บทที่ 251 รวบรวมจากทุกสารทิศ
บทที่ 251 รวบรวมจากทุกสารทิศ
เฉินฮ่าวยังคงนั่งขัดสมาธิโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาอยู่บนพื้นและไม่เคลื่อนไหวมากว่าสามวันแล้ว
ตั้งแต่เฉินซีหมดสติไปจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมาสักครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะใช้โอสถทั้งหมดที่สามารถหาได้ไปแล้ว ทว่าอาการบาดเจ็บบนร่างกายของเฉินซีก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย หากเป็นไปตามที่ภรรยาของเขาเฟยเหลิ่งชุ่ยคาดการณ์ไว้ ภายในสามเดือนหากเฉินซียังคงไม่ตื่นขึ้นมา เฉินซีจะกลายเป็นคนพิการ
ข่าวนี้ทำให้เฉินฮ่าวรู้สึกกังวล เปลวไฟแห่งความโกรธที่อัดแน่นอยู่ในอกของเขามีมากเสียจนแทบทำให้หายใจไม่ออก แม้ว่าเขาจะรู้ว่าศัตรูที่อยู่ด้านนอกค่ายกลได้ล่าถอยไปนานแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดที่จะผละออกไปจากแกนกลางของค่ายกลแต่อย่างใด
เนื่องจากพี่ชายของเขาสั่งให้เขาทำเช่นนี้ ฉะนั้นเขาก็จะดันทุรังปกป้องมันต่อไปจนกว่าพี่ชายของเขาจะตื่นขึ้น เฉินฮ่าวทำได้เพียงอธิษฐานให้พี่ชายของเขาฟื้นตัวให้เร็วขึ้น…
ในขณะที่เฉินซีหมดสติอยู่ สถานการณ์ของโลกด้านนอกก็ปั่นป่วนอย่างรุนแรงราวกับพายุโหมกระหน่ำ
ณ พระราชวังสีนิลที่สูงตระหง่านและงดงามบนถนนของนครหลวงธารสายไหม ที่เบื้องหน้าทางเข้าได้รับการคุ้มกันโดยรูปปั้นมังกรเกล็ดดำสองตัวที่กำลังคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยท่าทางดุร้าย ซึ่งสร้างความรู้สึกหวาดกลัวแก่ผู้คนเบาบาง ทำให้คนที่เดินผ่านไปมาไม่กล้าที่จะมองพระราชวังตรง ๆ
ภายในห้องโถงที่กว้างขวางและงดงามของตำหนักจ้าวปัญญา หวงฝู่ฉงหมิงผู้สวมเสื้อคลุมสีเหลืองสดใสยืนอยู่ทางซ้ายด้วยท่าทีเปี่ยมความเคารพ
“ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มที่มีนามว่าเฉินซี ไม่เพียงแต่จะได้รับสมบัติล้ำค่าส่วนใหญ่ในขุมสมบัติเฉียนหยวนไปเท่านั้น แต่เขายังครอบครองสมบัติอมตะถึงสามชิ้นอีกด้วย” ชายวัยกลางคนผู้มีรูปร่างสูงกำยำนั่งอยู่บนบัลลังก์ซึ่งอยู่ตรงกลาง เขาสวมเสื้อคลุมสีเหลืองลายงูเหลือมเก้าตัว และสวมมงกุฎทองบนศีรษะ เมื่อเขากะพริบตา สายฟ้าสีทองก็แลบแปลบออกมา ทำให้เขาดูน่ากลัวอย่างยิ่ง
“ท่านพ่อ นั่นคือเรื่องจริงทั้งหมด หลิวเฟิ่งฉือจากเกาะฉลามมังกร หม่านหงจากภูเขานภาลัย หลินโม่เซวียนจากนิกายสวรรค์ปฐพี และคนอื่น ๆ สามารถเป็นพยานในสิ่งที่ข้ากล่าวไปทั้งหมดได้พ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่ฉงหมิงหายใจเข้าลึก ๆ ในขณะที่เขาตอบออกมาอย่างเนิบช้า
“ฮึ่ม! มีคนรู้เรื่องนี้เยอะจริง ๆ ดูเหมือนว่าหากข้าคิดจะมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ข้าคงจะมีคู่แข่งอยู่ไม่น้อย” ชายวัยกลางคนผู้มีร่างกำยำคำรามอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เจ้าออกไปได้แล้ว รอจนกว่าข้าจะตัดสินใจหลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเฉินซีผู้นี้แล้ว”
“รับทราบ!” หวงฝู่ฉงหมิงหันหลังกลับและออกจากห้องโถงไป หลังจากที่เขาก้าวออกมาแล้ว เขาก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
ณ ทะเลตะวันออก เกาะฉลามมังกร
ท่ามกลางมหาสมุทรสีฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล มีหมู่เกาะมากมายกระจัดกระจายไปทั่วราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า ฝูงฉลามมังกรยักษ์ที่มีความยาวหลายพันจั้งแหวกว่ายไปรอบ ๆ เกล็ดของพวกมันส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับ บางครั้งพวกมันก็ปล่อยเสียงคำรามดังก้องราวกับกลองศึก ทำให้เกิดคลื่นซัดสาดกระจายพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
บนเกาะแห่งหนึ่ง ในตำหนักสีหยกอันสง่างาม เสียงที่ไม่แยแสต่อสิ่งใดและสง่างามอย่างยิ่งดังขึ้นจากที่นั่งที่อยู่ด้านบนสุด “หากว่าการคาดเดาของข้าถูกต้อง ค่ายกลกระบี่ที่สร้างขึ้นด้วยกระบี่ระดับปฐพีชั้นสูงนับหมื่น กับกระบี่ระดับปฐพีชั้นยอดอีกเก้าเล่มนั้นคงจะเป็นค่ายกลกระบี่มหาปราณเป็นแน่ ค่ายกลนี้คงจะเป็นค่ายกลกระบี่พิทักษ์นิกายตำหนักเต๋านภาจากเมื่อเกือบหมื่นปีก่อน ข้าไม่เคยคิดเลยว่ามันจะตกไปอยู่ในมือเด็กผู้นั้นจริง ๆ ดูเหมือนว่าสมบัติล้ำค่าต่าง ๆ ในขุมสมบัติเฉียนหยวนคงไม่แคล้วถูกเด็กผู้นั้นเอาไปเสียหมด”
คนผู้นี้นั่งตัวตรงอย่างสง่าอยู่บนที่นั่งราวกับมังกรที่ครอบครองที่นั่งของมัน ร่างกายของเขาเปล่งรัศมีอันน่าเกรงขามออกมาดุจมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ ทรงพลัง และทอแสงงดงาม ประกายแสงปกคลุมทั้งตัวของเขาเอาไว้ ทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาได้อย่างชัดเจน
สิ่งนี้ก่อตัวขึ้นจากการไหลเวียนของพลังชีวิตและพลังปราณของเขา มันเป็นกลิ่นอายที่ถูกปล่อยออกมาตามธรรมชาติซึ่งน่ากลัวอย่างยิ่ง มันทำให้เขาดูเหมือนเทพเจ้าที่เกิดมาจากทะเลสีคราม จนผู้คนทำได้เพียงเงยหน้ามองขึ้นไป
ด้านล่างห้องโถงใหญ่ หลิวเฟิ่งฉือคุกเข่าลงบนพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
“สมบัติอมตะสามชิ้น แล้วยังมีสมบัติมากมายจากขุมสมบัติเฉียนหยวน หรือเด็กคนนี้จะเป็นผู้มีวาสนากัน? แต่ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าแย่งอาวุธของลูกศิษย์เกาะฉลามมังกรไป ข้าก็คงจะต้องแวะไปเยือนเสียหน่อย… แต่ก่อนหน้านี้ ควรตรวจสอบตัวตนของเด็กคนนี้ให้ชัดเจนก่อนจะดีกว่า” เสียงที่สง่างามดังขึ้นจากที่นั่งที่อยู่ด้านบนอีกครั้ง จากนั้นแสงสีเขียวหยกพลันสั่นไหว กลิ่นอายชั่วร้ายของเขาทำให้ทั้งห้องโถงสั่นสะท้านราวกับว่ามันกำลังไม่สบายใจ
ณ แดนเถื่อนทางตอนเหนือ ภูเขานภาลัย
นี่คือเทือกเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่บนทะเลหินหนืด บนยอดเขามีตำหนักเรียงตัวกันเป็นทิวแถว ตำหนักที่สูงที่สุดในหมู่พวกนั้นมีสีแดงเข้มราวกับเปลวเพลิงที่ลุกโชน ทำให้มันดูราวกับเป็นที่อยู่อาศัยของพระเจ้า
เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง ระเบิดขึ้นจนทหารยามที่อยู่นอกตำหนักตกใจจนตัวสั่นแทบจะคุกเข่าลงกับพื้น หินหนืดร้อนด้านนอกก็ได้รับแรงกระทบจนเริ่มม้วนตัวและเปลี่ยนเป็นคลื่นขนาดใหญ่
มันเป็นเสียงของชายคนหนึ่งที่ฟังเหมือนเสียงฟ้าร้องดังก้องทั่วสรวงสวรรค์ ซึ่งเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ “ดีมาก หม่านหง เจ้าทำได้ดีมาก ครั้งนี้ข้าจะถือว่าเจ้าทำความสำเร็จยิ่งใหญ่ หากข้าสามารถยึดสมบัติที่อยู่ในความครอบครองของเฉินซีมาได้ เจ้าก็จะได้ส่วนแบ่งด้วย!”
“ขอบคุณท่านประมุขนิกาย!” หม่านหงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ ร่างที่คลุมเครือทว่าสง่างามก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา เปลวเพลิงสีดำล้อมรอบอยู่ทั่วร่างนั้นพร้อมกับกลิ่นอายที่สามารถแผดเผาได้ทุกสิ่ง
แต่เพียงชั่วพริบตา ดวงตาของหม่านหงก็รู้สึกเจ็บปวดและแสบร้อน เขารีบก้มหัวลงและไม่กล้ามองรูปลักษณ์ของประมุขนิกายอีก
ณ ที่ราบตอนกลาง นิกายกระเรียนพิสุทธิ์
นกกระเรียนหลายพันตัวส่งเสียงร้องเซ็งแซ่พลางกระพือปีกเบา ๆ อยู่เหนือท้องฟ้าที่มีเมฆและหมอกขาวอยู่ประปราย ภายในหมอกสีขาวที่ขดตัวและปกคลุมผืนดินคือทิวเขาที่เงียบสงบและงดงาม ภายในเทือกเขานี้มีทัศนียภาพที่สวยงามราวกับภาพวาด มันปกคลุมไปด้วยไผ่ที่พลิ้วไหวตามสายลม สายน้ำไหล น้ำตก และฝูงนกกระเรียนมงกุฎแดง ทำให้มันดูราวกับเป็นแดนสวรรค์บนดิน
ภูเขานี้มีนามว่ากระเรียนพิสุทธิ์ ซึ่งเป็นสวรรค์บนดินที่มีชื่อเสียงในที่ราบตอนกลาง
“ไม่น่าเชื่อว่าเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกลอย่างเมืองหมอกสนจะมีชายหนุ่มที่โชคดีเช่นนี้อยู่ ช่างเหลือเชื่อจริง ๆ” ชายชราในชุดคลุมนักพรตที่เปล่งประกายสีเงินกล่าวขึ้น ผมของเขามีสีขาว ส่วนผิวพรรณก็มีสีแดงฝาดอย่างคนสุขภาพดี
เผยจงและเซวี่ยเฉินยืนคำนับด้วยท่าทางที่สุภาพ และให้ความเคารพอีกฝ่ายอย่างมาก
“หากเป็นตามที่เจ้าทั้งสองว่ามา สหายเก่าอย่างจ้าวปัญญาหวงฝู่จิ่งเทียน นายเหนือหัวเกาะฉลามมังกรโม่หลานไห่ และเจ้าแดนเถื่อนหลิวเสี่ยวย่อมเลือกที่จะลงมือเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เด็กคนนั้นมีสมบัติอยู่ในการครอบครองมากมายจนแม้แต่ข้าเองก็ยังหวั่นไหว” ชายชราลูบเคราของเขาขณะถอนหายใจ เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบ ๆ แต่ในสายตาของคนอื่น ร่างของเขาเหมือนกำลังลอยอยู่ระหว่างความว่างเปล่ากับความเป็นจริง คลุมเครือและเลือนรางราวกับเป็นภาพลวงตา
“และหากข้าเดาไม่ผิด ก่อนจะไปเผชิญหน้ากับสหายตัวน้อยที่มีโชคลาภผู้นี้ สหายเก่าเหล่านั้นย่อมจะต้องตรวจสอบตัวตนของสหายตัวน้อยนั้นให้ชัดเจนก่อนลงมืออย่างแน่นอน ถึงข้าจะถูกล่อลวงก็ช่างเถอะ ถือเสียว่าออกไปคลายกล้ามเนื้อก็ไม่เลว และยังได้เจอสหายเก่าด้วย…”
ฉากเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ตำหนักจ้าวปัญญา เกาะฉลามมังกร ภูเขานภาลัยและนิกายกระเรียนพิสุทธิ์เท่านั้น สิ่งที่คล้ายกันยังเกิดขึ้นในที่อื่น ๆ อาทิ นิกายสวรรค์ปฐพีที่หลินโม่เซวียนอยู่ นิกายเตากลั่นเซียนนพเก้าที่เซียวหลิงเอ๋อร์เป็นศิษย์
เกือบจะวันเดียวกันที่นิกายอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ ส่งสายสืบจำนวนนับไม่ถ้วนไปยังดินแดนทางใต้ ในเวลาไม่นาน ข้อมูลทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับเฉินซีก็ไปอยู่ในมือของพวกเขา ราวกับเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
“น้องร่วมสาบานของบรรพจารย์สูงสุดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร เป่ยเหิง?”
ในข้อมูลข่าวสารมากมาย ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินซีกับเป่ยเหิงกลายเป็นจุดสนใจของสหายเก่าหลายคนอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องลำบาก แต่กลับดูเหมือนจะว่าพวกเขาจะเข้าใจร่วมกันไปโดยปริยาย และพวกเขาก็คิดแผนที่ยอดเยี่ยมออกมาได้อย่างพร้อมเพรียง
…
ณ พื้นที่ต้องห้ามในภูเขาด้านหลังของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร
เป่ยเหิงนั่งขัดสมาธิขณะโคจรทักษะบ่มเพาะของเขาบนทะเลสาบสีครามตามปกติ ในอีกสามร้อยปีข้างหน้า ระลอกคลื่นแห่งทัณฑ์สวรรค์ที่สี่จะลงมา เขาต้องใช้เวลาทุกวินาทีเพื่อเตรียมพร้อมโดยไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
ในฐานะผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพี แม้ว่าเขาจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกการบ่มเพาะอย่างภาคภูมิ ระลอกคลื่นแห่งทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าก็เหมือนกระบี่คมที่ห้อยอยู่เหนือหัวของเขา และเขากังวลว่ามันอาจจะตกลงมาใส่ได้ทุกเมื่อ ความรู้สึกกังวลและไม่สบายใจนี้เป็นสิ่งที่มีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้นที่จะเข้าใจ
ยิ่งกว่านั้น ระลอกคลื่นทัณฑ์สวรรค์จะทรงพลังและน่ากลัวขึ้นทุกครั้ง ทำให้ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าพวกเขาจะสามารถผ่านทัณฑ์สวรรค์ครั้งต่อไปได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นสำหรับผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีแล้ว จึงมีเพียงวิธีในการบ่มเพาะสองวิธี หนึ่งคือการออกไปท่องเที่ยวรอบโลกเพื่อรวบรวมสมบัติที่แข็งแกร่งพอจะมาช่วยเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ ส่วนอีกหนึ่งคือการปิดประตูฝึกฝน พยายามเข้าใจเจตจำนงเต๋าให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและควบคุมการฝึกฝนของตนเอง
“อนิจจา หากข้าสามารถเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้ ข้าคงจะติดต่อกับเต๋าแห่งสวรรค์ได้ง่ายขึ้น และเจตจำนงเต๋าที่ข้าทำความเข้าใจก็จะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เฉียบขาดขึ้น และลึกซึ้งยิ่งขึ้น…” เป่ยเหิงลืมตาขึ้นและถอนหายใจ ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็รู้สึกเย็นยะเยือก ‘เกิดอะไรขึ้นกับข้ากัน? ยามที่บ่มเพาะโดยปกติแล้ว จิตใจของข้าไม่เคยหวั่นไหว กระสับกระส่ายและไม่มั่นคงเช่นนี้เลย’
‘หรือจะมีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น?’
ยิ่งขอบเขตการบ่มเพาะของผู้บ่มเพาะสูงมากขึ้นเท่าไร ความเข้าใจในเต๋าแห่งสวรรค์ก็จะยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น ในระหว่างการบ่มเพาะตามปกติ ผู้บ่มเพาะมักจะสามารถรับรู้ถึงบางสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ราวกับว่าพวกเขาได้ยินเสียงกระซิบจากสวรรค์ มันคล้ายกับการแสวงหาโชคดีในขณะที่หลีกเลี่ยงภัยพิบัติ ทว่าก็ไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว เพราะมันเป็นเพียงสัญชาตญาณชนิดหนึ่ง จึงไม่สามารถแยกแยะระหว่างโชคลาภกับภัยพิบัติได้
“บรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิง! ข่าวร้าย! ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีในโลกมากมายทั้งจากที่ราบตอนกลางและทั่วทุกสารทิศ พวกเขากล่าวว่าต้องการพบกับท่านขอรับ!” เสียงของหลิงคงจื่อผู้เป็นประมุขนิกายนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ดังเข้ามาจากข้างนอกพื้นที่ต้องห้าม
เพียะ!
เป่ยเหิงตบต้นขาของเขาและถอนหายใจ “อย่างที่คิดไว้ มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นจริง ๆ ข้าล่ะสงสัยเสียจริงว่าพวกเฒ่าชราเหล่านั้นเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงกันขนาดนี้ไปเพื่ออะไร…?” ขณะที่พูด เขาก็ลุกขึ้น ก่อนจะก้าวขาออกเดินและหายไปจากพื้นที่ต้องห้ามในพริบตาต่อมา
ในยามนี้บรรยากาศบนยอดเขาหลักของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรช่างหนักหน่วงยิ่ง
ร่างสง่างามที่น่าตกใจจำนวนมากยืนเรียงรายอยู่อย่างภาคภูมิภายในห้องโถง ทุกคนล้วนถูกห้อมล้อมด้วยกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวและแปลกตา ทำให้ไม่อาจมองรูปลักษณ์ของพวกเขาได้ชัดเจน แต่มันเผยให้เห็นเอกลักษณ์ของผู้แข็งแกร่งแห่งขอบเขตเซียนปฐพีเป็นอย่างดี
เมื่อเผชิญหน้ากับสหายเก่าที่มีกลิ่นอายน่าเกรงขามเหล่านี้ หลิงคงจื่อ เหวินเสวี่ยน และผู้อาวุโสระดับสูงคนอื่น ๆ ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ก็รู้สึกกระวนกระวาย หวาดกลัว และไม่กล้าเสียมารยาท เนื่องจากกลัวอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดเล็กน้อย แล้วนำไปสู่หายนะครั้งใหญ่
อาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่พวกเขาเริ่มบ่มเพาะจนถึงวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีของโลกมารวมตัวกันมากมายเช่นนี้ หากเป็นการมาเยือนตามปกติ พวกเขาจะยินดีเป็นอย่างยิ่งและต้อนรับอีกฝ่ายอย่างอบอุ่น ทั้งยังมอบความบันเทิงให้แก่พวกเขา
แต่น่าเสียดายที่คนเหล่านี้มาด้วยเจตนาร้าย ดังนั้นพวกเขาจึงกำลังหนักใจอย่างยิ่ง
ถึงนิกายกระบี่เมฆาพเนจรจะเป็นผู้ผูกขาดดินแดนทางตอนใต้ไว้ แต่หากพูดถึงกองกำลังทั้งหมดในต้าซ่ง พวกเขาก็เป็นเพียงนิกายชั้นหนึ่ง ซึ่งด้อยกว่านิกายโบราณในที่ราบตอนกลางที่มีผู้บ่มเพาะมากมายดุจต้นไม้ในป่าใหญ่อยู่ดี
ตัวอย่างเช่น สถานการณ์ในยามนี้ ท่ามกลางผู้มาเยือนอย่างประมุขแห่งตำหนักจ้าวปัญญา หวงฝู่จิ่งเทียน ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ นักพรตเต๋าหลงเหอ ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีจากนิกายสวรรค์ปฐพี จ้าวจื๋อเหม่ย ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีจากนิกายเตากลั่นเซียนนพเก้า ชงซวี่ผู้ไร้ขอบเขต
คนข้างต้นนี้เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีจากที่ราบตอนกลางของต้าซ่งเท่านั้น นอกจากนี้ก็ยังมีนายเหนือหัวเกาะฉลามมังกร โม่หลานไห่ และประมุขแห่งภูเขานภาลัย หลิวเสี่ยวอยู่อีก
ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีทั้งหกคนล้วนเป็นผู้บ่มเพาะระดับแนวหน้าในโลกการบ่มเพาะของราชวงศ์ซ่ง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังราวกับดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ายามเที่ยงวัน และสัตว์ประหลาดเก่าแก่ที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษ
ในยามนี้ เมื่อพวกเขาเคลื่อนไหวเพื่อมารวมตัวกันที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรอย่างพร้อมเพรียง ใคร ๆ ก็สามารถรับรู้ได้ว่าย่อมต้องกำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น!
“สหายเก่ามากหน้าหลายตาอุตส่าห์มาหาข้าถึงที่ เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้วจริง ๆ!” เป่ยเหิงสะบัดชายแขนเสื้อและปรากฏตัวขึ้นในห้องโถงพร้อมกับเสียงหัวเราะดังก้อง
หลิงคงจื่อและผู้อาวุโสคนอื่นต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อพวกเขาเห็นว่าเป่ยเหิงมาแล้ว หัวใจของพวกเขาที่แกว่งอย่างรุนแรงก็สงบลงเล็กน้อย
“ที่นี่ไม่มีอะไรให้พวกเจ้าทำ ออกไปก่อน” เป่ยเหิงออกคำสั่งและรอให้หลิงคงจื่อและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ออกไปก่อนจะยิ้มออกมา “สหายเต๋า ข้าไม่ได้พบพวกท่านมาหลายปีแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสที่ทุกคนจะมารวมตัวกันนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของข้า นับเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง มา ๆ เชิญนั่งและดื่มชาคุยกัน”
“เรื่องนั้นไม่จำเป็น” หวงฝู่จิ่งเทียนเอ่ยอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอย่างเฉยเมย “พวกเราทุกคนมาที่นี่เพราะมีเรื่องจะถาม จนกว่าจะจัดการเรื่องนี้ ต่อให้จิบชาไปพลางมันก็คงจะจืดชืดเกินทน”
เป่ยเหิงกวาดสายตามองคนอื่น ๆ และเมื่อเขาเห็นทุกคนมีสีหน้าสงบนิ่ง เขาก็เข้าใจว่าสหายเก่าเหล่านี้คงจะรู้จุดหมายของกันและกันมานานแล้ว ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจ แต่เขาก็ยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม “โอ้ ข้าขอทราบสิ่งที่จ้าวแห่งปัญญาต้องการถามได้หรือไม่? ตราบใดที่ข้ารู้คำตอบย่อมบอกแก่ท่านแน่นอน”
“ตกลง! ถ้าเช่นนั้นข้าจะขอถามท่านว่า ท่านเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเฉินซีจริงหรือไม่?” หวงฝู่จิ่งเทียนเงยหน้าขึ้นจ้องไปทางเป่ยเหิงด้วยสายตาเย็นชา
หัวใจของเป่ยเหิงกระตุกวูบ และคิดกับตัวเอง ‘เฉินซีไปทำให้สัตว์ประหลาดเก่าแก่เหล่านี้ขุ่นเคืองอย่างนั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้! เขาเพิ่งจะออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจรไปเมื่อปีที่แล้ว และการบ่มเพาะของเขาก็ยังต่ำมาก แล้วจะไปรุกรานพวกบ้าบอเหล่านี้ได้อย่างไร? แต่ถ้าหากเขาไม่ได้ทำให้พวกมันขุ่นเคืองใจ แล้วทำไมไอ้แก่ประหลาดพวกนี้ถึงมารวมกันแล้วเอ่ยชื่อเขาขึ้นมาดื้อ ๆ เช่นนี้กัน?’
ตอนนี้ความคิดมากมายพรั่งพรูอยู่ในใจของเป่ยเหิง ทว่าไม่ว่าจะคิดจนสมองของเขาจะบอบช้ำเพียงใด ก็ยังไม่อาจเข้าใจเหตุผลได้ แต่เขากลับสัมผัสได้ราง ๆ ว่าพี่น้องร่วมสาบานของเขาคนนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมยิ่ง!