณะของธุลีโกลาหล ซึ่งสามารถกักเก็บทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในโลกได้ และยังถูกขัดเกลาจากพลังงานของธาตุทั้งสี่ ทำให้ร่างกายของเขาเทียบได้กับร่างวิญญาณโดยกำเนิดอยู่บางส่วน และร่างกายของเขาเกือบจะเทียบได้กับร่างกายของเฉินฮ่าวที่ถูกสร้างขึ้นใหม่จากผลดอกบัววิญญาณเพลิง
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
เมื่อเขาเห็นร่างของเฉินซีกำลังฟื้นตัว หลิงไป๋จึงตวัดเคียวแห่งการสังหารออกไปอีกครั้ง เพื่อปลดปล่อยเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารจำนวนนับไม่ถ้วนและแตกต่างจากครั้งก่อน ในครั้งนี้เต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารดูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิต และก่อร่างเป็นนักรบยมโลกที่ตำนานได้กล่าวขานว่ามีอยู่ในยมโลกเพียงเท่านั้น พวกมันสวมชุดเกราะสีดำสนิทและถือดาบอยู่ในมือ นอกจากนี้ กลิ่นอายของพวกมันยังเปี่ยมไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง ยิ่งไปกว่านั้น มวลพลังของเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึงสองเท่า!
เสียงฝีเท้าของนักรบยมโลกเหล่านี้ เป็นเหมือนกับกีบเท้าของม้าศึกที่เหยียบย้ำพื้นหรือกลองศึกที่ถูกย่างเป็นจังหวะอย่างหนักแน่น พวกมันพุ่งเข้าหาเฉินซีพร้อมกับกู่ร้องคำรามอย่างดุเดือด ราวกับเขาเป็นวิญญาณชั่วร้ายที่ก่อความผิดมหันต์ จนไม่สามารถให้อภัยและมิอาจอยู่ในโลกนี้ได้
ฟู่! ฟู่! ฟู่!
ร่างกายของเฉินซีเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นที่น่าสะพรึงกลัวอีกครั้ง แต่ถ้าเทียบกับรอยแผลที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ รอยแผลเป็นในครั้งนี้กลับตื้นเขินยิ่งกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับการโจมตีที่ไม่มีที่สิ้นสุด ร่างกายของเขาก็กลายเป็นโครงกระดูกที่แหลกเหลวอีกครั้ง
ทว่า ในครั้งนี้มันกลับแตกต่างออกไป ก่อนที่เฉินซีจะทันได้โคจรเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของเขา ธุลีโกลาหลและสมบัติวิเศษทั้งสี่ราวกับโกรธเกรี้ยวขึ้นมา จึงปลดปล่อยกระแสพลังงานอันยิ่งใหญ่ของธาตุทั้งห้าออกมาอย่างดุเดือด เพื่อฟื้นฟูร่างกายของเฉินซีที่ได้รับความเสียหายให้หวนคืนสู่สภาพเดิม
“ยอดเยี่ยม!” ดวงตาของหลิงไป๋เป็นประกาย แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับไม่ช้าลงเลยแม้แต่น้อย จากนั้นจึงใช้เคียวแห่งการสังหารอย่างสุดกำลัง ทำให้เขตแดนเต๋าแห่งการสังหารส่งเสียงหึ่ง ๆ และสั่นสะท้านไปทั่วทั้งเขตแดน เจตนาฆ่าถาโถมออกมาอย่างรุนแรงราวกับห่าฝน พวกมันพุ่งเข้าใส่เฉินซีอย่างน่าสยดสยองราวกับฝูงฉลามที่ได้กลิ่นหอมหวานของเลือดสด
ทันใดนั้น เหตุการณ์อันแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเฉินซี พลังทำลายล้างและพลังชีวิตอันไร้ขอบเขตปะทะกันอย่างรุนแรง จนทำให้ร่างกายของเขาแหลกไปชั่วขณะ แต่เพียงชั่วครู่ก็ฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิม เฉกเช่นกับวิถีชีวิตของสรรพสิ่งในจักรวาล เมื่อสิ่งหนึ่งเหี่ยวเฉา อีกสิ่งหนึ่งก็จะเจริญงอกงาม เป็นดั่งวัฏจักรที่ไม่มีวันจบสิ้น ในระหว่างนี้ พลังชีวิตของพวกมันจะเจริญก้าวหน้าและเข้มแข็งยิ่งขึ้นกว่าเดิม…
การทำลายล้างและการสร้างใหม่
ยามที่เหี่ยวเฉาและเจริญงอกงาม
เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ มีเต๋ารู้แจ้งขั้นสูงสุดที่ยากจะพรรณนาปรากฏขึ้นอยู่อย่างแผ่วเบา อีกทั้งยังไหลเวียนและก่อตัวขึ้นในร่างกายของเฉินซีอย่างลึกลับและไม่อาจหยั่งถึง
เมื่อหลิงไป๋เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนร่างของเฉินซี เขาก็ตกตะลึงในทันที เต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพานที่เขาบ่มเพาะนั้นไม่ได้ยึดติดกับชีวิตหรือความตาย ราวกับมันเป็นนิรันดร์ นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อเต๋าสวรรค์แห่งความตาย เต๋าสวรรค์แห่งชีวิต เต๋าสวรรค์แห่งการทำลายล้าง และเต๋าสวรรค์แห่งการเกิดใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหลิงไป๋ไตร่ตรองเหตุการณ์ที่ปรากฏบนร่างของเฉินซีเพียงผิวเผิน เขาก็ตรัสรู้ทันที และการหยั่งรู้ถึงเต๋าของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วมหาศาล
ปัง!
ไม่ทราบว่ากาลเวลาผ่านไปนานสักเพียงใด เขตแดนเต๋าแห่งการสังหารก็แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ในขณะที่หลิงไป๋ก็ได้สติขึ้นมาเช่นกัน ทันใดนั้น ความรู้สึกอ่อนล้าอย่างรุนแรงได้พรั่งพรูออกมาจากจิตใจและร่างกาย จนทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ ที่หล่อเหลาของเขาซีดเซียวในทันที
‘แม้ว่าเขตแดนเต๋าแห่งการสังหารจะดึงพละกำลังทั้งหมดของข้าออกมา แต่มันก็ทำให้ความเข้าใจที่มีต่อเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพานของข้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น และคงอีกไม่นานก่อนที่ข้าจะสามารถควบแน่นเขตแดนแห่งกระบี่นิพพานได้อย่างแน่นอน!’ แม้ว่าหลิงไป๋จะเหนื่อยล้าจนแทบสลบ แต่ดวงตาของเขากลับใสกระจ่างและเปล่งประกายอย่างไม่ธรรมดา
“ฮู่! ฟู่!” ลมหายใจที่เฉินซีพ่นออกมานั้นดูเหมือนกับมังกรที่ทอดร่างยาวออกไป อีกทั้งยังดูเหมือนกระแสวังวนเมื่อเขาหายใจเข้า เสียงหายใจของเฉินซีดังกึกก้องอยู่ภายในห้องรับรองพิเศษราวกับเสียงฟ้าร้อง จนทำให้อากาศโดยรอบสั่นสะเทือนจนเกิดเสียงครืน ๆ
‘เขากำลังจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเคหาทองคำแล้วหรือ?’ หลิงไป๋พุ่งความสนใจทั้งหมดของเขาไปที่เฉินซีในทันที
ต้องใช่อย่างแน่นอน เฉินซีกำลังจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเคหาทองคำ ในตอนนี้หลังจากประสบกับการเปลี่ยนแปลงของพลังงานธาตุทั้งห้า ร่างกายของเฉินซีก็แข็งแกร่งขึ้นในระดับที่น่าเหลือเชื่อ นอกจากนี้ กระดูก เส้นเอ็น เนื้อหนังของเขาก็ยังมีร่องรอยของการตกผลึก พวกมันมีความแข็งและยืดหยุ่น อีกทั้งยังมีมิติซ่อนอยู่ภายในซึ่งดูเหมือนจะสามารถรองรับทุกสิ่งในโลกและปกคลุมทุกทิศทุกทาง
นอกจากนี้ พลังชีวิตของเขาก็อยู่ในสภาวะสูงสุดในขณะนี้ และหากไม่คว้าโอกาสนี้เพื่อทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเคหาทองคำ แล้วเขาจะต้องรอไปถึงเมื่อไรกัน?
ปัง! ปัง! ปัง!
พลังงานภายในศิลาวิญญาณดาราถูกดูดออกไปอย่างหมดจดทีละก้อนจนสลายกลายเป็นผุยผง เช่นเดียวกับปราณจ้าววิญญาณจำนวนมหาศาลในร่างกายของเฉินซี ต่างก็โคจรอย่างบ้าคลั่งราวกับถาโถมเข้าใส่อักขระจ้าววิญญาณทั้งเก้าที่อยู่บนแผ่นหลังของเขาโดยไม่หยุดหย่อน
อักขระจ้าววิญญาณทั้งเก้านี้หากเรียงตามลำดับ จะได้แก่ ปฐพีที่ห้า พฤกษาที่สอง ทองคำที่เจ็ด อัคคีที่สาม วารีที่เก้า มหาหยิน มหาหยาง สายลมและสายฟ้า ภายใต้การทะลวงจากปราณจ้าววิญญาณของเฉินซี ทันใดนั้น อักขระจ้าววิญญาณทั้งเก้าก็เริ่มสั่นสะท้าน อีกทั้งตำแหน่งแกนกลางของอักขระจ้าววิญญาณก็ได้ก่อตัวขึ้นเป็นหลุมดำซึ่งดูคล้ายจุดชีพจร และตำแหน่งของอักขระจ้าววิญญาณบนหลังของเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน
จุดชีพจรเหล่านั้นคือจุดชีพจรดารา
การทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเคหาทองคำนั้น คือการพัฒนาจุดชีพจรดาราภายในอักขระจ้าววิญญาณ และทำให้อักขระจ้าววิญญาณทั้งเก้าจัดเรียงขึ้นใหม่ เพื่อสร้างรูปทรงของตำหนักทั้งเก้าให้สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ และเรียกอีกอย่างว่าสะพานดารา
การพัฒนาจุดชีพจรดาราและการเชื่อมต่อของสะพานดารา เป็นลักษณะเฉพาะที่จะปรากฏหลังจากที่วิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพบรรลุถึงขอบเขตเคหาทองคำ
แน่นอนว่าหากเป็นเคล็ดวิชาแปรสภาพร่างกายอื่น ๆ จุดชีพจรดาราอาจถูกเรียกว่าจุดชีพจรอัคคีหรือจุดชีพจรวารี เป็นต้น ส่วนสะพานดาราอาจเรียกได้ว่าเป็นสะพานอัคคีหรือสะพานวารี ถึงแม้วิธีการอาจแตกต่างกันไป แต่หลักการก็ยังเหมือนกัน เมื่อเคล็ดวิชาแปรสภาพร่างกายบรรลุถึงขอบเขตเคหาทองคำ พวกมันทั้งหมดจะเปิดจุดชีพจรลึกลับประเภทหนึ่งบนอักขระจ้าววิญญาณ และใช้วิธีการในการเชื่อมโยงอักขระจ้าววิญญาณทั้งเก้าที่ไม่เหมือนใคร
หลังจากที่บ่มเพาะการแปรสภาพร่างกายจนบรรลุขอบเขตเคหาทองคำแล้ว นอกจากปราณจ้าววิญญาณที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างน่าตกตะลึงแล้ว ความยืดหยุ่นและการประสานของร่างกายจะบรรลุไปอีกขีดจำกัด ทำให้สามารถใช้พละกำลังที่ทรงอานุภาพยิ่งกว่าเดิมได้
ยกตัวอย่างเช่น หากร่างกายของคนผู้หนึ่งเคยตกอยู่ในสภาวะปั่นป่วนมาก่อน แต่หลังจากที่บรรลุขอบเขตเคหาทองคำแล้ว ทุกส่วนของร่างกายจะเป็นดั่งกองทัพที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ทั้งแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพในการทำงาน ภายในเส้นเอ็น กระดูก และเนื้อหนังของคนผู้นั้นจะเปี่ยมไปด้วยปราณจ้าววิญญาณ ซึ่งทำให้พละกำลังของคนผู้นั้นเพิ่มพูนขึ้นจนทะยานขึ้นสู่บนท้องฟ้าเหมือนสายรุ้ง และพลังชีวิตของเขาก็พลุ่งพล่านราวกับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ด้วยการตะโกนเพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำลายจิตวิญญาณของคนคนหนึ่งได้!
ในขณะนี้ เฉินซี ค่อย ๆ บรรลุไปสู่ขอบเขตนี้!