บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 302 เมืองพันทะเลสาบ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 302 เมืองพันทะเลสาบ

บทที่ 302 เมืองพันทะเลสาบ

“มังกรเขาทมิฬทั้งเก้าตัวนี้เป็นสัตว์อสูรสายพันธุ์บรรพกาล ความแข็งแกร่งของมังกรเพียงตัวเดียวก็สามารถเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ในตอนนี้ มังกรทั้งเก้าตัวกำลังลากรถให้ใครสักคนอยู่!”

“มีเพียงบุคคลเช่นนายน้อยสี่ของตระกูลโจวเท่านั้นที่มีรถม้าสมบัติเช่นนี้ เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งของตระกูลโจวแห่งนครหลวงธารสายไหม ซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ!”

“ใช่แล้ว ข้าเคยได้ยินมาว่า เมื่อตอนที่นายน้อยโจวเพิ่งเกิด เขามีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาและมีสติปัญญาที่น่าทึ่งจนถึงขั้นที่ผู้นำตระกูลแห่งตระกูลโจวต้องการมอบนามที่ดีเลิศแก่เขา แต่เขากลับปฏิเสธ และได้สาบานว่าจะไม่ใช่นามนี้ จนกว่าเขาจะกลายเป็นเซียน!”

“โอ้ จริงหรือ! ไม่น่าแปลกใจเลย ที่ทุกคนต่างก็เรียกเขาว่านายน้อยสี่ของตระกูลโจว ที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุนี้”

รถม้าสมบัติเก้ามังกรพุ่งผ่านก้อนเมฆ และทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าตกตะลึงตลอดทางที่มันผ่านไป จนกระทั่งรถม้าสมบัติเก้ามังกรได้หายไปจากสายตา จึงมีผู้กล้าที่จะพูดคุยด้วยเสียงที่เบาแผ่ว

“ในปัจจุบัน นายน้อยโจวเป็นบุคคลสำคัญในนครหลวงธารสายไหม ว่ากันว่า แม้แต่จักรพรรดิซ่งองค์ปัจจุบันก็ยังชื่นชมพรสวรรค์ของเขา ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าบุคคลเช่นนี้บ่มเพาะมาอย่างไร” ดวงตาของ เว่ยเฟิงแสดงออกถึงความอิจฉา

“ใช่แล้ว ความแข็งแกร่งของนายน้อยโจวเป็นสิ่งที่ลึกลับยิ่งใหญ่และอาจถือได้ว่าไม่สามารถหยั่งรู้ได้” จงเหลียวกล่าวด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง

เมื่อเฉินซีได้ยินทั้งหมดนี้ เขาก็ลอบกล่าวด้วยความชื่นชม ‘ก่อนออกมายังที่แห่งนี้ ข้าไม่รู้เรื่องเหล่านี้จริง ๆ แต่เมื่อข้าได้รู้แล้ว มันทำให้ข้าตกตะลึงยิ่งนัก มีผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งกว่าคนอื่นอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาถึงจำนวนของอัจฉริยะและผู้ทรงอำนาจที่สามารถเย้ยหยันโลกใบนี้ได้’

ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะไม่เคยได้ยินชื่อของนายน้อยคนที่สี่ของตระกูลโจว หวงฝู่ฉางเทียน จ้าวชิงเหอ และคนอื่น ๆ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีชื่อเสียง แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เขาอาศัยอยู่นั้นเล็กเกินไป ทำให้ความรู้ความเข้าใจของเขาตื้นเขิน และเขาไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่

ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับความรู้สึกของกบที่อยู่ก้นบ่อ มันไม่มีทางรู้ว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่ไพศาลเพียงใดเว้นแต่จะได้ออกมาเห็นโลกกว้าง

“ไปกันเถอะ เราอยู่ไม่ไกลจากเมืองนภาครามแล้ว” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย เขาไม่ใช่คนที่จะดูถูกตัวเองและไม่ยอมให้สภาพจิตใจของเขาต้องถูกรบกวนเพียงเพราะเรื่องบางอย่าง

เมืองนภาครามตั้งอยู่ที่ด้านหลังเทือกเขากลืนหมอก ดินแดนนี้อุดมสมบูรณ์ มีสายแร่ใต้ดินที่ใหญ่โต ครอบคลุมพื้นที่หลายหมื่นลี้ ภายในเมืองมีทะเลสาบต่าง ๆ นับพันแห่งกระจายอยู่ทั่วเมือง ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่าเมืองพันทะเลสาบ

ทำเลที่ตั้งของเมืองนภาครามค่อนข้างสะดวก เพราะมีพรมแดนติดกับดินแดนทางใต้และทะเลตะวันออกที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้มีพ่อค้าเดินทางไปมาอย่างมหาศาลราวกับฝูงปลาคาร์ปที่เคลื่อนผ่านลำธาร การค้าขายของเมืองแห่งนี้จึงเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ดังนั้นมันจึงเป็นเมืองการค้าที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีในที่ราบตอนกลาง

เมื่อเฉินซีติดตามเว่ยเฟิงและจงเหลียวมาถึงเมืองนภาคราม เขาก็ได้เห็นทะเลสาบที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่นับไม่ถ้วน ทะเลสาบขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่เกือบหมื่นลี้ และที่เล็กกว่านั้นกินพื้นที่ไม่กี่ร้อยลี้ ทำให้ทั้งเมืองถูกล้อมรอบด้วยมวลหมอกที่ขุ่นมัวและมองเห็นได้ราง ๆ ราวกับแดนสวรรค์

ความรู้สึกแรกที่เฉินซีก้าวเข้ามาในเมืองนี้คือเงียบสงบและสวยงาม ราวกับมันถูกปกคลุมด้วยสายฝนที่โปรยปราย เมืองทั้งเมืองมีภูมิทัศน์ที่งดงามราวกับภาพวาด มีลำธารไหลเชี่ยวกราก มันดูสวยงามและดูแปลกตา ทำให้ในใจของเขามีความรู้สึกสงบสุขผุดขึ้นมาทันที ในขณะที่เขาเดินเข้าไปเมือง

ถนนที่นี่คดเคี้ยวและถูกปูด้วยแผ่นหินปูนที่ให้ความรู้สึกเก่าแก่ แต่ก็ค่อนข้างกว้างขวาง และในขณะที่ผู้คนมากมายเคลื่อนตัวผ่านท้องถนน ก็ไม่รู้สึกว่าแออัดเลยแม้แต่น้อย

เงียบสงบ งดงาม และเจริญรุ่งเรือง นี่คือสิ่งที่เฉินซีรู้สึกในขณะนี้

ตั้งแต่พวกเขามาถึงที่นี่ เฉินซีก็ไม่ทำให้เว่ยเฟิงกับจงเหลียว ลำบากอีกต่อไป เขาปล่อยทั้งสองคนไป ในขณะที่เขาพามู่ขุยไปดูรอบ ๆ เมืองแทน

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ผู้บ่มเพาะมากมายยืนอยู่บนเส้นแสงและบินไปบนท้องฟ้าที่มีหมอกปกคลุม ในขณะที่เสื้อผ้าของพวกเขาปลิวไสวไปตามสายลม ทำให้พวกเขาดูเหมือนเซียนผู้สูงส่ง ส่วนบนพื้นดินก็คับคั่งไปด้วยผู้บ่มเพาะจากทั่วทุกหนแห่งที่เดินไปมาอย่างสบาย ๆ และไม่เร่งรีบ ไม่ว่าจะเลือกสมบัติจากแผงลอยหรือเข้าไปในร้านเพื่อซื้อสมบัติ

‘ตามที่คาดไว้ เมืองการค้าที่มีชื่อเสียงในที่ราบตอนกลางซึ่งรวบรวมกลุ่มพ่อค้าจากทุกที่ในแผ่นดินซ่งทั้งหมดไว้ สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นสวรรค์แห่งการเลือกซื้อสมบัติของเหล่าผู้บ่มเพาะ’ ในขณะที่เขาเดินไปตามท้องถนนและมองไปยังผู้บ่มเพาะที่เคลื่อนตัวไปมา เฉินซีก็ถอนหายใจ

“ไปกันเถอะ! การชุมนุมธารทองจะเริ่มขึ้นที่ทะเลสาบสังเวียนหยกที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองในวันพรุ่งนี้ ในเวลานั้นคงจะแออัดไปด้วยผู้คนอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเราควรไปจับจองสถานที่กันก่อน”

“จำเป็นด้วยหรือ? ทะเลสาบสังเวียนหยกครอบคลุมพื้นที่นับพันลี้ ในทะเลสาบมีสังเวียนต่อสู้สิบแปดแห่งและมันเพียงพอที่จะรองรับผู้ชมนับหมื่นคน ด้วยเหตุนี้ เจ้าจะรีบอะไรขนาดนั้น?”

“เจ้าโง่! หากเราครอบครองตำแหน่งรับชมที่ดีได้ เราจะสามารถสังเกตการต่อสู้บนสังเวียนได้อย่างชัดเจน เจ้าควรรู้ว่าผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมการชุมนุมธารทองในครั้งนี้ ล้วนมีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง หากเราสามารถเข้าใจบางสิ่งจากการต่อสู้ของพวกเขาได้ มันจะส่งผลดียิ่งกว่าการบ่มเพาะอย่างสันโดษเป็นเวลานับหลายปี”

ในระหว่างทาง หูของเฉินซีก็ได้ยินการสนทนาที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมธารทองอย่างมากมายและเป็นเรื่องที่ธรรมดาเข้าใจได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว การชุมนุมธารทองจะถูกจัดขึ้นเพียงครั้งเดียวในทุก ๆ หนึ่งร้อยปีเท่านั้น และมันได้ดึงดูดผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรุ่นเยาว์ของที่ราบตอนกลาง แดนเถื่อนทางตอนเหนือ ทะเลตะวันออกและดินแดนทางใต้ ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่งานยิ่งใหญ่จะคึกคักขนาดนี้

ในเวลาไม่นาน เฉินซีก็พามู่ขุยเดินเข้าไปในอาคารขนาดมหึมาที่ตกแต่งอย่างสวยงาม

ที่นี่เป็นที่พำนักของผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่งและมันถูกเรียกว่าโถงทะเลสาบทองคำ เหล่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรุ่นเยาว์ที่มาเข้าร่วมในการชุมนุมธารทอง จะต้องลงทะเบียนด้วยตนเองที่นี่

เมื่อเฉินซีและมู่ขุยเดินเข้ามาในห้องโถง ผู้คนอย่างน้อยพันคนได้ยืนต่อแถวยาวกันอยู่แล้ว พวกเขามีทั้งชายและหญิงที่ยังดูอ่อนเยาว์มาก ซึ่งกำลังรอการประเมินอายุกระดูกและการบ่มเพาะของพวกเขา เนื่องจากการชุมนุมธารทองเปิดให้เฉพาะผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปีเท่านั้น ผู้ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขจะถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วม

ทั้งหมดนี้ทำให้เฉินซีนึกถึงตอนที่เขาเข้าร่วมการจัดอันดับมังกรซ่อน แต่มันอยู่ที่เมืองทะเลสาบมังกรในเวลานั้น และการเข้าร่วมถูกจำกัดไว้เฉพาะผู้บ่มเพาะของดินแดนทางใต้ที่อยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิล ในขณะที่ครั้งนี้อยู่ที่เมืองนภาคราม และเป็นการแข่งขันที่รวบรวมผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรุ่นเยาว์จากทั่วแผ่นดินซ่ง ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของขนาด ระดับ หรือขอบเขต สิ่งเหล่านี้ล้วนเทียบกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“นายท่าน ข้าคงไม่ต้องเข้าร่วมใช่หรือไม่?” มู่ขุยกล่าวขณะที่พวกเขาเข้าแถว

“ไม่ได้ ไม่เพียงแต่เจ้าจะต้องเข้าร่วมการชุมนุมธารทอง เจ้ายังต้องเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งด้วย ในแง่หนึ่ง เจ้าสามารถขัดเกลาความแข็งแกร่งของเจ้าได้ และอีกแง่หนึ่ง เจ้าจะทำอย่างไรหากข้ามีโอกาสเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล?” เฉินซีส่ายศีรษะ

“เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล?” มู่ขุยรู้สึกมึนงงเล็กน้อยและกล่าวด้วยความข้องใจว่า “ข้าเกรงว่ามันจะเป็นการยากสำหรับข้า ที่จะติดอันดับหนึ่งในสิบของการชุมนุมดาวรุ่งด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้า”

“เจ้าจะรู้ได้อย่างไร หากเจ้ายังไม่ลอง” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม ซึ่งอันที่จริง เขาก็กังวลเรื่องนี้มาตลอด ท้ายที่สุด มีเพียงคนที่ได้รับสิบอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งเท่านั้นที่มีคุณสมบัติในการเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล และหากมู่ขุยไม่สามารถบรรลุข้อกำหนดได้ เขาอาจจะไม่สามารถติดตามเฉินซีไปได้

อย่างไรก็ตาม เขายังมีทางออกอยู่ในใจ นั่นคือการนำมู่ขุยไปไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ถ้ามู่ขุยสามารถผ่านเข้าไปได้ด้วยวิธีนี้ ก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงสิ่งที่ไม่แน่นอนเท่านั้น ใครจะไปรู้ว่าตอนนั้นจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น? ดังนั้นเขาจึงยังไม่ผลีผลามกล่าวออกไป

‘เอาล่ะ ครั้งนี้ข้าจะทำให้ดีที่สุดและมุ่งมั่นที่จะเดินตามรอยเท้าของนายท่าน!’ มู่ขุยลอบกำหมัดแน่น การที่สามารถติดตามเฉินซีได้นั้น ได้กลายเป็นแรงกระตุ้นที่จะสนับสนุนเขาในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

แต่หลังจากนั้น เขาก็ต้องหดหู่ใจอีกครั้ง จากนั้นจึงกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วว่า “แต่ข้าอายุมากกว่าสามสิบปี และข้าได้บ่มเพาะมากว่าสองร้อยปีแล้ว…”

เฉินซีก็ตกตะลึงเช่นกันและขมวดคิ้ว นั่นเพราะเขาลืมไปว่า ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมธารทองหรือการชุมนุมดาวรุ่ง จะต้องผ่านการประเมินอายุโครงกระดูกเสียก่อน

“ไม่เป็นไร เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม ถ้าข้ามีโอกาสเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลจริง ๆ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพาเจ้าไปกับข้า” เฉินซีทำได้เพียงแต่ยอมรับความจริงนี้อย่างช่วยไม่ได้

“ขอบคุณนายท่าน งั้นข้าจะไปรอท่านข้างนอกนะขอรับ” หลังจากมู่ขุยกล่าวจบ เขาก็หันหลังกลับและออกจากโถงทะเลสาบทองคำไป

“ดูสิ มีอีกคนหนึ่งที่อยากลองผ่านไปเข้าไป นับว่าโชคดีที่เขารู้ข้อจำกัดของตัวเองและไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น มิฉะนั้น เขาจะต้องถูกขังอยู่ในคุกของผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่งอย่างแน่นอน” มีคนหัวเราะเยาะเย้ยจากกลุ่มคนที่ต่อแถวเมื่อเห็นมู่ขุยจากไปอย่างกะทันหัน

เฉินซีขมวดคิ้วและมองดู เขาเห็นคนผู้นั้นมีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ผอมแห้งเหมือนต้นไผ่ มีร่องรอยการเหยียดหยามหนาแน่นที่มุมปาก และมีท่าทางประชดประชัน

“หุบปากซะ! เจ้าจะตายหรือ ถ้าเจ้าไม่ได้พูด!” ชายหนุ่มในชุดขาวที่อยู่ข้าง ๆ ขมวดคิ้วและก่นด่า

“เอาล่ะ ศิษย์พี่ซูเฉิน นับตั้งแต่เราออกมา ข้าจะเชื่อฟังทุกสิ่งที่เจ้ากล่าว ตกลงไหม?” ชายหนุ่มร่างผอมเม้มริมฝีปากขณะที่เขาหันกลับมาอย่างไม่พอใจ และดูเหมือนเขาจะค่อนข้างหวาดเกรงต่อชายหนุ่มในชุดขาว

ซูเฉิน!

ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงและเขาจำได้อย่างรวดเร็วว่า ชายหนุ่มที่สวมชุดสีขาวอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มร่างผอมบางนั้นคือ ซูเฉิน ผู้เป็นบุตรชายคนโตของตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกร อีกทั้งยังเป็นพี่ชายของซูเจียว!

ในปัจจุบัน ตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกรได้ถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว แต่ในฐานะศิษย์ของบรรพจารย์หลิงตู้ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ซูเฉินไม่ได้อยู่ในตระกูลซูในวันที่ถูกทำลายล้าง และเขาก็อยู่ในนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ดังนั้นเขาจึงรอดพ้นจากความตาย

ต่อมา เมื่อเฉินซีต้องการจัดการกับเขา ซูเฉินก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้เฉินซีรู้สึกเสียใจเพราะเขาตระหนักได้เป็นอย่างดี หากไม่ถอนรากถอนโคน ก็จะเกิดปัญหาในอนาคตอย่างแน่นอน

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ซูเฉินดูเหมือนจะหายไปในอากาศ และไม่มีร่องรอยของเขาเลยสักนิด โดยไม่รู้ตัว เฉินซีจึงแทบจะลืมการมีอยู่ของคนผู้นี้ไปแล้ว ทว่าเขากลับไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะบังเอิญพบกับคนผู้นี้ที่นี่!

‘ซูเฉินเอ๋ย ซูเฉิน สวรรค์ต้องการให้เจ้าตายด้วยน้ำมือของข้า และเจ้าได้แต่โทษโชคชะตาที่เลวร้ายเกินไปของเจ้า… แต่ที่แห่งนี้เป็นห้องโถงของผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่ง ดังนั้นข้าจึงไม่อาจลงมือฆ่ามันได้ และดูเหมือนมันจะต้องการเข้าร่วมในการชุมนุมธารทองเช่นกัน ดังนั้นข้าจะลงมือในตอนนั้น’ ความคิดต่าง ๆ ได้พลุ่งพล่านอยู่ในใจของเฉินซี และเขารีบสงบความรู้สึกของตนเอง ในขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ซูเฉินสังเกตเห็น

ในเวลาไม่นาน ซูเฉินก็ลงทะเบียนเสร็จและจากไปอย่างช้า ๆ กับชายหนุ่มร่างผอมบาง โดยไม่ได้สังเกตว่าระหว่างทางมี ‘คนรู้จักเก่า’ ของเขาอยู่ในฝูงชน

หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีได้ผ่านการประเมินอายุโครงกระดูกและการบ่มเพาะเช่นกัน และเขาได้จ่ายโอสถกลั่นแรกเริ่มไปหนึ่งพันเม็ด ก่อนที่จะได้รับตราคำสั่งสีทอง โดยอาศัยตราคำสั่งนี้ เขาสามารถเข้าร่วมการชุมนุมธารทองได้แล้ว

หลังจากวางตราคำสั่งลงในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ เฉินซีก็เดินออกจากห้องโถงและจากไปพร้อมกับมู่ขุย “ไปกันเถอะ ก่อนอื่นเราจะมองหาโรงเตี๊ยมที่จะเข้าพัก เมื่อรุ่งสางมาถึง เราจะไปร่วมเป็นสักขีพยานความยิ่งใหญ่ของการชุมนุมธารทอง เมื่อข้ากล่าวถึงมัน ข้าก็อดแทบไม่ไหวแล้ว…”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท