บทที่ 224 เฉียดใกล้ความตาย
บทที่ 224 เฉียดใกล้ความตาย
บัดซบ!
ใบหน้าของเขาเผือดซีดขณะได้ยินเสียงอ่อนเบาดังกังวานเข้าในโสตประสาทและสัมผัสได้ถึงกระบี่รู้แจ้งทางด้านหลังเฉินซีอันยากจะหาใดเทียบเทียม ฉู่เทียนจวี่คาดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ จู่ ๆ เหตุการณ์ไม่คาดฝันจะเกิดขึ้นพลันความรู้สึกสิ้นหวังเข้าเกาะกุมหัวใจทันที
แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาหาได้ลดทอนลงไม่ จึงรวบรวมพลังที่มีผลักออกปราณแท้แปรเปลี่ยนฝ่ามือให้เป็นกำปั้นสีครามชกต้านปราณกระบี่ที่จู่โจมเข้ามากะทันหัน
เปรี้ยง!
แรงปะทะของกำปั้นและกระบี่ที่ประสานงากันบังเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง ฉู่เทียนจวี่อาศัยจังหวะการปะทะเกิดแรงระเบิด พลันพลิกกลับร่างที่ดั่งพญาเหยี่ยวของเขาถอยห่างอย่างสง่างามไกลออกไปกว่า 30 จั้ง
“อ๊าคคค! อ๊าคคค!” ขณะฉู่เทียนจวี่เพิ่งจะทะยานลงมาถึงพื้นดิน เป็นเวลาที่เสี่ยวว่าน และเสี่ยวเซี่ย ส่งเสียงร้องโหยหวนก่อนจะถูกสองคนฟ่านอวิ๋นหลานและชิงซิ่วอี้ฟาดศีรษะของพวกนางจนแหลกเละราวกับทุบผลแตงโมตายอยู่ตรงนั้นเอง
เมื่อเห็นเช่นนั้นใบหน้าของฉู่เทียนจวี่มืดหม่นเป็นที่สุด ความหวาดกลัวเหลือประมาณพุ่งวาบจับขั้วหัวใจ
เขาไม่กล้าถอยหนีด้วยเกรงรังสีของทั้งชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นหลานซึ่งเวลานี้ได้แผ่เข้าสกัดกั้นตนไว้แน่นหนาแล้ว โดยเฉพาะฟ่านอวิ๋นหลานคนผู้นี้มี ‘พลัง’ แห่งฟ้าดินอยู่ในพลังบ่มเพาะทำให้ฉู่เทียนจวี่รู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับพลังฟ้าดินอันกว้างใหญ่ไพศาล จนรู้สึกเหมือนตัวเล็กมากที่ไม่กล้าแม้กระทั่งจะกระดิกตัวไปไหน
“แม่นางชิง…ข้าชื่อฉู่เทียนจวี่มาจากนิกายนภาจรัสแสง อาจารย์ของข้าคือบรรพชนเซวียนหลง ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะล่วงเกินเจ้า แต่เผอิญศิษย์น้องสองคนของข้ามันไร้มารยาทและยังอวดดี ข้าต้องขออภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย” ฉู่เทียนจวี่ทำกะพริบตาถี่ แถมโยนความผิดไปให้เสี่ยวว่านและเสี่ยวเซี่ยคนตายไปแล้วหน้าตาเฉย
“เหอะ…ฉู่เทียนจวี่แห่งนิกายนภาจรัสแสงงั้นหรือ! พูดจาพล่อย ๆ หาข้ออ้างแก้ตัวแค่นี้หรือ ทำอย่างนี้เท่ากับหักหน้าอาจารย์ของเจ้าแท้ ๆ!” เสียงชิงซิ่วอี้โต้กลับอย่างอย่างเย็นชา ขณะที่มือเรียวขาวของนางสะบัดออกไปทำให้ผ้าคลุมสีขาวสะอาดดั่งเกล็ดหิมะที่ทำจากขนกระเรียนห่อคลุมแผ่ออกก่อนที่จะคลุมลงบนร่างของนางและปกปิดไว้อย่างมิดชิด
ส่วนอีกด้านฟ่านอวิ๋นหลานได้สะบัดผ้าสีแดงเลือดนกออกมาคลุมบ่าของนางไว้แล้วเช่นกัน ทว่าเป็นฝ่ายยืนดูเงียบ ๆ จึงยากที่จะล่วงรู้ความคิดในใจของเจ้าตัว ณ ขณะนั้น
“แม่นางชิง ข้าไร้เดียงสานัก! หากเจ้ายังโกรธอยู่ ข้ายินดีที่จะชดเชยให้แก่เจ้าเป็นโอสถและสมบัติวิเศษก็ได้ หวังเพียงว่าเจ้าจะให้อภัย ยอมลบล้างความผิดจากการกระทำที่ไม่เจตนาในครั้งนี้” ฉู่เทียนจวี่รีบพูดลนลาน เขาจะไม่มีวันยอมรับผิดต่อให้ถูกตีจนตายก็ตาม มิฉะนั้นภัยพิบัติครั้งนี้จะยิ่งหนักหนาและบางทีอาจทำให้โยงไปถึงนิกายและตระกูลที่ให้การสนับสนุนเขาอยู่เบื้องหลังก็ได้
อย่างไรเสีย ชิงซิ่วอี้เป็นถึงเซียนสวรรค์อวตาร เปรียบดั่งอัญมณีล้ำค่าในมือของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ ผู้อาวุโสต่างให้ความคุ้มครองและมีมิตรสหายที่พร้อมโอบอุ้มอีกหลายคน ถ้าหากคนพวกนั้นมารู้ทีหลังว่าเขา…ฉู่เทียนจวี่คบคิดกันต่อต้านชิงซิ่วอี้ อย่าว่าแต่ตนเองเลยแม้แต่ผู้มีอำนาจเบื้องหลังก็คงไม่สามารถยืนหยัดต้านรับผลร้ายที่จะตามมาได้อย่างแน่นอน
“ไร้เดียงสางั้นหรือ” ทันใดนั้นบนฝ่ามือของชิงซิ่วอี้เผยให้เห็นหมุดโปร่งแสงยาวประมาณ 3 ชุ่น บอบบางดั่งขนวัว สิ่งนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อเข็มผูกตรวนแช่วิญญาณ “เท่าที่ข้ารู้ ตระกูลฉู่ของเจ้าเป็นเจ้าของเส้นชีพจรวิญญาณเยือกแข็งที่แก่นกลางโลก และเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในเรื่องแปรสภาพและขายเข็มผูกตรวนแช่วิญญาณในนครหลวงธารสายไหม ไม่ใช่ว่าเจ้าหรือหรือที่มอบให้ของเหล่านี้แก่พวกนางทั้งสองคน”
ฉู่เทียนจวี่สีหน้าบอกบุญไม่รับ “เอ่อเรื่องนั้น…”
พลันชิงซิ่วอี้เอ่ยตัดบทขัดจังหวะน้ำเสียงเย็นเยียบ “ไม่ต้องอธิบายให้มากความ อย่างไรเสียผลลัพธ์สำหรับเจ้ามีอย่างเดียวเท่านั้น วันนี้เจ้าจะต้องตาย!”
ขณะเดียวกันร่างของผู้พูดกลายเป็นฝ่าหมอกเลือนลาง ชั่วแวบหนึ่งก็มาปรากฏตัวต่อหน้าฉู่เทียนจวี่ ก่อนที่จะตวัดฝ่ามือออกไปพลันใช้กำปั้นของนางทุบไปที่กะโหลกของฉู่เทียนจวี่อย่างรุนแรงประหนึ่งแส้เหล็ก
เหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด โอกาสที่ฉู่เทียนจวี่จะเคลื่อนไหวเพื่อต้านทานจึงไม่มีทางเป็นไปได้ด้วยคนผู้นั้นไม่คาดคิดว่าชิงซิ่วอี้จะจู่โจมตีกะทันหันเช่นนี้ เขารีบยกแขนขึ้นป้องเหนือศีรษะโดยหวังจะใช้มันเพื่อป้องกันภัยให้ตัวเอง
พลั่ก!
พลังหมัดธรรมดาของชิงซิ่วอี้ทว่าดูราวกับมีน้ำหนักมากมหาศาล ถึงกับทำให้แขนของฉู่เทียนจวี่หักทันทีจนเสียงกระดูกที่ถูกทุบแตกเป็นเสี่ยงดังมาให้ได้ยิน
เป๊าะ! เป๊าะ! เป๊าะ!
แรงประทะทำให้ร่างฉู่เทียนจวี่กระถดถอยห่างไปกว่า 10 ก้าว ยามนั้นใบหน้าของมันซีดขาวอย่างกับผี เม็ดเหงื่อเท่าเม็ดถั่วผุดเต็มหน้าผาก เมื่อกระดูกแขนแตกละเอียดเสียแล้วดังนั้นแขนสองข้างจึงกลายเป็นอ่อนปวกเปียกตกลงไปที่ข้างลำตัว
เป็นไปได้อย่างไร ข้าเป็นผู้ฝึกพลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นกลาง แค่อ่อนด้อยกว่านางจนกระทั่งไม่สามารถต้านทานพลังจู่โจมเพียงครั้งเดียวได้เลยเชียวหรือ หรือว่านางบรรลุพลังขอบเขตจุติแล้ว ยามนั้นฉู่เทียนจวี่ทั้งตกตะลึงผสมขุ่นแค้นในใจ จนแล้วจนรอดเจ้าตัวเองยังไม่อยากเชื่อ
แม้ว่าจะเคยได้ยินมานานแล้วว่าสตรีที่ชื่อชิงซิ่วอี้มีพลังแกร่งกล้าอย่างยากหยั่งถึง แต่พอได้มาเห็นกับตาจึงรับรู้ได้ทันทีว่าเขาประมาทนางเกินไป ทักษะการต่อสู้ของนางสามารถต่อกรกับผู้ฝึกพลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยางในระดับเดียวกันได้อย่างแน่นอน!
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
พลังหมัดของนางทะลุทะลวงขึ้นสู่ท้องฟ้า ชิงซิ่วอี้ไม่เปิดโอกาสให้ฉู่เทียนจวี่แม้สักอึดใจด้วยทะยานเจ้าหาอีกฝ่ายทันที พร้อมผลักกำปั้นซึ่งเหมือนจะงอยปากนกกระเรียนพุ่งออกไป เวลานั้นปราณแท้อันกว้างใหญ่ที่รวมเข้ากับกำปั้นได้ปะทะระเบิด ประดุจกระเรียนศักดิ์สิทธิ์กำลังรอจังหวะที่จะเขมือบเหยื่อของมัน!
“ชิงซิ่วอี้ เจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้! ไม่กลัวว่าตระกูลฉู่กับนิกายนภาจรัสแสงจะตามไปแก้แค้นงั้นหรือ” ในช่วงคับขันฉู่เทียนจวี่ก็ตะโกนออกมาสุดเสียงขณะเดียวกันแก่นทองคำปรากฏขึ้นเหนือศีรษะครอบคลุมไว้ด้วยด้วยลำแสงแห่งเต๋ารู้แจ้ง
“ฆ่า!” แกนทองคำที่บรรจุพลังบ่มเพาะของฉู่เทียนจวี่ทั้งหมดรวมทั้งเก้าเต๋ารู้แจ้งหมุนวนอยู่รอบ ๆ เปล่งประกายเจิดจ้า พุ่งปะทะและระเบิดพลังหมัดที่กำลังจู่โจมฉู่เทียนจวี่ก่อนที่จะพุ่งตรงไปยังร่างของชิงซิ่วอี้
การต่อสู้นี้เป็นการต่อสู้ชนิดชีวิตแลกชีวิต ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุด
ฉู่เทียนจวี่เองดูเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าถ้าตนไม่ต่อสู้ตอนนี้ โอกาสที่จะรอดคงไม่มีอีกต่อไป
ถึงกระนั้นสถานการณ์ไม่ได้เป็นดังที่คิด ชิงซิ่วอี้โหดเหี้ยมกว่าเขามาก การจู่โจมของแกนทองคำทำอะไรนางไม่ได้อย่างสิ้นเชิง พลังแรงของหมัดที่นางซัดออกไปก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงอีกทั้งยังพุ่งเข้าหาบริเวณคอของฉู่เทียนจวี่ไม่ยั้ง
เปรียะ!
เสียงกระดูกลำคอของฉู่เทียนจวี่ถูกบดขยี้แตกเป็นเสี่ยง ความรุนแรงของพลังยังส่งให้ลำคอของมันบิดเป็นเกลียวและตายทันทีด้วยสภาพที่น่าสังเวชอย่างยิ่ง
โอม!
ขณะเดียวกันแกนทองคำของฉู่เทียนจวี่พุ่งไปปะทะกับชิงซิ่วอี้ตรง ๆ ทว่าเหมือนกับก้อนดินที่ตกลงสู่มหาสมุทรจึงถูกดูดกลืนอย่างสิ้นเชิงด้วยรังสีเจ็ดลำแสงกระทั่งพลังกระจายหายไปอย่างสิ้นเชิง
ถ้าสังเกตให้ดีรังสีทั้งเจ็ดลำแสงนั้นมาจากกระจกหมอกลวงมายาได้อย่างน่าประหลาด ราวกับว่าเมื่อนางลงมือ ชิงซิ่วอี้ประมวลเหตุการณ์ไว้ในใจและนำกระจกหมอกลวงมายาออกมารอท่านานแล้ว
“เจ้าคิดจะใช้พลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยางระดับกลางรับมือกับข้างั้นหรือ รนหาที่ตายแท้ ๆ…” คนพูดส่ายหน้าและไม่แม้แต่จะชำเลืองหางตาแลไปทางร่างไร้วิญญาณของฉู่เทียนด้วยซ้ำ จากนั้นจึงเอื้อมมือคว้าเอาแกนทองคำมาเสียและเก็บเข้าสู่คลังสมบัติวิเศษของตนเองทันที
เพียงชั่วไม่กี่อึดใจ ศิษย์หลักพลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแห่งนิกายนภาจรัสแสง ฉู่เทียนจวี่ได้ตายลงเสียแล้วด้วยพลังแกร่งกล้าทั้งเหี้ยมเกรียมและดุดันของชิงซิ่วอี้ ยามนี้แววตาของฟ่านอวิ๋นหลานที่มองดูอยู่ไม่ไกลเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
นางเข้าใจได้ทันทีว่าพลังบ่มเพาะของชิงซิ่วอี้พัฒนาขึ้นกว่าเดิมพอใช้ แสดงว่าการร่วมมือกันก่อนหน้ายังประโยชน์แก่ชิงซิ่วอี้เช่นเดียวกับตัวของนางเองไม่น้อย
เมื่อหวนนึกถึงการร่วมมือกันครั้งที่แล้ว สีหน้าอารมณ์ของฟ่านอวิ๋นหลานก็ตกฮวบทันที ใบหน้าที่เคยสวยงามมีเสน่ห์แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พลันเหลือบมองไปทางเฉินซีซึ่งบัดนี้ยังนั่งไขว่ขัดสมาธินิ่งไม่รู้สึกตัวเช่นเดิม
ชิงซิ่วอี้เองก็ยังเงียบเฉย ขณะนั้นนางกำลังมองดูเฉินซีด้วยสายตาเฉยเมยเหมือนกับมองดูร่างไร้วิญญาณที่ไร้ความรู้สึกรู้สาแล้วกระนั้น
ในบรรดาสตรีทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นอัจฉริยะชั้นนำของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ บุคลิกลักษณะสวยงามดั่งภาพวาด ประหนึ่งเทพธิดาที่ไม่มีใครกล้าแตะต้องในกระบวนศิษย์รุ่นใหม่ในโลกมนุษย์ ส่วนอีกคนเป็นหัวหน้าหมู่ตึกแห่งนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต ด้วยรูปร่างบอบบางและมีเสน่ห์ งดงามราวกับจะหยาดหยด อีกทั้งยังมีระดับการบ่มเพาะขอบเขตจุติ 7 วัฏจักร ส่งผลให้นางเป็นกลายคนที่มีพลังอำนาจสามารถควบคุมเมฆาพายุได้ แม้จะอยู่ในเมืองทะเลสาบมังกรก็ตาม
ทั้งสองสตรีได้เสียความบริสุทธิ์ให้ชายคนเดียวกันด้วยความบังเอิญ ความรู้สึกของพวกนางเวลานี้จะวุ่นวายซับซ้อนมากเพียงใดก็สุดที่จะคาดเดา
หลิงไป๋นิ่วหน้าขณะเขาขยืนอยู่เบื้องหน้าเฉินซี สายตาแข็งกร้าวดุดันแสดงถึงความไม่ยอมคน เขาตั้งใจที่จะปกป้องเฉินซีด้วยชีวิตอย่างเต็มที่
การได้ความบริสุทธิ์ของสตรีมาด้วยความบังเอิญโดยไม่ได้หัวใจของนางมาด้วย ตรงกันข้ามเพื่อช่อนเร้นความอับอายหรือเพื่อระบายความโกรธแค้น พวกนางจะพยายามแก้แค้นชายที่เคยทำไว้กับพวกนางนั่นเอง
โดยเฉพาะเมื่อทั้งสถานะ ตัวตนอีกทั้งพลังบ่มเพาะของชายคนนั้นห่างไกลจากนางย่างสิ้นเชิง เขาผู้นั้นจะไม่มีทางได้รับความเคารพ รักหรือกระทั่งเกรงกลัวจากพวกนางอย่างสิ้นเชิง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เฉินซีก็ยิ่งตกอยู่ในอันตรายอย่างไม่ต้องสงสัย
และสิ่งที่หลิงไป๋เป็นห่วงมากที่สุดคือเฉินซีไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด กล่าวอีกนัยหนึ่งถ้าตนไม่อยู่ตรงนี้เห็นทีนางสองคนนี้ต้องลงมือสังหารเฉินซีทันที
เหมือนเชือดไก่สักตัวเท่านั้น
“น่าแปลก ข้าไม่คิดมาก่อนว่าวันหนึ่งจะต้องมามีชายคนเดียวกันกับแม่นางชิง” ทันใดนั้นเสียงฟ่านอวิ๋นหลานหัวเราะขึ้นมา หางเสียงฟังแล้วไม่สามารถจะแยกแยะได้ว่านางต้องการเยาะเย้ยอีกฝ่ายหรือตนเองกันแน่
“ข้าถูกวางยา ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นข้าไม่ม่วันยอมให้มันมาเอาเปรียบข้าได้หรอก” สีหน้าของชิงซิ่วอี้ยังคงเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลงขณะโต้ตอบ “เคราะห์ยังดีที่เขายอมให้ข้ากำจัดความปรารถนาในใจออกไปจนหมด ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ดวงจิตแห่งเต๋าของข้าสงบลงเท่านั้น ทว่ามันได้ล้างสิ่งสกปรกในปราณแท้ออกไปจนหมดสิ้นด้วย ตอนนี้พลังของข้าจะบรรลุขอบเขตจุติเมื่อใดก็ได้ ดังนั้นเจ้าควรล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าข้าเสียโดยเร็วเพราะเจ้าไม่มีทางทำได้สำเร็จอีกต่อไป”
“คิดหรือว่าการบ่มเพาะของเจ้าเท่านั้นที่พัฒนาขึ้น” ฟ่านอวิ๋นหลานถามเสียงเยาะหยัน “ข้าไม่สู้กับเจ้าตอนนี้อยู่แล้ว นอกเสียจากพวกเราทำให้ชายคนนี้รู้สึกตัวขึ้นมาเสียก่อน”
“แน่นอน ข้าก็คิดหมือนกัน” ชิงซิ่วอี้พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถึงอย่างไรวันนี้ข้าต้องฆ่าเขาให้ตาย เพื่อล้างความสกปรกและความอับอายของข้า”
“ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงของข้ามีหวังป่นปี้แน่ พวกเรามาตกลงกันดีไหม เรามาร่วมมือกำจัดเขาเสียจากนั้นก็มาสาบานด้วยเต๋าแห่งสวรรค์ว่าพวกเราจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้ ว่าไง” ฟ่านอวิ๋นหลานพึมพำเสียงเบาราวกระซิบ
อีกฝ่ายนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนที่จะพยักหน้าตกลง
เมื่อได้ยินดังนั้นหลิงไป๋ใจหายวูบพลันเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินซี ป่านนี้เจ้าทั้งคู่คงต้องทุกข์ทรมานจากผลข้างเคียงของปราณผันแปรและอาจตายเพราะกลิ่นแห่งความมึนเมาจากสวรรค์ไปนานแล้วมิใช่หรือ เวลานี้พวกเจ้ากลับมองความหวังดีเป็นประสงค์ร้ายไปได้ มันจะไม่มากเกินไปงั้นหรือ”
กลิ่นแห่งความมึนเมาจากสวรรค์ งั้นหรือ
ทันใดนั้นทั้งชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นหลานต่างมองหน้ากันด้วยความตกใจเมื่อได้ฟังสิ่งที่ได้รับการบอกกล่าวจากนั้นทั้งสองจึงเริ่มตระหนักรู้ได้ทันที แสดงว่าพวกนางจดจำเหตุที่เกี่ยวข้องกับกลิ่นแห่งความมึนเมาจากสวรรค์ได้แล้ว
แต่ก็ไม่มีใครยอมปล่อยเฉินซีไปเพราะคำพูดเพียงเท่านี้ ด้วยเกี่ยวเนื่องกับความบริสุทธิ์ของพวกตนและหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปตนนั้นเองที่ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ดังนั้นจึงยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด ส่วนวิธีที่จะลบล้างต้นเหตุก็คือฆ่าปิดปากคนที่รู้เห็นทั้งหมด!
ฟิ้ววว!
พลันชิงซิ่วอี้ลงมือจู่โจมทันที นางสะบัดมือข้างขวาที่นวลเนียนราวเนื้อหยกออกไปรวดเร็วปานสายฟ้า จากนั้นก็จับตัวหลิงไป๋ซึ่งมีความสูงเพียง 3 ชุ่นไว้ในมือจนแน่น โดยไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามโต้ตอบได้ทัน
ทว่าเป็นเรื่องปกติเดิมทีความแข็งแกร่งของชิงซิ่วอี้ก็เหนือกว่าหลิงไป๋อยู่แล้ว ยิ่งภายหลังจากการร่วมกันฝึกบ่มเพาะพลัง ตอนนี้พลังของนางได้ก้าวหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนางจู่โจมตีกะทันหันเช่นนี้จึงทำให้จับหลิงไป๋ได้อย่างง่ายดายแทบไม่ต้องใช้ความพยายามเลยด้วยซ้ำ
“เจ้านี่มันน่าอัศจรรย์นัก ทั้งความเฉลียวฉลาดเหมือนกับมนุษย์ทั่วไปแต่กลับมีสมบัติวิเศษทางกายา ถ้ายังไม่อยากตายก็จงว่านอนสอนง่าย ไม่อย่างนั้นแค่ข้าออกแรงอีกนิดนางตายแน่” ชิงซิ่วอี้เค้นเสียงพูดโดยตั้งใจที่จะขู่เข็ญอย่างมาปกปิด
“ฆ่ามัน!” เมื่อเห็นชิงซิ่วอี้ขู่นางโดยจับหลิงไป๋ไว้ ฟ่านอวิ๋นหลานส่งเสียงตวาดอย่างดุดัน อีกทั้งยังแสดงความขุ่นเคืองด้วยการเงื้อมมือฟาดลงไปที่เฉินซีซึ่งนั่งอยู่บนพื้น พร้อมกันนั้นปราณแท้ควบแน่นและเปลวเพลิงปีศาจปรากฏวาบบนฝ่ามือ เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้นางออกพลังอย่างเต็มที่
ชิงซิ่วอี้บิดมุมปากยกยิ้มพลันสะบัดมือออกไปเช่นกัน ยามนี้ฝ่ามือของนางตบไปที่ศีรษะของชายหนุ่มอีกด้านหนึ่ง
ทั้งสองพยายามตั้งใจที่จะฆ่า ขณะนี้พวกนางเปิดฉากจู่โจมพร้อมกันและดูเหมือนว่าหนนี้ไม่ว่าจะอย่างไร เฉินซีก็ไม่สามารถหลีกหนีชะตากรรมในครั้งนี้ได้อีกต่อไป
ความตายเฉียดเข้าใกล้เฉินซีเต็มที!
หลิงไป๋แทบนัยน์ตาเหลือกถลน ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาเริ่มบิดเบี้ยวเหยเก แต่ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดจากการควบคุมของชิงซิ่วอี้ได้ พลันส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราด ลูกนัยน์ตากลายเป็นสีแดงฉาน
และแล้วเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น