บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 242 พันธมิตรเพื่อยึดสมบัติ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 242 พันธมิตรเพื่อยึดสมบัติ

บทที่ 242 พันธมิตรเพื่อยึดสมบัติ

สมบัติล้ำค่าที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ถูกซุกซ่อนอยู่ภายในแท่นบวงสรวงที่สูงถึงร้อยยี่สิบจั้ง แต่ในขณะนี้ กลับไม่มีผู้ใดกล้ารุกไปข้างหน้า เนื่องจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหนีนั้นน่าสะพรึงเกินไป ความแข็งแกร่งอันยิ่งใหญ่และดุร้ายของมันเทียบเท่าได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพี ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าคิดล้อเล่นกับชีวิตของตนเองอย่างโง่เขลา

แต่ถ้าจะให้พวกเขาทิ้งโชคโอกาสนี้โดยไม่ทำสิ่งใด พวกเขาก็คงรู้สึกไม่เต็มใจเช่นกัน ชั่วขณะหนึ่งทุกคนจึงเริ่มปรึกษาหารือกันว่าจะจัดการกับซวนหนีอย่างไรดี

“เหตุใดพวกเราไม่ทำให้เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้สับสนด้วยการปิดล้อมเสียเลยเล่า? และหลังจากนั้นเราค่อยช่วงชิงสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นด้วยความสามารถของตัวเองเสียเลย ทุกท่านคิดว่าอย่างไร?” อันเชี่ยนอวี้แห่งนิกายกระบี่สะบั้นนภากล่าวออกมาด้วยเสียงที่ชัดเจน และเสียงของเขาก็กระจายไปทั่ว

ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรู้สึกสั่นไหวอย่างมากเมื่อได้ยินประโยคของเขา การรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันย่อมเป็นประโยชน์ต่อทุกคน แต่ถ้าหากแตกแยกกันกลางคันมันจะส่งผลร้ายอย่างยิ่งยวด ซึ่งทุกคนล้วนเข้าใจหลักการนี้ หากพวกเขาสามารถรวมพลังกันรับมือกับซวนหนีตนนี้ได้ โอกาสที่จะยึดสมบัติล้ำค่าได้สำเร็จนั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

“องค์ชายหวงฝู่ คนผู้นี้ดูเหมือนจะดึงดูดความสนใจทั้งหมดไปจากเจ้าแล้ว?” หลิวเฟิ่งฉือชำเลืองมองไปยังอันเชี่ยนอวี้ และหัวเราะออกมาเบา ๆ ขณะที่เขาส่งเสียงผ่านกระแสปราณไปหาหวงฝู่ฉงหมิง

“ฮึ่ม! ปล่อยให้เขาได้เฉิดฉายไปเถอะ เราแค่ต้องจับตาดูเจ้าเด็กบัดซบคนนี้ สมบัติอมตะทั้งสามชิ้นที่อยู่ในความครอบครองของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าสมบัติล้ำค่าชิ้นนั้นอย่างแน่นอน” หวงฝู่ฉงหมิงหัวเราะอย่างเย็นชา

หลิวเฟิ่งฉือพยักหน้าเห็นด้วยและไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก

“ศิษย์พี่อันกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เรามีเวลาในการชิงสมบัติล้ำค่านั้นเพียงหนึ่งเค่อ และหลังจากเวลาผ่านไปแล้วที่แห่งนี้จะหายไปตลอดกาล ซึ่งจะหมายความว่าพวกเราทุกคนจะพลาดโชคโอกาสไปอย่างไม่อาจกลับตัว ดังนั้นเหตุใดเราจึงไม่รวมกำลังกันเพื่อสังหารศัตรูเสียล่ะ? นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเท่าที่จะมีในตอนนี้แล้ว” หวังเต้าซวี่แห่งนิกายแสงจรัสกล่าวสนับสนุน

“นี่…” เมื่อทุกคนเห็นว่าแม้แต่หวังเต้าซวี่ก็ก้าวออกมาพูดสนับสนุน ความลังเลใจในแววตาของทุกคนก็ค่อย ๆ ลดลง และบางคนถึงกับแสดงความกระตือรือร้นออกมา

“ข้าก็เห็นด้วยกับวิธีนี้เหมือนกัน” เจิ้นหลิวชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าว

“ข้าถูเฟิงก็เห็นด้วยเช่นกัน ข้าเคยกล่าวไว้เมื่อนานมาแล้วว่าชีวิตและความตายล้วนผูกพันกันด้วยโชคชะตา และโชคลาภมักมาจากความอันตราย หากเราไม่เสี่ยงดูสักตั้ง แล้วเราจะได้สมบัติอันล้ำค่ามาได้อย่างไร?”

“ใช่แล้ว ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน หากเรากลับไปมือเปล่ามันก็ดูเหมือนเราไร้ประโยชน์กันเกินไป!”

“เอาล่ะ มาทำตามสิ่งที่สหายเต๋าอันกล่าวกันเถอะ!”

“บัดซบ! ข้าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว!”

เมื่อพวกเขาเห็นเจิ้นหลิวชิงตกลงที่จะเข้าร่วมมือสังหารซวนหนี ผู้คนที่เหลือก็ไม่อาจนั่งนิ่งได้อีกต่อไป และพวกเขาก็กล่าวเยินยอก่อนที่จะเข้าร่วมกลุ่มของอันเชี่ยนอวี้

ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ทั้งหมดนอกเหนือจากกลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิงและเฉินซี ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ต่างถูกรวบรวมโดยอันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่ และเจิ้นหลิวชิง เพื่อสร้างกลุ่มใหม่ที่มีผู้แข็งแกร่งนับร้อยคนซึ่งเป็นที่น่าจับตามอง

แม้แต่เยว่ฉีที่ถูกมองว่าเป็นม้ามืดก็เข้าร่วมกลุ่มเช่นกัน

อันเชี่ยนอวี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงพอใจอยู่ในใจ เขากล่าวแค่ไม่กี่คำแต่ผลลัพธ์กลับเกินคาด แต่เขายังคงสงวนท่าทีเอาไว้ ทว่าต่อมาสายตาของเขาก็จ้องไปยังกลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิงและกล่าวคำด้วยเสียงทุ้มต่ำ “องค์ชายหวงฝู่ ทุกคนต่างก็เห็นด้วยแล้ว ท่านคิดว่าอย่างไรหรือ?”

เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้และโดยเฉพาะเมื่ออันเชี่ยนอวี้กลายเป็นผู้นำของทุกคน ไม่ว่าหวงฝู่ฉงหมิงจะสงบนิ่งเพียงใด ใบหน้าของเขาก็หมองคล้ำลงอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะสมบัติที่อยู่ในความครอบครองของเฉินซี ผู้นำในตอนนี้ควรจะเป็นเขาหวงฝู่ฉงหมิง คนเช่นอันเชี่ยนอวี้จะมีโอกาสสั่งเขาได้อย่างไร?

“ข้า…” หวงฝู่ฉงหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก

ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้กล่าวปฏิเสธ อันเชี่ยนอวี้ก็หัวเราะเสียงดัง ขณะที่เขากล่าวกับคนที่อยู่ข้างหลังเขา “ทุกคนคิดว่าองค์ชายหวงฝู่ควรเข้าร่วมกับเราหรือไม่?”

เห็นได้ชัดว่าอันเชี่ยนอวี้ต้องการใช้ความตั้งใจของทุกคนเพื่อบังคับให้หวงฝู่ฉงหมิงเข้าร่วมกลุ่มของเขา ซึ่งนี่ก็คือการแสวงประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่าประชามติ

“แน่นอน! องค์ชายหวงฝู่โปรดเข้าร่วมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

“ด้วยการมีพวกท่านมาเข้าร่วม โอกาสที่พวกเราทุกคนจะสามารถครอบครองสมบัติล้ำค่าได้ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ดังนั้นเหตุใดถึงไม่เข้าร่วมล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”

“เข้าร่วมเถิดพ่ะย่ะค่ะ พวกเราทุกคนต่างก็คาดหวังในความเลิศล้ำขององค์ชายและคนของท่านเป็นอย่างมากนะพ่ะย่ะค่ะ”

ทุกคนไม่ได้รู้สึกว่าตนเองถูกอันเชี่ยนอวี้หลอกใช้เลยแม้แต่น้อย ขณะที่พวกเขากำลังกล่าวพร้อมกันเพื่อเชื้อเชิญหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ด้วยความกระตือรือร้นอย่างสุดขีด ซึ่งอันที่จริงคนเหล่านี้ก็ไม่ได้โง่และต่างก็รู้ดีว่าหากหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ที่เหลือเข้าร่วมกลุ่ม โอกาสในการครอบครองสมบัติก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยไม่ต้องสงสัย สำหรับผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้นำนั้น มันก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีพันธะทางสายเลือดต่อกันหรือไม่ได้สาบานตนกันเป็นพี่น้อง ดังนั้น จะมีผู้ใดต้องสนใจต่อเรื่องว่าใครเป็นผู้นำหรือใครเป็นผู้ตาม?

ภายนอกหวงฝู่ฉงหมิงขมวดคิ้วราวกับกำลังครุ่นคิดอยู่ แต่ภายในเขากลับอัดแน่นไปด้วยโทสะและไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการฉีกไอ้สารเลวอันเชี่ยนอวี้เป็นชิ้น ๆ ‘ต้องการให้ข้าเข้าร่วมกลุ่มของอันเชี่ยนอวี้ หรือ? ฝันไปเถอะ! ถ้าข้าทำเช่นนั้นจริง ๆ มันจะไม่เป็นการพิสูจน์ทางอ้อมว่าข้าหวงฝู่ฉงหมิงไร้น้ำยายิ่งกว่าไอ้สารเลวนี่หรอกหรือ?’

เฉินซีแสยะยิ้มเมื่อเขาเห็นฉากนี้ เพราะเขารู้ดีว่าโอกาสได้มาถึงแล้ว

“ข้าเห็นด้วยกับทุกคนที่จะรวมพลังกันเพื่อสังหารสัตว์ร้ายตัวนั้น แต่ข้าสงสัยว่าสหายเต๋าอันเต็มใจที่จะยอมรับข้าหรือไม่?” เฉินซีกล่าวออกมาทันที

อันเชี่ยนอวี้ตกตะลึง จากนั้นเขาก็เผยรอยยิ้ม “ข้ายินดีต้อนรับเจ้าอย่างแน่นอน พรสวรรค์ในการเข้าใจเต๋าของสหายเต๋าเฉินนั้นไม่มีใครเทียบได้ แม้ว่าฐานการบ่มเพาะของเจ้าจะอยู่ที่ขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น แต่ความแข็งแกร่งของเจ้านั้นกลับไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ข้าจะมีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธผู้มีฝีมือเช่นเจ้ากันล่ะ?”

เขาสังเกตเห็นความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดระหว่างหวงฝู่ฉงหมิงกับเฉินซีมาตั้งนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้สึกได้ราง ๆ ว่า หวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ดูเหมือนจะต้องการสิ่งของบางอย่างที่อยู่ในความครอบครองของเฉินซี ซึ่งตัวเขาก็อยากรู้เช่นกัน

‘สิ่งใดที่ทำให้หวงฝู่ฉงหมิงเพิกเฉยต่อสมบัติล้ำค่าที่ไม่มีใครเทียบได้ และต้องการที่จะจับตาดูเฉินซีอย่างใกล้ชิดกันนะ?’

อันที่จริง ถ้าเขามีโอกาสได้รับส่วนแบ่งสมบัติบางส่วนที่อยู่ในความครอบครองของเฉินซี เขาจะไม่รังเกียจที่จะทำเช่นนี้ ดังนั้นการดึงเฉินซีเข้าร่วมกลุ่มของเขาจึงเป็นไปตามที่เขาต้องการ

เฉินซียิ้มออกไปด้วยความยินดี เนื่องจากเขารับรู้ได้ว่า ทัศนคติของอันเชี่ยนอวี้ที่มีต่อเขานั้นค่อนข้างผิดปกติเล็กน้อย แต่ตราบใดที่เขาสามารถกำจัดหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ได้ชั่วคราว เขาก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใด

ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่เขาทำให้ตัวเองกลมกลืนไปกับฝูงชนได้ นั่นก็หมายถึงเขาสามารถแทรกแซงได้มากขึ้น มันเป็นประโยชน์สำหรับเขาในการหลีกเลี่ยงปัญหาบางอย่างที่น่ารำคาญ และยังเพิ่มโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายเพื่อชิงสมบัติสำหรับเขาอีกด้วย

เมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ในกลุ่มของเขาต่างก็เริ่มมืดหม่น พวกเขาไม่สามารถปิดล้อมเฉินซีได้อีกต่อไป และทำได้แต่เฝ้าดูอย่างเย็นชาขณะที่เฉินซีเดินเข้าไปในฝูงชน

“ตกลง! เราจะเข้าร่วมเช่นกัน เนื่องจากพวกเราทุกคนเป็นผู้บ่มเพาะของราชวงศ์ซ่ง ดังนั้นเราจึงควรดูแลกันและกัน และผ่านความยากลำบากไปด้วยกัน” สีหน้าของหวงฝู่ฉงหมิงกลับมาจริงจังโดยไม่คาดคิด และเขาก็ตกลงที่จะเข้าร่วมกลุ่มของอันเชี่ยนอวี้

“นี่เป็นสิ่งที่ดีมาก การมีสหายเต๋ามาเข้าร่วมนั่นก็หมายความว่าพวกเราทุกคนไม่ต่างจากราชสีห์ติดปีก เราไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถยึดสมบัติได้อีกต่อไปแล้ว” อันเชี่ยนอวี้ฉีกยิ้มกว้างแทบจะถึงใบหู เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากเขาสามารถทำตัวเหนือกว่าหวงฝู่ฉงหมิงได้ในที่สุด

แต่เฉินซีรู้สึกพิกลเมื่อเห็นฉากนี้ ‘เหตุใดอันเชี่ยนอวี้จึงยั่วยุหวงฝู่ฉงหมิงในเวลาเช่นนี้? หรือว่าเขาไม่ได้เกรงกลัวการแก้แค้นของหวงฝู่ฉงหมิงกับพรรคพวกเลย?’

“เป็นข้าเองที่ขอให้เขาทำสิ่งนี้…” ในขณะเดียวกัน น้ำเสียงอันไพเราะเสมือนเสียงนกขมิ้นในหุบเขาอันเงียบสงบแว่วเข้ามาในหูของเฉินซี และเมื่อเฉินซีเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็พบว่าเจิ้นหลิวชิงผู้เป็นศิษย์หญิงของหอวารีหมอก จู่ ๆ ก็เข้ามาประชิดข้างกายเขา

“เพราะเหตุใดหรือ?” เฉินซีขมวดคิ้วพร้อมกับถามออกไป และเขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็วอยู่ภายในใจ ‘หรือว่าสตรีนางนี้ก็อยากได้สมบัติที่ข้าครอบครองอยู่เช่นเดียวกับหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ?’

“ข้าแค่สงสัยและอยากรู้จริง ๆ ว่าคนที่มีความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งเหนือกว่าข้าเป็นคนประเภทใดกัน” ดวงตาที่ใสกระจ่างและลึกล้ำของเจิ้นหลิวชิง ทำให้เขาไม่สามารถเดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ จากนั้นนางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด กลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิงดูเหมือนจะสูญเสียครั้งใหญ่ด้วยน้ำมือของเจ้า ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้ข้าอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นว่า ระดับการบ่มเพาะของเจ้าอยู่ที่ขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น แต่เหตุใดเจ้าถึงอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ ทั้งที่อยู่ภายใต้สายตาของหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ตลอด”

เฉินซีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวว่า “ข้าไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้”

เจิ้นหลิวชิงยิ้มบาง ๆ ยามใบหน้าที่งดงามของนางเสมือนดอกบัวตูมที่บานหลังฝนตก ซึ่งเผยให้เห็นถึงความรู้สึกผ่อนคลายที่ไม่อาจต้านทานได้ “ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องตอบเช่นนี้ แต่ตราบใดที่เจ้ารอดตัวไปได้ในครั้งนี้ ข้ายังมีโอกาสอีกมากมายที่จะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเจ้า”

เฉินซีลอบถอนหายใจและไม่กล่าวอะไรอีก จากการเผชิญหน้าในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ เขารู้สึกได้อย่างคลุมเครือว่า ความยากในการจัดการกับสตรีนางนี้น่าจะอยู่ในระดับเดียวกับชิงซิ่วอี้ ถ้านางค้นพบความลับบางอย่างที่เขาครอบครองอยู่ ปัญหาคงจะตามมาอย่างแน่นอน

“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนตกลงที่จะจัดการศัตรูด้วยกันแล้ว เรามาลงมือกันเลยเถอะ เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว!” อันเชี่ยนอวี้ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด

ทุกคนต่างขานรับเห็นด้วยอย่างเสียงดัง

ทันใดนั้น ทุกคนก็ชักศัสตราวิเศษออกมาก่อนจะทะยานผ่านอากาศราวกับเป็นเส้นแสงหลากสีสันที่ปกคลุมพื้นที่ในระยะร้อยยี่สิบจั้ง ในขณะที่พวกเขาพุ่งไปยังแท่นบวงสรวงที่ได้รับการปกป้องกันโดยซวนหนี

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ลำแสงพุ่งผ่านท้องฟ้าจนแยกอากาศออกจากกัน ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรุ่นเยาว์นับร้อยคนนี้ ล้วนมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา อีกทั้งศัสตราวิเศษของพวกเขาก็อยู่ในระดับปฐพีหรือสูงยิ่งกว่านั้น เมื่อพวกเขาใช้ออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน แรงกดดันก็ทรงพลังมหาศาลเสียจนทำให้เฉินซีรู้สึกตกตะลึงอย่างมากเช่นกัน

“โฮก! โฮก! โฮก!”

ร่างกายที่เปรียบได้กับภูเขาของซวนหนีถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทอง มันโกรธจัดยามมองไปยังผู้บ่มเพาะที่ดูเหมือนแมลงวัน แต่กลับกล้าบินเข้าหามัน จากนั้นมันจึงคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงที่ดังกึกก้องเสมือนกับฟ้าร้องระเบิดออกมา กลิ่นอายดุร้ายที่น่าสะพรึงกลัวของมันระเบิดออกไปโดยรอบ ทำให้สวรรค์และโลกมืดสลัวลงในทันที

“ทุกคนจงแยกย้ายกันไปคนละทาง เราแต่ละคนจะพึ่งพาความสามารถของตัวเองในการยึดสมบัติ!” เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากซวนหนีอีกราวร้อยยี่สิบจั้ง อันเชี่ยนอวี้ก็ตะโกนออกมาดังลั่น

ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้มากเท่าไร พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายดุร้ายและน่ากลัวที่เปล่งออกมาจากซวนหนี แต่ด้วยความละโมบที่มากล้น พวกเขาจึงต่างพุ่งเข้าไปจากทุกทิศทุกทางและวนเป็นวงกลมสลับกัน เพื่อพยายามขัดขวางจังหวะการโจมตีของซวนหนี ก่อนจะพยายามหาโอกาสคว้าสมบัติล้ำค่าบนแท่นบวงสรวง

แต่ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม พวกเขาจะไม่เผชิญหน้ากับซวนหนีโดยตรงอย่างแน่นอน พวกเขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงมันอย่างเต็มที่ ส่วนใครจะตกเป็นเป้าโจมตีของพวกซวนหนีนั้น ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาต้องสนใจ และพวกเขาต่างก็สมน้ำหน้าคนที่โชคร้ายผู้นั้น

อันที่จริง สาเหตุที่ทุกคนต่างเร่งรีบสร้างพันธมิตรก็เพื่อช่วงเวลานี้ เพื่อให้สวรรค์เลือกผู้เคราะห์ร้ายที่จะดึงดูดการโจมตีของซวนหนี เพื่อถ่วงเวลาให้คนอื่นเข้าไปยึดสมบัติล้ำค่า

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

กลุ่มผู้บ่มเพาะที่แต่เดิมรวมตัวกันอยู่ได้แยกย้ายกันอย่างกะทันหัน ราวกับเส้นแสงหลากสีที่พุ่งออกไปทุกทิศทุกทาง พวกเขาต่างก็ต้องการเลี่ยงผ่านร่างของซวนหนีที่มีขนาดมหึมาเท่าภูเขา และอ้อมไปยังแท่นบวงสรวงที่อยู่ด้านหลัง

“โฮก!” ทันทีที่อันเชี่ยนอวี้ตะโกนออกไป สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหนีก็คำรามเช่นกัน ดวงตาที่เหมือนพระจันทร์สีเลือดของมันทอประกายเยียบเย็นซึ่งแฝงเจตนาฆ่าเอาไว้ ลำแสงสีทองที่ปกคลุมทั่วร่างของมันก็พวยพุ่งอย่างรุนแรง พร้อมกับสายฟ้าฟาดลงมาราวกับวันสิ้นโลก และมันก็ยกขาที่ยาวกว่าสิบหกจั้งของมันและหนาเหมือนเสาหินขนาดใหญ่ ฟาดเข้าใส่กลุ่มผู้บ่มเพาะอย่างรุนแรง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท