บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 201 ซากปรักหักพังห้าธาตุ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 201 ซากปรักหักพังห้าธาตุ

บทที่ 201 ซากปรักหักพังห้าธาตุ

สภาพอากาศของห้วงทะเลทรายมรณะนั้นรุนแรงเป็นอย่างมาก เนื่องจากพายุทรายพัดผ่านและพายุมรสุมที่โหมกระหน่ำอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าห้วงทะเลทรายมรณะจะเข้าสู่ช่วงพักตัวในตอนนี้ แต่ลึกเข้าไปในนั้นก็ยังเต็มไปด้วยอันตรายอยู่ดี และแม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเอง ก็เอาชีวิตรอดได้ยากหากติดอยู่ข้างใน

พายุมรสุมห้าธาตุนี้เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวและเต็มไปด้วยอันตรายของห้วงทะเลทรายมรณะ เนื่องจากพายุชนิดนี้มีพลังทำลายล้างที่รุนแรงยิ่งกว่าสิ่งใด อีกทั้งยังครอบคลุมพื้นที่กว้างไกลนับพันลี้ ยามที่มันเคลื่อนผ่านไปที่ใดก็ตาม จะนำพาหายนะไปทุกหนแห่งและพรากเอาชีวิตของสรรพสิ่งไปด้วย

นอกจากนี้ ที่ศูนย์กลางของพายุก็มีซากปรักหักพังขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ซากปรักหักพังเหล่านี้คือสมรภูมิของเทพเจ้าและอสูรเมื่อหลายหมื่นปีก่อน อสูรและผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังจำนวนนับไม่ถ้วนได้ล้มตายลงที่นี่ ซึ่งมันเต็มไปด้วยเศษเสี้ยวเจตจำนง เลือดเนื้อ สมบัติวิเศษที่พังเสียหาย และสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ที่ถูกเหลือทิ้งไว้ หลังจากที่กาลเวลาได้ผ่านไปนับหมื่นปี พวกมันก็ได้กลายเป็นสัตว์อสูรที่โหดร้าย สัตว์อสูรเหล่านี้ต่างก็ซุกซ่อนตัวและเคลื่อนไหวไปมาภายในพายุ แล้วถ้าหากมีผู้บ่มเพาะคนใดพลาดหลงเข้าไปในพายุ พวกมันก็จะรุมล้อมเข้ามาเพื่อฉีกกระชากผู้โชคร้ายคนนั้นให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หรือถูกดูดเอาพลังชีวิตอย่างตายทั้งเป็น

เป็นเพราะการมีอยู่ของซากปรักหักพังและการมีอยู่ของสัตว์อสูรที่ดุร้ายเหล่านี้ จึงทำให้พายุมรสุมห้าธาตุมีสภาพอากาศที่เลวร้ายและน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

ตอนนี้ เฉินซี ถันไถหง หวงฝู่ฉงหมิง และคนอื่น ๆ ได้เผชิญกับพายุมรสุมห้าธาตุ

พายุมรสุมห้าธาตุนั้นเปรียบเสมือนมังกรดุร้ายหลากสีที่โหมกระหน่ำอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก นอกจากนี้ เฉินซีก็สังเกตเห็นว่าพื้นที่รอบ ๆ พายุนั้นจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ลมกระโชกส่งเสียงหวีดหวิวไปทุกหนทุกแห่ง ในขณะที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ถูกบดบัดแสงลง ชั้นทรายบนพื้นจะก่อตัวขึ้นเป็นกระแสวังวนจำนวนนับไม่ถ้วน ที่มีแรงดูดมหาศาลซึ่งสามารถกลืนกินสรรพสิ่งขณะที่มันผ่านไป แม้แต่เนินหินที่สูงชัน ก็ยังถูกกระแสวังวนกลืนหายไปในพริบตา

‘ข้าสงสัยนัก พายุมรสุมห้าธาตุที่ครอบคลุมพื้นที่นับพันลี้ จะมีขนาดใหญ่สักแค่ไหนกัน?’

อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉินซีมองไปยังขอบฟ้าที่อยู่ไกลแสนไกล ทุกหนทุกแห่งกลับถูกปกคลุมด้วยพายุมรสุมห้าธาตุที่ขวางเส้นทางข้างหน้า และถ้าพวกเขาต้องการจะเข้าไปลึกกว่านั้น พวกเขาก็ทำได้เพียงต้องอ้อมพายุมรสุมห้าธาตุไป

ทว่าพายุมรสุมห้าธาตุกำลังเข้ามาใกล้พวกเขาแล้ว และไม่ต้องกล่าวถึงการอ้อมไปด้านข้าง แม้ว่าพวกเขาจะหนีกลับไป พวกเขาก็ยังถูกพัดพาเข้าไปอยู่ดี เป็นเพราะพายุนี้เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วเกินไป จนทำให้ทุกคนไม่อาจทันรับมือและต้องตกอยู่ในความสิ้นหวัง!

“ระยำเอ๊ย! พายุมรสุมห้าธาตุนี้ร่อนเร่ไปทั่วห้วงทะเลทรายมรณะ แต่กลับไม่คาดคิดว่าพวกเราจะเผชิญกับมัน ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์อสูรที่อยู่ภายในพายุก็ไม่มีวันหมดสิ้น และเมื่อเราถูกพัดพาเข้าไปในนั้น เราจะติดอยู่ในซากปรักหักพังห้าธาตุและเผชิญกับการโจมตีของสัตว์อสูรระลอกแล้วระลอกเล่า ท้ายที่สุดชีวิตของพวกเราก็จะถูกพวกมันกลืนกิน!” สีหน้าของหวงฝู่ฉงหมิงมีร่องรอยของลางร้ายในขณะที่เขาคำรามด้วยเสียงแหบแห้ง และดวงตาของเขาก็สั่นไหวด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดซึ้ง

สีหน้าของคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่านี้เช่นกัน เพราะไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์อันน่าสะพรึงกลัวแทบจะทันทีที่เข้าไปในห้วงลึกของทะเลทรายมรณะ

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่ทรงพลังเป็นอย่างมากในหมู่คนรุ่นใหม่ แต่เมื่อต้องเผชิญกับพลังของธรรมชาติ พวกเขากลับดูต้อยต่ำ และไม่อาจต้านทานเลยแม้แต่น้อย

“ไม่! ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินมาว่าพายุมรสุมห้าธาตุจะสลายไปทุก ๆ สิบวัน และเมื่อมันสูญเสียพลัง ซากปรักหักพังห้าธาตุจะก็ถูกเผยขึ้นมา ดังนั้นทางรอดเดียวของพวกเราคือมุ่งเข้าไปในพายุและซ่อนตัวในซากปรักหักพังห้าธาตุ ตราบใดที่เราสามารถต้านทานระลอกคลื่นจากการโจมตีของสัตว์ร้ายได้ เราก็จะสามารถจากไปได้อย่างปลอดภัย!”

ถันไถหงกล่าวทีละคำ “ทุกคน เราไม่มีทางให้ถอยกลับไปแล้ว ตราบเท่าที่เราสามารถยืนหยัดได้จนถึงที่สุด ไม่เพียงแต่เราจะสามารถอยู่รอดได้เท่านั้น การหาขุมสมบัติของเฉียนหยวนก็จะไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน เพราะตามที่ข้าได้ทราบมา พายุมรสุมห้าธาตุจะปรากฏขึ้นทุก ๆหนึ่งพันปีเท่านั้น และนอกจากนี้แดนเร้นลับ ขุมสมบัติ ซากปรักหักพังจากสมัยโบราณต่าง ๆ ที่ได้หายไปจากพื้นดินจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง!”

“ต้องยืนหยัดถึงสิบวันเลยหรือ? เป็นไปได้หรือว่า สัตว์อสูรภายในซากปรักหักพังห้าธาตุจะไม่มีวันหมดสิ้น นอกจากนี้พวกมันล้วนมีระดับขอบเขตเคหาทองคำ และยังมีบางตัวที่ทรงพลังยิ่งกว่า ดังนั้นด้วยความแข็งแกร่งของพวกเราทั้งเจ็ดคน ข้าเกรงว่าเราจะไม่สามารถต้านทานได้ถึงสามวัน” หลินโม่เซวียนขมวดคิ้วแน่นขณะที่เขากล่าว

“ข้าคิดว่าเป็นการดีที่จะลองสัมผัสกับอันตรายของซากปรักหักพังห้าธาตุ บางทีข้าอาจจะสามารถขัดเกลาความแข็งแกร่งของข้าให้ดียิ่งขึ้นได้” เซียวหลิงเอ๋อร์ยิ้มออกมา และดวงตาของนางเผยให้เห็นถึงความกระตือรือร้นอย่างร้อนแรง

“เจ้ามันบ้า! ยังจะกล้าล้อเล่นในสถานการณ์เช่นนี้อีกหรือ?” หลินโม่เซวียนด่าทอด้วยความรำคาญ

“พวกเจ้าพอได้แล้ว!” หวงฝู่ฉงหมิงตะคอกออกมาอย่างรุนแรง และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ทุกคน เราไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้ว และต้องมุ่งเข้าไปเท่านั้น! ตราบเท่าที่เราสามารถยืนหยัดจนพายุมรสุมห้าธาตุสลายไป โชคลาภก้อนโตก็จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม หรือว่าพวกเจ้าทุกคนไม่ได้ปรารถนาถึงมัน? อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าทุกคนจะไม่มีไม้ตายไว้ช่วยชีวิต ณ เวลานี้ ถึงเวลาใช้พวกมันแล้ว!”

เมื่อกล่าวถึงไม้ตายไว้ช่วยชีวิต หลินโม่เซวียนและเซียวหลิงเอ๋อร์ต่างก็ตกตะลึง และดวงตาของพวกเขาก็กะพริบโดยไม่หยุด และไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

ครืนนนนน! ครืนนนน!

ในขณะนี้ พายุมรสุมห้าธาตุได้ปิดกั้นผืนฟ้าและปกคลุมผืนโลก พัดพามวลเม็ดทรายกระจายไปทั่วทุกทิศทาง นอกจากนี้ อานุภาพของมันยังเพิ่มขึ้นมากและโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง จนทำให้อากาศแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ และบดขยี้สรรพสิ่งที่ขวางทาง

เมื่อเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้น คนธรรมดาทั่วไปอาจจะรู้สึกหวาดกลัวจนวิญญาณแทบหลุดออกร่าง แต่หวงฝู่ฉงหมิงกับคนอื่น ๆ กลับสงบนิ่งเสียเหลือเกิน พวกเขาต่างก็เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ทรงพลังและบุคลิกที่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง

“ไปกันเถอะ! ระวังอย่าได้คลาดกัน!” หวงฝู่ฉงหมิงตะโกนเสียงดังขณะที่เขาบินออกไปและโคจรปราณแท้ของเขาเพื่อใช้สมบัติวิเศษที่มีคุณสมบัติการป้องกัน พุ่งตรงไปที่พายุมรสุมห้าธาตุ

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งนี้ ก็ทำได้เพียงกัดฟันและควักสมบัติวิเศษที่มีคุณสมบัติการป้องกันต่าง ๆ ออกมาก่อนที่จะติดตามหลังเขาไปติด ๆ ในบรรดาสมบัติวิเศษที่ใช้ป้องกันเหล่านี้ มีทั้งระฆัง โล่ และร่ม แต่ละชิ้นถูกสร้างขึ้นอย่างหรูหรา เต็มไปด้วยปราณวิญญาณ และถูกห่อหุ้มด้วยลวดลายอักขระต่าง ๆ พวกมันทั้งหมดเป็นสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดของโลก ซึ่งแต่ละชิ้นล้วนไม่ใช่สินค้าธรรมดาทั่วไปที่สามารถพบได้ในท้องตลาด และมีอานุภาพที่น่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง

“เฉินเค่อ จงตามข้ามา ห้ามคลาดกับข้าเป็นอันขาด!” ถันไถหงตะโกนเสียงดังพร้อมกับล้วงเอาสมบัติวิเศษที่เป็นแผ่นหินจารึกซึ่งถูกแกะสลักเป็นภาพภูเขา แม่น้ำ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว พวกมันล้วนเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณมหาศาล พร้อมกับสร้างม่านแสงสีฟ้าบริสุทธิ์ห่อหุ้มเขาและเฉินซีไว้ ก่อนที่จะติดตามหลังคนอื่น ๆ ไปติด ๆ

แผ่นหินจารึกนี้เป็นสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดเช่นเดียวกัน และเมื่อรวมกับถันไถหงซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตกึ่งจุติ ก็ไม่ใช่การยากสำหรับเขาที่จะพาเฉินซีติดตามไปด้วย

ปัง! ปัง! ปัง!

ทันทีที่พวกเขาเข้าสู่พายุมรสุมห้าธาตุ เฉินซีก็รู้สึกราวกับว่าได้เข้าสู่มิติปั่นป่วนซึ่งมีแต่ความมืดมิด พายุที่โหมกระหน่ำนี้เต็มไปด้วยแรงกระชากที่รุนแรงและน่าสะพรึงกลัว ในขณะที่มันกระแทกเข้ากับม่านแสงสีฟ้าบริสุทธิ์จนสั่นสะท้านอย่างรุนแรงและเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดเสียดหู อานุภาพอันทรงพลังของมัน ทำให้ใบหน้าของถันไถหงซีดเผือดในทันที อีกทั้งยังมีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของเขา และเขาเกือบจะไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไป

โชคดีที่ทั้งหมดนี้ได้หายไปในชั่วพริบตา และก่อนที่เฉินซีจะทันได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็รู้สึกว่ามีแสงสว่างวาบเข้ามาในดวงตาของเขา ฉับพลันนั้นทิวทัศน์ตรงหน้าเขาก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ท่ามกลางซากปรักหักพัง กำแพงและอาคารที่พังทลายลงบนพื้น มีเสาหินบางต้นที่มีความสูงถึงสองลี้ ที่เต็มไปด้วยรอยแผล นอกจากนี้ มีแม้กระทั่งกองกระดูกสีขาวโพลนที่น่าสยดสยองและคราบเลือดสีดำคล้ำที่ถูกสายลมพัดพาจนแห้งเกรอะกรังอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังเหล่านี้ ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูอ้างว้าง แห้งแล้ง และดูน่าหดหู่

แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ เหนือซากปรักหักพังเหล่านี้กลับมีปราณวิญญาณชั่วร้ายโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าเทพเจ้าและอสูรที่ล้มตายอยู่ในที่แห่งนี้กำลังคร่ำครวญออกมาอย่างไม่เต็มใจและโหยหวนอย่างสยดสยอง

สถานที่แห่งนี้คือ ซากปรักหักพังห้าธาตุ ซึ่งเป็นอาคารขนาดมหึมาที่ลอยอยู่กลางพายุมรสุมห้าธาตุ และเมื่อกวาดมองออกไปโดยรอบ ก็พบว่าสถานที่แห่งนี้มีขนาดนับพันลี้ มันกว้างใหญ่ไพศาลราวกับเกาะที่ลอยอยู่กลางมหาสมุทร

ส่วนโดยรอบของซากปรักหักพังห้าธาตุ ก็เป็นพายุที่หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง เหมือนกับเป็นปราการขนาดใหญ่ที่ปิดกั้นซากปรักหักพังห้าธาตุไว้อย่างแน่นหนา

พายุที่โหมกระหน่ำและส่งเสียงหวีดหวิดหวิวอย่างน่าสยดสยองกับซากปรักหักพังที่ลอยอยู่อย่างเงียบงันจนน่าวังเวง สิ่งหนึ่งเคลื่อนไหว อีกสิ่งกลับหยุดนิ่ง ปรากฏการณ์เช่นนี้ได้ทำให้ทิวทัศน์โดยรอบขัดแย้งกันอย่างรุนแรง หากไม่มีผู้ใดเข้ามาในพายุมรสุมห้าธาตุ ก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีปรากฏการณ์น่าอัศจรรย์เช่นนี้อยู่จริง

โฮก! โฮกก! โฮกกกก!

คลื่นเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ร้ายดังก้องออกมา จากนั้นเฉินซีก็เห็นสัตว์อสูรที่มีรูปร่างประหลาดที่อยู่กันอย่างหนาแน่นภายในพายุขณะที่พวกมันปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและผืนดินเสมือนกับเป็นฝูงตั๊กแตน การโจมตีที่หลากหลายจากเหล่าสัตว์อสูร ได้แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงที่น่าสะพรึงกลัวจำนวนนับไม่ถ้วนฉีกผ่านท้องเหนือซากปรักหักพัง และพลังของมันก็เพียงพอที่จะบดขยี้ผู้คนให้แหลกเหลว

นอกจากนี้ ภายในซากปรักหักพังก็มีผู้บ่มเพาะมากกว่าร้อยคนกระจายอยู่ทั่วทุกมุม และพวกเขากำลังใช้สมบัติวิเศษหรือเคล็ดวิชาต่าง ๆ เพื่อต้านทานการโจมตีของสัตว์อสูรระลอกแล้วระลอกเล่า เสียงระเบิดดังขึ้นและเบาลงอยู่หลายครั้ง เมื่อปราณแท้และสมบัติวิเศษปะทะกันจนเกิดประกายแสงแวววาวราวกับดอกไม้ไฟที่เจิดจรัสงดงาม แต่มันกลับแฝงไปด้วยสยดสยองและน่าเศร้า

เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่กลุ่มของเฉินซีเท่านั้น ที่ติดอยู่ภายในซากปรักหักพังห้าธาตุ

“ทุกคนมารวมตัวกันที่นั่นและต่อต้านสัตว์อสูรเหล่านี้ด้วยกำลังทั้งหมดของพวกเจ้า!” หวงฝู่ฉงหมิงตะโกนออกมา จากนั้นเขาก็พาคนอื่น ๆ มาถึงมุมหนึ่งของซากปรักหักพัง

โฮกกกก!

เมื่อทุกคนลงไปถึงพื้น ฝูงปีศาจอสรพิษเพลิงก็กระโจนเข้าใส่พวกเขาทันที ปีศาจอสรพิษเพลิงเหล่านี้มีหัวเป็นงูและร่างกายของมนุษย์ และร่างกายของพวกมันเต็มไปด้วยหมอกแห่งเปลวเพลิง ทำให้พวกมันดูดุร้ายเป็นอย่างมาก โดยไม่คาดคิด พวกมันล้วนมีขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์แบบและมีจำนวนนับหมื่นตัว ทำให้พวกมันดูเหมือนกับเป็นทะเลเพลิงที่โหมกระหน่ำ และการโจมตีของพวกมันก็แฝงไปด้วยเคล็ดวิชาธาตุไฟ!

เคล็ดวิชาธาตุไฟนี่ทรงพลังอย่างล้นเหลือ พลังงานของมันรุนแรงและเดือดพล่านราวกับว่ามันสามารถหลอมละลายเหล็กได้ อีกทั้งยังมีร่องรอยของพลังปีศาจปะปนอยู่ภายใน ทำให้มันน่ากลัวถึงขีดสุด

“ตายซะ!” หวงฝู่ฉงหมิงตะโกนออกมา ขณะที่ง้างกำปั้นของเขาขึ้น ทำให้เกิดกระแสวังวนจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นและทุบการโจมตีของอสรพิษเพลิงเหล่านี้โดยตรง ทำให้พลังทำลายของกำปั้นของเขาพุ่งกระจายออกไปโดยรอบจนฉีกมิติออกจากกัน ทันใดนั้น ปีศาจอสรพิษเพลิงหลายตัวก็ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ภายใต้การโจมตีที่ดุร้ายของเขา

“ตายซะ!”

“ตายซะ!”

คนอื่น ๆ ไม่กล้าละเลยอีกต่อไป พวกเขาตะโกนเสียงดังพร้อมกับโจมตีอย่างสุดกำลัง

“ไอ้หนู! อย่าคิดนิ่งเฉย ๆ แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเรา เจ้าจงไปจัดการกับศัตรูที่ด้านหน้า ถ้าเจ้าไม่ตาย หลังจากที่เราเข้าไปในขุมสมบัติ เจ้าจะได้รับส่วนแบ่งจากสมบัติที่เราได้รับ ถ้าเจ้าตาย เราก็ไม่ต้องมีเจ้าเป็นภาระ” หลินโม่เซวียนชำเลืองมองไปยังเฉินซี รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา จากนั้นจึงสั่งด้วยเสียงแหบแห้ง

เซียวหลิงเอ๋อร์ชำเลืองมองไปยังเฉินซีเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร เห็นได้ชัดว่านางตั้งใจที่จะไม่แยแส

หวงฝู่ฉงหมิงหัวเราะอย่างเย็นชา และดูเหมือนว่าเขาจะเห็นด้วยกับการกระทำของหลินโม่เซวียนเป็นอย่างมาก

“ถูกต้อง! พวกเราไม่ต้องการเศษขยะที่ใช้การไม่ได้ เจ้าจงไปที่ด้านหน้าและแสดงความแข็งแกร่งของเจ้าออกมา เพื่อให้เราเห็นว่าเจ้าเป็นเศษขยะหรือไม่ อ้อ อย่าได้กังวล พวกเราพี่น้องจะคอยปกป้องเจ้าและจะไม่ยอมให้เจ้าตายอย่างไร้ประโยชน์ภายใต้คมเขี้ยวของสัตว์อสูรเหล่านี้อย่างแน่นอน” เถิงหัวจีคิดบางอย่างในใจของเขา และเขากล่าวอย่างชั่วร้าย

“เร็วเข้า! จงพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเจ้าซะ!” เถิงหัวจีกล่าวสนับสนุนจากด้านข้าง

เถิงหัวจีเข้าใจแผนการของพี่ใหญ่ของเขาแล้ว และนั่นก็คือการฉวยจังหวะที่เฉินซีถูกสัตว์อสูรฆ่าเพื่อแย่งชิงคลังสมบัติมิติที่เฉินซีครอบครอง ด้วยวิธีนี้เจดีย์บำเพ็ญทุกข์และยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมจะได้คืนกลับมาโดยง่าย ยิ่งไปกว่านั้น มันจะไม่ดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ เพราะท้ายที่สุด มันก็เป็นเพียงคลังสมบัติมิติของเด็กน้อยที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น และทุกคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนเป็นอัจฉริยะที่มีทั้งสถานะและตัวตนที่สูงส่ง ดังนั้นจะมีผู้ใดต้องการมัน?

“นี่…จะไม่เกินไปหน่อยหรือ? ผู้เยาว์ของข้าเป็นเพียง…” ถันไถหงเป็นกังวลทันทีและกล่าวออกมาอย่างเร่งรีบ ทว่าเขากลับถูกขัดจังหวะโดยเฉินซี ก่อนที่เขาจะทันกล่าวจบ

“ท่านลุงถันไถ ไม่ต้องกล่าวอะไรอีกแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” เฉินซียิ้มให้ถันไถหงด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง ก่อนจะกวาดสายตามองคนอื่น ๆ แต่เขากลับหัวเราะอย่างเย็นชาในใจ และก้าวไปข้างหน้าทันทีเพื่อไปยังด้านหน้าของกลุ่ม

ฝาแฝดสกุลเถิงมองหน้ากันและเผยรอยยิ้มที่แฝงด้วยเล่ห์เหลี่ยม จากนั้นพวกเขาก็เดินตามหลังเฉินซีไปอย่างใกล้ชิดเพื่อยืนเคียงข้างเขา และท่าทางของพวกเขาดูเหมือนกำลังช่วยปกป้องเฉินซีอยู่

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท