บทที่ 247 เขากลับมาแล้ว
บทที่ 247 เขากลับมาแล้ว
สถานที่แห่งนี้คือเขตสามัญชนของเมืองหมอกสน
ครั้งหนึ่งเคยมีบ้านเก่าแก่และทรุดโทรมจนแทบพังทลายตั้งอยู่ที่นี่ และมันเป็นที่ที่เฉินซี ท่านปู่ของเขาและน้องชายอาศัยอยู่มานานนับสิบปี แต่ตอนนี้บ้านหลังนั้นได้หายไปแล้วและมันถูกแทนที่ด้วยจวนหลังโตที่มีพื้นที่กว้างขวาง ซึ่งถูกปูด้วยอิฐหินปูนและกระเบื้องสีดำ ทำให้มันดูหรูหราอลังการ
ทว่า เมื่อเฉินซีเห็นอักขระปิดทองสองคำบนแผ่นป้าย เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งปี แต่เขากลับรู้สึกราวกับกาลเวลาได้ผ่านไปนานแสนนาน
‘จวนแห่งนี้จะเป็นที่ที่ตระกูลเฉินของข้าผงาดขึ้นอีกครั้งหรือ?’ เฉินซีกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว และความรู้สึกในใจของเขาก็แน่วแน่มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เขาจะปกป้องตระกูลเฉินด้วยทุกวิถีทางเพื่อให้มันได้เจริญรุ่งเรืองและผงาดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง!
ที่บริเวณทางเข้าสีแดงฉานของจวนหลังนี้ มีข้ารับใช้สองคนในชุดสีฟ้ายืนหลังตรงขนาบอยู่ทั้งสองข้าง พวกเขาดูอ่อนเยาว์และสุภาพ แต่การแสดงออกของพวกเขาก็ไม่ได้ถ่อมตัวหรือหยิ่งยโส เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีร่อนลงมาจากท้องฟ้าอย่างกะทันหัน และก้าวเดินช้า ๆ ไปยืนอยู่ที่ด้านหน้าทางเข้า พวกเขาก็แสดงท่าทางปกป้องด้วยสีหน้าที่อ่อนแรงเป็นอย่างยิ่ง แต่มันก็ฉายแววที่เฉียบคมและน่าเกรงขาม ดวงตาของพวกเขาหรี่ลง แต่ก็ไม่ได้เผยให้เห็นถึงความผิดปกติใด ๆ
“มีอะ… อา!” เมื่อข้ารับใช้ในชุดสีฟ้าคนหนึ่งเห็นรูปลักษณ์ของเฉินซีอย่างชัดเจน รูม่านตาของเขาก็ขยายออกทันที และร้องออกมาด้วยความตกใจ “ท่าน… ท่าน… ท่านคือผู้อาวุโสเฉินซีใช่หรือไม่”
เฉินซีตกตะลึง เมื่อเขาตั้งใจมองอย่างถี่ถ้วน เขาก็จดจำได้ว่า ข้ารับใช้ที่สวมชุดสีฟ้าคนนี้แท้จริงแล้วคือเซียวเหน่า และทันใดนั้น ความรู้สึกที่ซับซ้อนและยากจะอธิบายก็เกิดขึ้นภายในใจของเขาอย่างช่วยไม่ได้
เซียวเหน่าเป็นพนักงานในร้านค้าของตระกูลจาง เมื่อครั้งที่เฉินซียุ่งอยู่กับการสร้างแผ่นยันต์อักขระทุกวันในเมืองหมอกสน คนผู้นี้ก็ได้รับคัดเลือกให้ทำงานในร้านโดยจางต้าหยง เนื่องจากเขามีความคิดที่ฉลาดหลักแหลม เขาจึงได้รับการชมเชยจากจางต้าหยงเป็นอย่างมาก และเฉินซีมักไปที่ร้านค้าของตระกูลจางอยู่บ่อย ๆ ดังนั้นเขาจึงจำเซียวเหน่าได้
แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีมีความรู้สึกที่ซับซ้อนในใจก็คือ ร้านค้าของตระกูลจางได้ถูกตระกูลหลี่ทำลายลงไปแล้ว และชะตากรรมของจางต้าหยงผู้คอยดูแลเขามานานนับหลายปีก็ไม่อาจทราบได้ แต่เมื่อเขาพบว่าเซียวเหน่าได้กลายเป็นข้ารับใช้ของจวนตระกูลเฉินจริง ๆ แล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกซับซ้อนที่เกิดขึ้นอยู่ในหัวใจของเขา และมันเต็มไปด้วยความเสียใจอย่างมาก
“เซียวเหน่า ข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการตอนนี้ ไว้วันหลังข้าจะแวะมาคุยกับเจ้า แต่ตอนนี้ช่วยไปแจ้งน้องชายของข้าให้มาพบเป็นการด่วน” เฉินซีตกอยู่ในห้วงอารมณ์อาวรณ์อยู่เพียงครู่เดียวก่อนจะยับยั้งจิตใจของเขาและสั่งออกไปในทันที
ทันทีที่เขากล่าวจบ เขาก็เริ่มประเมินโครงสร้างและแผนผังของจวนอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาแม้แต่น้อย
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันเป็นความจริงที่ตอนนี้เขาพยายามจะทิ้งห่างพวกหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ไว้ข้างหลังอย่างเต็มที่ และเขามีเวลาพักหายใจเพียงหนึ่งชั่วยามครึ่งเท่านั้น
ภายในหนึ่งชั่วยามครึ่งนี้ เขาต้องกระทำทุกสิ่งตามความคิดที่เขาคำนวณไว้แล้ว สร้างม่านพลังคุ้มกันที่สามารถต้านทานพวกหวงฝู่ฉงหมิง เพื่อใช้สิ่งนี้ปกป้องเฉินฮ่าวและจวนตระกูลเฉินที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่
ดังนั้นทุกลมหายใจจึงมีค่าสำหรับเขา เสมือนกับว่าเขากำลังแข่งกับยมทูตอยู่ และไม่อาจปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เป็นอันขาด
“ตกลง!” เซียวเหน่าเข้าใจความร้ายแรงของสิ่งที่เกิดขึ้นจากการแสดงออกของเฉินซี เขาจึงไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย ก่อนจะทะยานเข้าไปในจวนเพื่อแจ้งให้เฉินฮ่าวทราบ
มีเพียงข้ารับใช้ที่สวมชุดสีฟ้าอีกคนเท่านั้นที่ยังคงรั้งอยู่ เขายืนอยู่หน้าทางเข้าสีแดงฉานขณะจ้องมองไปยังร่างสูงโปร่งที่กำลังสำรวจแผนผังของจวนอย่างว่างเปล่า และความตกใจอย่างไร้ขอบเขตก็พรั่งพรูออกมาจากหัวใจของเขา
‘นี่คือตัวซวยที่ทุกคนต่างก็เยาะเย้ยเมื่อหลายปีก่อนจริง ๆ หรือ?’
เขามีนามว่าตงเจิ้ง และเขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้ารับใช้ของตระกูลเฉินเหมือนกับเซียวเหน่า เขาเกิดและเติบโตในเมืองหมอกสน ดังนั้นเขาจึงรู้ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเฉินซีราวกับเป็นหลังมือของตนเอง และเสียงนั้นดังก้องอยู่ในหูของเขาราวกับเสียงฟ้าร้อง
ทว่าตอนนี้ตัวเขาไม่กล้าเรียกเฉินซีว่าตัวซวยอีกต่อไป และเขาจะไม่มีวันทำมันอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะกล้าสักแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นจะไปนับประสาอะไรกับแค่ตัวเขา เพราะในเมืองหมอกสนนี้ ไม่มีใครกล้าเรียกเฉินซีว่าตัวซวยอีกต่อไป
นั่นก็เพราะผู้บ่มเพาะทั้งหมดภายในเมืองหมอกสนนั้น ต่างก็รู้ว่าเฉินซีไม่ใช่นักสร้างยันต์อักขระฝึกหัดที่ทุกคนจะสามารถข่มเหงและเหยียดหยามได้อีกต่อไป
ไม่เพียงแต่เขาเป็นผู้ชนะที่ได้อันดับสูงสุดในการจัดอันดับมังกรซ่อน แต่ยังเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับผู้อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรที่มีนามว่าเป่ยเหิง แม้แต่ประมุขนิกายกระบี่เมฆาพเนจร อย่างหลิงคงจื่อเองก็ยังต้องกล่าวกับเขาด้วยความเคารพในฐานะบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่!
ในแง่ของสถานะ ตัวตน และการบ่มเพาะ เขาเหนือล้ำกว่าผู้บ่มเพาะในเมืองหมอกสนทั้งหมด ดังนั้นใครจะกล้าปฏิบัติต่อเขาเหมือนเมื่อก่อนอีก?
ไม่ต้องกล่าวถึง ตระกูลหลี่และตระกูลซูที่ทำให้เฉินซีต้องขุ่นเคือง พวกมันก็ยังถูกกำจัดจนหมดสิ้นไปทีละคน ด้วยคำเตือนต่อพวกเขาเหล่านี้ จึงไม่มีใครในเมืองหมอกสนกล้าดูถูกเฉินซีอีกต่อไป
ในทางกลับกัน เมื่อพวกเขาพบว่าเฉินฮ่าวผู้เป็นน้องชายของเฉินซี ได้กลับมาที่เมืองหมอกสน และต้องการสร้างตระกูลเฉินขึ้นมาใหม่ ทั่วทั้งเมืองหมอกสนก็ตกอยู่ในความปั่นป่วน เหล่ากองกำลังต่าง ๆ ไม่เพียงแต่ไม่ขัดขวางเฉินฮ่าวเท่านั้น แต่พวกเขากลับส่งกำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากออกไป เพื่อช่วยสร้างตระกูลเฉินขึ้นมาใหม่ และวัตถุประสงค์ของพวกเขาก็เรียบง่ายมาก เพราะทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเฉินฮ่าว และสร้างความไว้วางใจที่ดีระหว่างพวกเขา หากพวกเขาสามารถเชื่อมความสัมพันธ์กับนิกายกระบี่เมฆาพเนจรในทางอ้อมได้ ก็ไม่มีสิ่งใดจะดีไปกว่านี้แล้ว
เพราะเหตุนี้จวนของตระกูลเฉินซึ่งครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่จึงสามารถสร้างเสร็จภายในระยะเวลาสั้น ๆ และมันก็ถูกสร้างขึ้นอย่างเลิศหรูอลังการ อีกทั้งยังมีการป้องกันที่แข็งแกร่งเสมือนกับเหล็กกล้า
เฉินซีไม่รู้ว่าข้ารับใช้ตัวเล็ก ๆ อย่างตงเจิ้งจะตกอยู่ในความสับสนหลังจากที่เห็นเขา เนื่องจากสมาธิของเขาจดจ่ออยู่ที่จวนทั้งหมด ในขณะที่เขากำลังคำนวณในใจอย่างรวดเร็ว โดยไม่กล้าเสียเวลาแม้แต่น้อย
เพราะเขามีเป้าหมายสุดท้ายเพียงอย่างเดียวคือ การใช้กระบี่ระดับปฐพีขั้นสูงหนึ่งหมื่นเล่มและกระบี่ระดับปฐพีระดับสูงสุดทั้งเก้าเล่ม เพื่อสร้างค่ายกลกระบี่มหาปราณและจัดเรียงพวกมันไว้ในบริเวณโดยรอบของจวนตระกูลเฉินทั้งหมด!
ตราบใดที่การสร้างค่ายกลกระบี่เสร็จสมบูรณ์ แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา ก็จะถูกปราณกระบี่ที่ไม่มีที่สิ้นสุดบดขยี้ให้ตายในทันทีเมื่อเข้าสู่ค่ายกลกระบี่ ดังนั้นจะนับประสาอะไรกับหวงฝู่ฉงหมิง และคนอื่นๆ
แต่การเตรียมการของค่ายกลกระบี่มหาปราณนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากและซับซ้อนถึงขีดสุด
การที่จะปกคลุมจวนตระกูลเฉินอย่างไร้ที่ติภายใต้การปกป้องของค่ายกลกระบี่นั้นง่ายมาก แต่สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการสร้างค่ายกลกระบี่นี้
ค่ายกลกระบี่นี้จะต้องถูกสร้างขึ้นโดยการผสานค่ายกลกระบี่ขนาดเล็กถึงเจ็ดร้อยยี่สิบค่ายกล ค่ายกลกระบี่ระดับกลางอีกสามร้อยหกสิบค่ายกล และค่ายกลขนาดใหญ่อีกหนึ่งร้อยแปดสิบค่ายกล ยิ่งไปกว่านั้น ค่ายกลขนาดเล็ก ค่ายกลขนาดกลาง และค่ายกลขนาดใหญ่เหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นอิสระจากกัน พวกมันเชื่อมต่อกันทีละชั้นและผสานการทำงานจากระยะไกล ซึ่งด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานาเหล่านี้ ทำให้กระบวนการสร้างค่ายกลนั้นยากเย็นแสนเข็ญเหมือนกับการเอาทรายนับพันนับหมื่นเม็ดมาร้อยเข้ากับเส้นผมให้ต่อกันเป็นเกลียว
นับว่าโชคดีที่เฉินซีได้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในแก่นแท้ของค่ายกลระหว่างที่เขาอยู่ในขุมสมบัติเฉียนหยวน ดังนั้นเขาเพียงต้องประเมินสภาพแวดล้อมและเลือกตำแหน่งของรากฐานของค่ายกลก่อนจึงจะสามารถเริ่มสร้างได้
เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ
สายตาที่ครุ่นคิดในดวงตาของเฉินซีได้หายไปในขณะที่เขาหายใจเข้าลึก ๆ ทว่าความอ่อนล้าระหว่างคิ้วของเขากลับไม่อาจปกปิดได้
หลังจากหนีเอาชีวิตรอดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสามวันและร่างกายของเขาก็ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากฤทธิ์ของโอสถเหลวหยกนภา พละกำลังและพลังใจของเขาก็ใกล้จะเหือดแห้งเสมือนตะเกียงน้ำมันที่ไฟใกล้มอด ในตอนนี้ เขาได้ทุ่มเทสรุปตำแหน่งการกระจายของค่ายกลกระบี่อย่างหนัก จึงทำให้ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ สีหน้าของเขาขาวราวกับขี้ผึ้ง และดูซีดเซียวมาก
“ท่านพี่ เกิดเหตุใดขึ้นหรือ? เหตุใดท่านถึงกลายเป็นแบบนี้” เสียงกังวลและสับสนของเฉินฮ่าวดังขึ้นข้างหูของเฉินซี เขาฝืนความเหนื่อยล้าเพื่อเงยหน้าขึ้นมอง และเขาเห็นเฉินฮ่าวและเฟยเหลิ่งชุ่ยยืนอยู่เคียงข้างกัน
หลังจากไม่ได้พบกันเป็นเวลาหนึ่งปี เฉินฮ่าวก็สูงขึ้นมาก เขามีไหล่ที่กว้างและร่างกายที่แข็งแรง ดูองอาจ ไม่ธรรมดา และระหว่างคิ้วของเขาก็ให้ความรู้สึกที่มั่นคง ทุกๆ การเคลื่อนไหวที่เฉินฮ่าวทำนั้นสง่างามและน่าเกรงขามมาก
ที่ด้านข้างของเขา เฟยเหลิ่งชุ่ยผู้เป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเมื่อหลายปีก่อนกลายเป็นคนสงบและโดดเด่น และเมื่อรวมกับรูปลักษณ์ที่สง่างามของนางแล้ว ทั้งสองคนดูเหมือนคู่รักในสวรรค์และเป็นที่เจริญหูเจริญตา
เมื่อทั้งสองกลับมายังเมืองหมอกสนเมื่อหนึ่งปีก่อน พวกเขาได้แต่งงานกัน ตอนนี้ เมื่อทั้งคู่ปรากฏตัวพร้อมกันตรงหน้าเขา เฉินซีก็ไม่แปลกใจเลย และเขารู้สึกผิดอยู่บ้างที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างเฉินฮ่าวในวันแต่งงาน และคงทำให้น้องชายต้องผิดหวัง
แต่ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาเพียงช่วงสั้น ๆ ก่อนที่เขาจะฟื้นคืนสติ และเขารีบกล่าวถึงทุกสิ่งที่เขาพบเจอก่อนจะออกคำสั่งในที่สุด “รวบรวมคนทั้งหมดของตระกูลเฉินไปที่จวนโดยเร็วที่สุด หากไม่มีคำสั่ง จะไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ออกจากจวนแม้แต่ก้าวเดียว ส่วนข้าจะใช้เวลาให้ดีที่สุดและพยายามสร้างค่ายกลใหญ่ให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วยามครึ่ง เมื่อถึงเวลานั้น มันจะทำลายอันตรายทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นไปโดยปริยาย”
สีหน้าเฉินฮ่าวมีความดุร้าย เมื่อเขาได้ยินว่าพี่ชายของเขาถูกไล่ล่ามาถึงที่นี่และเกือบจะไม่สามารถปกป้องชีวิตเอาไว้ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถจินตนาการถึงความโกรธในใจของเขาได้อย่างชัดเจน
แต่เขาก็ตระหนักได้เช่นกันว่าขณะนี้เป็นช่วงเวลาวิกฤต และไม่ว่าเขาจะโกรธเกรี้ยวแค่ไหน มันก็ไม่ได้ช่วยสิ่งใดให้ดีขึ้น ดังนั้นเขาจึงทำตามคำแนะนำของเฉินซีทันทีและรีบไปจัดการทุกอย่าง
ในช่วงปีที่ผ่านมา เฉินฮ่าวได้อาศัยชื่อเสียงของเขาในฐานะศิษย์ชั้นสูงของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และชื่อเสียงอันเลื่องลือของเฉินซี เพื่อคัดเลือกอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มีความซื่อสัตย์หลายคนที่มีภูมิหลังที่ดีเข้าสู่ตระกูลเฉิน เมื่อรวมกับข้ารับใช้และบริวารแล้ว ทั้งตระกูลเฉินก็มีคนมากกว่าพันคนแล้ว ในแง่ของขนาด มันย่อมเป็นหนึ่งในตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหมอกสน และมันก็ไม่ได้ด้อยกว่าตระกูลหลี่ในอดีตเลยแม้แต่น้อย
แต่ในตอนนี้ ตระกูลเฉินขาดแคลนเพียงทรัพยากร เงินทุน และการพัฒนาเท่านั้น มันถูกสร้างขึ้นมาใหม่ได้หนึ่งปีเท่านั้น ทำให้การพัฒนาและสะสมทรัพยากรของตระกูลไม่ง่ายดายอย่างที่คิด
เฉินฮ่าวยุ่งตลอดทั้งวันทั้งคืนกับเรื่องใหญ่และเรื่องเล็กภายในตระกูล จนถึงตอนนี้ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องปรับปรุงและดำเนินการ นี่เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถทำให้เสร็จในระยะเวลาอันสั้นได้
หลังจากเฉินฮ่าวจากไป เฉินซีก็ยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบโอสถเหลวหยกนภาออกอีกครั้งและกัดฟันฝืนกินมันเข้าไป ถ้าเขาไม่มีปราณแท้เพียงพอที่จะสนับสนุนตัวเอง ก็จะไม่มีทางที่จะสร้างค่ายกลขนาดใหญ่เช่น ค่ายกลกระบี่มหาปราณ
ครืนนนนนน!
ฤทธิ์ยาจำนวนมหาศาลที่ร้อนระอุราวกับภูเขาไฟปะทุได้พุ่งเข้าสู่จุดตันเถียนของเขาอีกครั้ง มันถาโถมเข้าสู่จุดตันเถียนและเส้นชีพจรที่ปกคลุมไปด้วยบาดแผลของเขาอย่างรุนแรง
เลือดสีแดงเข้มไหลออกมาจากใบหน้าของเฉินซี ทำให้ใบหน้าของเขาดูดุร้ายและน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง และเขาดูเหมือนวิญญาณร้ายที่คืบคลานออกมาจากทะเลเลือดที่เต็มไปด้วยกองซากศพ
แต่ในตอนนี้ เขาไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจเรื่องนี้อีกต่อไป เขาอาศัยฤทธิ์ยาที่รุนแรงและบ้าคลั่งในร่างกายของเขาเพื่อทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า และด้วยคำสั่งในใจของเขา กระบี่นับพันเล่มก็ปรากฏขึ้นจากอากาศ
ทันใดนั้นกระบี่ก็อยู่ในแนวตั้งและแนวนอนพร้อมกับปลดปล่อยปราณกระบี่ออกมาราวกับกระแสน้ำ ทำให้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยปราณกระบี่ที่เยือกเย็น พวกมันดูเหมือนมังกรสายฟ้าที่มีแรงกระตุ้นอันน่าสยดสยอง ดุร้าย รวดเร็ว และดูเหมือนว่าพวกมันต้องการที่จะทะลวงขึ้นสู่ท้องฟ้า
“กระบี่ทั้งเจ็ดแห่งตะวันออก ชักนำปราณพฤกษามาบรรจบกันที่ตำแหน่ง!” ดวงตาของเฉินซีเหมือนกับสายฟ้าฟาด และเมื่อสะบัดแขนเสื้อของเขา กระบี่เจ็ดเล่มก็เหมือนมังกรดำที่พุ่งกลับไปสู่ก้นทะเลขณะที่พวกมันฉีกท้องฟ้าและหายไปในพริบตา
“กระบี่ทั้งเจ็ดแห่งตะวันตก ชักนำปราณโลหะมาบรรจบกันที่ตำแหน่ง!”
“กระบี่ทั้งเจ็ดแห่งทิศใต้ ชักนำปราณอัคคีมาบรรจบกันที่ตำแหน่ง!”
“กระบี่ทั้งเจ็ดแห่งทิศเหนือ ชักนำปราณวารีมาบรรจบกันที่ตำแหน่ง!”
…
ทั่วท้องฟ้าก้องกังวานด้วยเสียงคำรามของกระบี่ทันที เมื่อปราณกระบี่พุ่งทะยานฉีกอากาศโดยรอบออกจากกันขณะที่พวกมันส่องประกายไปทั่วสารทิศ กระบี่ทั้งหมดส่งเสียงร้องและร่อนลงมาตามเส้นทางที่ถูกกำหนดในบริเวณโดยรอบของจวนตระกูลเฉิน
ในช่วงเวลาหนึ่ง ท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเฉินดูเหมือนจะกลายเป็นทะเลกระบี่ และรัศมีกระบี่อันน่าสยดสยองที่ดุร้ายและแหลมคมก็ปกคลุมไปทั่ว
เมืองหมอกสนมีขนาดไม่ใหญ่ ดังนั้นความผันผวนที่ผิดปกติบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเฉินจึงดึงดูดความสนใจของกองกำลังบางส่วนที่อยู่ใกล้เคียงในทันที
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ในขณะนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในการบ่มเพาะแบบปิดประตู รับรองแขก เยี่ยมสหาย หรือเดินเล่นจับเจ่า พวกเขาทั้งหมดต่างวางสิ่งที่พวกเขาทำและมองไปที่จวนตระกูลเฉิน
“พระเจ้า! กระบี่ระดับปฐพีระดับสูงมากมาย!”
“ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเงาร่างนั้นช่างคุ้นเคยเหลือเกิน? อ้า! ข้าจำได้แล้ว นี่มันเฉินซี!”
“เฉินซี? ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะกลับมาจริง ๆ ว่าแต่เขากำลังทำสิ่งใดอยู่?”
“เขากำลังสร้างค่ายกล! ช่างฟุ่มเฟือยยิ่งนัก! เขาใช้กระบี่ระดับปฐพีระดับสูงจำนวนมากเพื่อสร้างค่ายกล เมื่อค่ายกลนี้ก่อตัวขึ้นสำเร็จ ข้าเกรงว่าจะไม่มีใครหยุดการผงาดของตระกูลเฉินได้!”
ขณะที่พวกเขามองไปที่ร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเฉิน ทุกคนที่อยู่โดยรอบต่างก็ตกตะลึงอยู่ในใจ
หลังจากที่เฉินซีทำลายล้างตระกูลหลี่เมื่อไม่กี่ปีก่อน ก็ไม่มีใครจากเมืองหมอกสนเคยเห็นเฉินซีอีกเลย แต่ชื่อของเฉินซีนั้นกลับเข้าหูพวกเขาอยู่บ่อย ๆ
เฉินซีได้อันดับหนึ่งในการจัดอันดับมังกรซ่อน
เฉินซีกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานของผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายกระบี่พเนจรเมฆา
เฉินซีทำลายตระกูลซู หนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกร
พวกเขาไม่จำเป็นต้องเดินออกจากเมืองหมอกสน แต่ข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับเฉินซีดูเหมือนจะมีปีกงอกออกมาและโบยบินมาถึงเมืองหมอกสนก่อนจะเข้าหูพวกเขาโดยปริยาย
เดิมทีพวกเขาคิดว่าเฉินซีเป็นเหมือนปลาหลีฮื้อที่กระโดดข้ามประตูมังกร และเขาก็ได้กลายร่างเป็นมังกรสำเร็จ ดังนั้นเขาจะไม่กลับมายังเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกลแห่งนี้อีกต่อไป ทว่าพวกเขาจะไปคาดคิดได้อย่างไรว่าพวกตนจะสามารถเห็นเฉินซีได้อีกครั้ง?
เขากลับมาแล้ว ไม่เพียงแต่เขากลับมาเท่านั้น เขายังนำกระบี่ระดับปฐพีระดับสูงมานับไม่ถ้วนพร้อมกับความตั้งใจที่จะสร้างค่ายกลกระบี่ที่ยิ่งใหญ่เพื่อปกป้องตระกูลเฉิน!