บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 216 เขตแดนเต๋าหมอกฝน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 216 เขตแดนเต๋าหมอกฝน

บทที่ 216 เขตแดนเต๋าหมอกฝน

หลังจากเสียงกระซิบที่แผ่วเบาและเยือกเย็น ชิงซิ่วอี้ก็ปรากฏตัวขึ้นบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ด้วยท่วงท่าที่สง่างาม แขนเสื้อของนางพลิ้วไหวไปกับสายลม ราวกับนางอัปสรที่ลอยล่องลงมาด้วยรัศมีอันงามสง่า

หัวใจของเฉินซีเกร็งกระตุก เมื่อเขาเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ยังไล่ตามเขามาตลอดทาง จนเขาได้คร่ำครวญออกมาอยู่ภายในใจ บ้าเอ๊ย! ยามนี้ร่างกายของข้าบาดเจ็บหนักจนไม่มีแรงแม้แต่จะยกนิ้ว หากต้องเผชิญหน้ากับสตรีที่เป็นเซียนสวรรค์อวตารนางนี้อีก ข้าคงไม่มีช่องให้ต่อต้านละทำได้เพียงรอให้ความตายมาถึงแล้ว

ฟุ่บ!

เพียงชิงซิ่วอี้พลิกข้อมือขาวละออของนาง ผืนป่าโดยรอบก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นกลุ่มหมอกก็ค่อย ๆ ม้วนขดตัวจากพื้นดินราวกับควันขึ้นปกคลุมอยู่ในอากาศ บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื้นเมื่อดอกไม้สดจำนวนมากมายเบ่งบานออกมาอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับลำธารที่เริ่มไหลเชี่ยวกรากหลายสาย แสงแดดที่ส่องลงมาถูกหักเหเป็นหมอกมัว ทำให้เกิดเป็นระลอกคลื่นสีรุ้งราวกับอยู่ในฝันไปทั่วพื้นที่

หลังจากที่นางลงมือเสร็จ ชิงซิ่วอี้ก็กล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉย “นี่คือเขตแดนเต๋าหมอกฝนของข้า ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจ้า มันไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยที่เจ้าจะสามารถหลบหนีออกไปได้”

เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ ในขณะที่เขาจ้องมองเต๋ารู้แจ้งของเต๋าเมฆาพยับที่ดูเหมือนจริงแต่เป็นเพียงภาพลวงตา และเกือบจะเหมือนโลกใบเล็ก ๆ นี้ไป หัวใจของเขาดิ่งวูบในทันที เพราะคำพูดของชิงซิ่วอี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงไปเลยแม้แต่น้อย

เขตแดนเต๋าหมอกฝนที่อยู่ตรงหน้าเขานี้มันสมบูรณ์ยิ่งกว่าเขตแดนเต๋าแห่งการสังหารของหานกู่เยว่ และเขตแดนเต๋าแห่งแม่น้ำโลหิตของเถิงหัวซวี่เสียอีก เต๋ารู้แจ้งมากมายมีอยู่เต็มภายในพื้นที่เขตแดนเต๋านี้ ทั้งดอกไม้สดเหล่านั้น สายน้ำไหล สายฝนที่โปรยปราย… พวกมันทั้งหมดล้วนมีกลิ่นอายของมหาเต๋าที่เป็นธรรมชาติและไม่มีร่องรอยของการประดิษฐ์อยู่เลยแม้แต่น้อย นี้พิสูจน์ให้เห็นว่าความเข้าใจในเขตแดนเต๋าของชิงซิ่วอี้ได้บรรลุถึงระดับที่สูงมากเกินธรรมดาไปแล้ว

“เจ้าคิดอย่างไรกับเขตแดนเต๋าหมอกฝนของข้า? แม้ว่ามันจะไม่สามารถเปรียบเทียบกับเขตแดนเต๋าแห่งปารามิตา, เขตแดนเต๋าแห่งการลืมเลือน และเขตแดนเต๋าแห่งจุดจบได้ แต่มันก็มากเกินพอที่จะดักจับเจ้า” ชิงซิ่วอี้หยุดยืนอยู่ที่ข้างลำธาร รูปลักษณ์ของนางช่างงดงามดุจดอกบัวในน้ำใส ทั่วทั้งร่างของนางก็ดูราวกับมีหมอกปกคลุม เพิ่มความลึกลับยิ่งขึ้น

เมื่อได้มองดูสตรีนางนี้ จะรับรู้ไปว่านางไม่เหมือนผู้บ่มเพาะคนใดในโลกมนุษย์เอาเสียเลย ร่างกายที่ดูบริสุทธิ์และไร้ที่ติ จากการเกิดใหม่ทำให้นางไร้มลทินในโลกมนุษย์ ทำให้คนอื่นรู้สึกราวกับว่านางเป็นเซียนอมตะไม่ใช่มนุษย์เดินดิน

จุดเหล่านี้คือข้อบ่งชี้ของเซียนสวรรค์อวตาร ตั้งแต่วันแรกที่เกิดเซียนสวรรค์อวตารจะครองสติปัญญาและความรู้มากมายออกมาด้วย และเพราะพวกเขามีเศษเสี้ยวประสบการณ์ในความเข้าใจเต๋าจากชีวิตก่อนหน้านี้ ทำให้พวกถือความได้เปรียบในการบ่มเพาะที่คนทั่วไปในโลกไม่สามารถเปรียบเทียบได้เอาไว้

“เขตแดนเต๋าของเจ้าไม่เลวเลยจริง ๆ ทว่าข้าไม่ได้สนใจเรื่องนั้น ครั้งนี้เจ้าไล่ตามข้ามาเพราะต้องการจะฉกชิงของที่ข้าครอบครองงั้นหรือ? เจ้าควรรู้ว่าต่อให้พวกเจ้ามีกันมากกว่า 10 คนไม่สามารถฆ่าข้าได้อยู่ดี” เฉินซีเอนตัวลงไปกับพื้น แม้ว่าอาการของเขาจะแย่มาก แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงเรียบนิ่งและสงบ

“ข้ารู้ แต่เหตุผลที่เราไม่สามารถหยุดเจ้าได้ นั้นเพราะพวกเราถูกหยุดโดยเจตจำนงของตัวตนที่ยิ่งใหญ่ในตัวของเจ้า ข้าพอจะเข้าใจตัวตนนี้อยู่ไม่มากก็น้อย และยามนี้เขาคงไม่อาจช่วยเจ้าได้แล้ว เพราะเขาได้ถูกผู้เยี่ยมยุทธ์จากโลกภายนอกร่วมมือกันบดขยี้ไปเมื่อราวสองสามหมื่นปีที่แล้ว บางทีร่างกายและวิญญาณของเขาอาจยังไม่ถูกทำลาย ทว่าอย่างน้อยที่สุด เขาก็ไม่มีพลังมากพอที่จะไปต่อกรกับเทพเจ้าต่าง ๆ ในมิติที่สามได้ ฉะนั้นตอนนี้เจ้าก็เหลือเพียงตัวคนเดียวและไม่อาจทำอะไรได้ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องพยายามหลอกลวงข้า” เสียงของชิงซิ่วอี้ทั้งเย็นชาและเลือนราง ใบหน้าที่สวยงามของนางยังคงเรียบสงบ แต่ก็ไม่ได้เยือกเย็น เป็นเพียงใบหน้าที่ไร้ซึ่งกังวล เงียบและสงบ แต่ก็ไม่อาจรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าในใจนางกำลังคิดสิ่งใดอยู่

เมื่อไม่กี่หมื่นปีที่แล้ว?

ถูกผู้เยี่ยมยุทธ์จากโลกภายนอกร่วมกันบดขยี้?

ความประหลาดใจพรั่งพรูออกมาจากภายในใจของเฉินซี ในตอนนี้เขาเข้าใจได้เพียงผิวเผินเท่านั้น ว่าสวรรค์ที่ท้าทายการดำรงอยู่ของเจ้าของเสียงที่เยือกเย็นและเศร้าสร้อยนั้นเป็นอย่างไร

ทว่าเขาก็ยังคงกล่าวต่อไปอย่างใจเย็น “หากข้าคาดเดาไม่ผิด เจ้าคงจะเกรงกลัวตัวตนที่ยิ่งใหญ่เบื้องหลังข้ามากน่าดูชม ไม่อย่างนั้นเจ้าคงจะไม่พูดเรื่องไร้สาระให้มากความ และคงจะไม่รอจนถึงตอนนี้แต่กลับยังไม่ลงมือกับข้า”

“เป็นเช่นนั้น เมื่อหลายปีก่อนตัวตนที่ยิ่งใหญ่นั้นได้ทำให้โลกต่าง ๆ หวาดกลัวเขาอย่างมาก พลังความสามารถของเขาถือว่ามากจนน่าตกใจ ถึงขั้นที่สามารถสั่งการโลกทั้งใบได้ แม้ว่าข้าจะฝึกฝนจนกลับไปสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์อีกครั้ง ข้าก็ยังต้องระมัดระวังต่อแผนการที่เขาวางเอาไว้ก่อนที่จะร่วงหล่นไปอยู่ดี เจ้าควรเข้าใจดีว่ามนุษย์มักตายด้วยการแสวงหาความมั่งคั่ง เช่นเดียวกับนกที่ตายเพราะการแสวงหาอาหาร ดังนั้นเพื่อให้ได้ผลประโยชน์บ้างอย่าง ข้ายอมที่จะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งเพื่อให้ได้สิ่งนั้น” ชิงซิ่วอี้พยักหน้าและตอบไปตามความเป็นจริง

เป็นเพราะนางไม่บ่ายเบี่ยงแม้แต่น้อยที่จะยอมรับข้อเท็จจริงนี้ ทำให้เฉินซีมีความรู้สึกมั่นใจมากว่าสตรีนางนี้ไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ และทำให้เขาไม่สามารถกระตุ้นความคิดที่จะเกลียดนางได้เลย เพราะเมื่อเทียบกับการกระทำที่เสแสร้งและเจ้าเล่ห์ของคนอื่น ๆ แล้ว หญิงสาวผู้นี้กลับสามารถพูดเกี่ยวกับสิ่งที่นางกำลังคิดได้โดยไม่ต้องหลบเลี่ยงแม้แต่น้อย นี่แสดงให้เห็นว่านางมีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองอย่างมาก และสถานการณ์ทุกอย่างก็อยู่ในการควบคุมของนางมาโดยตลอด!

“เจ้าวางแผนจะทำอะไร?” เฉินซีตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะหยุดเล่นเกมจิตวิทยากับผู้หญิงคนนี้ และเลือกถามนางอย่างตรงไปตรงมา

ชิงซิ่วอี้ตอบกลับ “ข้าวางแผนที่จะทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้า ส่งมอบสมบัติอมตะที่อยู่ในความครอบครองของเจ้าให้ข้า แล้วข้าจะมอบสมบัติ, วารีวิญญาณ, เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ, โอสถ… เจ้าสามารถเลือกอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ”

“แลกเปลี่ยน?” เฉินซีดูราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ “ถือเป็นวิธีที่ดีในการแก้ปัญหา การฉกชิงกลายเป็นการแลกเปลี่ยน และเจ้ายังจะตอบแทนข้าด้วยของที่มีค่าเท่าเทียม ตราบใดที่ข้าตกลงไม่ว่าจะเป็นใคร พวกเขาก็คงหาข้ออ้างมาวุ่นวายกับเจ้าไม่ได้อีกต่อไป แผนการที่ดี เป็นแผนการที่ดีอย่างแท้จริง”

ชิงซิ่วอี้รับรู้ถึงการเยาะเย้ยในคำพูดของเฉินซี แต่นางก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยและยังคงกล่าวอย่างเฉยเมยต่อไป “เจ้าคิดอย่างไรกับการแลกเปลี่ยนนี้?”

“ข้ามีทางเลือกหรือไม่?” เฉินซีเลือกตอบอย่างมีวาทศิลป์

ชิงซิ่วอี้กล่าวต่อ “นี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าคงราบดีถึงช่องว่างระหว่างเราสองคน การต่อต้านจนถึงที่สุดมีแต่จะทำให้เจ้าต้องสละชีวิต และนั่นไม่ใช่สิ่งที่คนฉลาดทำ”

“เจ้าจะมากเกินไปแล้ว! เฉินซี เจ้าต้องไม่เห็นด้วยกับนางอย่างเด็ดขาด!” หลิงไป๋กระโจนออกไปลอยขวางหน้าเฉินซี เขามองไปที่ชิงซิ่วอี้ด้วยสายตาที่เย็นชายิ่ง ในขณะร่างกายของเขาปลดปล่อยรัศมีออกมา ทำให้เขาดูเหมือนดาบคมไร้ปลอกที่ตั้งใจจะดื่มเลือดของศัตรู

“แม้ว่าข้าจะแยกไม่ออกว่าเจ้าเป็นสิ่งใด แต่ข้าสามารถระบุได้คร่าว ๆ ว่าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอย่างแน่นอน มันจะเป็นการดีกว่าหากเจ้าหยุดดิ้นรนอย่างไร้จุดหมายเสีย” ชิงซิ่วอี้ส่ายหัวของนาง มันไม่ใช่การประชดประชันหรือการเยาะเย้ย แต่นางก็เป็นเพียงแค่พูดความจริง

“หลิงไป๋ อย่าผลีผลาม!” เฉินซีตะโกนออกมาด้วยเสียงกดต่ำ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความจริงจังที่ไม่อาจโต้แย้งได้

การแสดงออกของหลิงไป๋เปลี่ยนกลับไปกลับมา เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอยกลับมาด้วยความโกรธในที่สุด

เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นเช่นนั้น จากนั้นเขาก็จ้องไปที่ ชิงซิ่วอี้อย่างเย็นชาและถามขึ้น “เจ้าต้องการอะไรจากข้า?”

“เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ระเบียนแดนมรณะ และเขา” ชิงซิ่วอี้ยกมือขึ้นชี้ไปที่หลิงไป๋

เมื่อเขาได้ยินว่าชิงซิ่วอี้เรียกร้องตัวเขาจริง ๆ หลิงไป๋ก็โกรธจนหน้าอกของเขากระเพื่อม ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งที่เฉินซีกล่าวขึ้นก่อนหน้านี้ เขาคงเมินเฉยต่อทุกสิ่งและตรงเข้าไปสู้กับนางไปนานแล้ว

ในใจเฉินซีเองก็รู้สึกโกรธมากเช่นกัน แม้ว่าเจดีย์บำเพ็ญทุกข์จะเสียหายไปนานแล้ว แต่มันก็ยังคงถือเป็นสมบัติอมตะ ส่วนระเบียนแดนมรณะนับเป็นสมบัติล้ำค่าที่ลึกลับอย่างยิ่ง มูลค่าของมันมากเกินกว่าเจดีย์บำเพ็ญทุกข์เสียด้วยซ้ำ ในขณะที่หลิงไป๋… ในใจของเขาหลิงไป๋ไม่ใช่ ‘สิ่งของ’ ที่จะใช้ในแลกเปลี่ยนกับใคร กลับกันเฉินซีถือว่าเขาเป็นเหมือนพี่น้องคนสนิทของเขา พวกเขาเชื่อใจซึ่งกันและกัน ฝ่าฟันผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน มิตรภาพของพวกเขาพัฒนาจนมันเหนียวแน่นมานานแล้ว แล้วเขาจะส่งมอบหลิงไป๋ให้นางได้อย่างไร?

“ข้าให้หลิงไป๋แก่เจ้าไม่ได้ แต่อีกสองไม่ใช่ปัญหา” เฉินซีพูดโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ถ้าเจ้าไม่ยอมรับ ข้าก็จะขอสู้ให้ถึงที่สุด!”

“เฉินซี…” คลื่นความอบอุ่นพรั่งพรูออกมาจากหัวใจของหลิงไป๋อย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อเขาเห็นว่าในเวลาเช่นนี้เฉินซีก็ยังคงเลือกที่จะปกป้องเขา จากนั้นความเฉียบขาดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็ก ๆ ของเขา ขณะที่เขาพูดออกมาคำต่อคำ “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ วันนี้ข้าจะไม่ยอมให้นางสัมผัสแม้แต่เส้นผมของเจ้า แม้ว่าข้าจะต้องตายก็ตาม!”

“การปล่อยให้อารมณ์ควบคุมนับเป็นการกระทำของคนโง่เขลา” ชิงซิ่วอี้ส่ายหัวและพูดในขณะที่มองไปทางเฉินซี “หลังจากที่ข้าฆ่าเจ้าแล้ว ข้าก็ยังคงได้ทุกอย่างมาอยู่ดี ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพูดคุยเรื่องเงื่อนไขกับข้า คำตอบของเจ้ามีให้เลือกเพียงว่าตกลงหรือไม่เท่านั้น”

เฉินซีถอนหายใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น วันนี้เราอาจจะต้องตายเสียแล้ว ก่อนหน้านี้ขณะที่เขากำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการกู้คืนปราณแท้ของตน ตราบใดที่เขาสามารถดึงมันกลับมาได้แม้เพียงเสี้ยวเดียว เขาก็จะสามารถเปิดใช้งานจี้หยกบนฝ่ามือของเขาและเข้าไปในเคหาได้ทันที อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บที่รุนแรงเกินไป ไม่ต้องพูดถึงการฟื้นตัวของปราณแท้ ลำพังแค่แรงที่จะใช้ขยับร่างกายในยามนี้เขาไม่มีมันเลยแม้แต่น้อย

“เฉินซีเจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป การมีชีวิตรอดเท่านั้นที่คุณจะมีโอกาสแก้แค้นและกำจัดศัตรูทั้งหมดที่เคยรังแกเรา ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องสามารถทำเช่นนั้นได้อย่างแน่นอน” เสียงของหลิงไป๋เผยให้ถึงร่องรอยของความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ มันฟังดูราวกับว่าเป็นคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากลากันไป ทำให้ในใจของเฉินซีเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

โอม!

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เฉินซีจะทันได้พูดอะไรเพื่อหยุดเขา หลิงไป๋ก็เปลี่ยนร่างเป็นแสงสีทองที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในทันที ปราณกระบี่ที่แหลมคมกวาดกินพื้นที่โดยรอบเป็นบริเวณกว้าง ทุก ๆ ตารางนิ้วของปราณกระบี่นี้ล้วนบรรจุอัดแน่นไปด้วยสำนึกกระบี่นิพพาน ทำให้ปราณกระบี่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงจนถึงจุดที่เขตแดนเต๋าหมอกฝนฉีกขาดและเผยถึงร่องรอยของการแตกเป็นเสี่ยง ๆ ขึ้นภายใน

ภายในปราณกระบี่อันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ แสงสีทองที่พร่างพรายพริ้วไหวอยู่บนร่างของหลิงไป๋ราวกับว่ามันกำลังลุกโชน ใช่ เขาเป็นเหมือนดั่งสาวกผู้เคร่งศาสนาที่เสียสละชีวิตของตนเอง เพื่อแลกกับความแข็งแกร่งที่น่าหวาดกลัว!

“หยุดนะไอ้เจ้าบ้า! หยุด!” ความตื่นตระหนก ความโกรธเกรี้ยว และความเจ็บปวดที่ไม่อาจอธิบายได้พรั่งพรูออกมาจากภายในใจของเฉินซี ดวงตาของเขาเบิกกว้างจนแทบจะถลน เขากู่คำรามออกมาพร้อมกับสายเลือดที่ไหลออกมาจากดวงตา

เฉินซีจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าหลิงไป๋ต้องการใช้ชีวิตของตนเพื่อปกป้องเขา?

อย่างไรก็ตาม ก็เพราะเขาเข้าใจดี เขาจึงไม่สามารถยอมรับฉากนี้ที่กำลังปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาเขาได้ เขาไม่อาจเฝ้าทนดูอย่างเฉยเมย เมื่อเพื่อนที่เขาไว้ใจและพึ่งพาอย่างหลิงไป๋กำลังค่อย ๆ ตายจากไปต่อหน้าเขา

ทำไม

ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้?

เฉินซีร่ำตะโกนอยู่ในใจ แต่เขาไม่สามารถใช้พละกำลังที่มีอยู่เพื่อเข้าไปหยุดหลิงไป๋ได้ ความรู้สึกไร้พลังที่ไม่อาจควบคุมหรือหยุดยั้งอีกฝ่ายได้ทำให้เขาตกอยู่ในความเจ็บปวดอย่างไร้ขอบเขต

ใบหน้าของชิงซิ่วอี้ที่ยืนอยู่ห่างไกลเผยให้เห็นความหวาดกลัวที่หายาก ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเลยหลิงไป๋จะสละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยเฉินซี การกระทำที่ยอมตายเพื่อมิตรภาพของเขาทำให้อารมณ์ที่เยือกเย็นของนางสั่นไหวอย่างอดไม่ได้

แต่ด้วยความที่นางเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นและแน่วแน่ ทำให้นางตั้งสติกลับมาได้ในทันที ชิงซิ่วอี้โบกมือขาวเนียนของนาง ทำให้เกิดหมอกเจ็ดสีรวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาบนฝ่ามือ

“น่าเสียดายที่แม้ว่าเจ้าจะเสี่ยงชีวิตไป มันก็ไม่ได้ช่วยสร้างความแตกต่างอะไรขึ้นมา” ชิงซิ่วอี้ถอนหายใจเบา ๆ และกำลังลงมือจะโจมตี ทันใดนั้นสังเกตเห็นบางสิ่งอย่างเสียก่อน ทำให้ดวงตาที่กระจ่างใสของนางสลับไปจ้องมองทางด้านข้างอย่างรวดเร็ว

ฟุ่บ!

ในทันทีทันใด เขตแดนเต๋าหมอกฝนอันสมบูรณ์แบบที่แยกทุกสิ่งภายในออกจากโลกภายนอก ก็ปรากฏรอยแตกขึ้น เจตจำนงเต๋าต่าง ๆ พังทลายลงและแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ขณะที่ร่างที่สวมชุดดำที่มีผ้าปิดคลุมหน้าก้าวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่ละย่างก้าวนั้นราวกับว่าร่างนั้นกำลังเดินอยู่บนพื้นราบก็ไม่ปาน

คนผู้นี้ทำราวกับว่าเขตแดนเต๋าหมอกฝนนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท