บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 310 ฝ่ามือผนึกโพธิสัตว์ราชสีห์มังกร

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 310 ฝ่ามือผนึกโพธิสัตว์ราชสีห์มังกร

บทที่ 310 ฝ่ามือผนึกโพธิสัตว์ราชสีห์มังกร

‘จี้เยว่ต้องการท้าประลองกับเฉินซีหรือ?’

เว่ยเฟิงและจงเหลียวต่างก็ตกอยู่ในความหวาดกลัว ในขณะที่พวกเขามองไปที่มู่ขุยอย่างกระวนกระวาย พวกเขารู้สึกเสียใจกับความหุนหันพลันแล่นก่อนหน้านี้ของตนเอง

มู่ขุยคำรามอย่างเย็นชา “พวกเจ้าอยากกลับคำหรือ?”

ทั้งสองคนรีบส่ายศีรษะขณะที่สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปมา จี้เยว่คือผู้ใดน่ะหรือ? เขาเป็นผู้แปรสภาพร่างกายขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ! ซึ่งได้รับการยกย่องมานานแล้วว่าเป็นบุคคลที่สามารถทัดเทียมกับนายน้อยโจวและคนอื่น ๆ แล้วเฉินซีจะเป็นคู่มือกับเขาได้อย่างไร?

ในแง่ของความแข็งแกร่ง ผู้แปรสภาพร่างกายสามารถบดขยี้ผู้บ่มเพาะลมปราณด้วยฐานการบ่มเพาะในระดับเดียวกัน และนี่คือความจริงที่หักล้างไม่ได้ในโลกแห่งการบ่มเพาะ ด้วยเหตุนี้ เฉินซีซึ่งอยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้นจะสามารถต่อต้านจี้เยว่ได้เช่นไร?

ในแง่ของเคล็ดวิชาตัวเบา? ไม่ว่าความเร็วของเขาจะรวดเร็วเพียงใด ถ้าตราบใดที่เขาไม่สามารถทำร้ายศีรษะหรือหัวใจของจี้เยว่ได้ มันก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน

ในแง่ของการฝึกฝนเต๋าแห่งการต่อสู้? จะมีผู้ใดกล้ากล่าวว่า จี้เยว่ไม่ได้ฝึกฝนพลังอิทธิฤทธิ์อันทรงพลัง? ไม่ว่าคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบจะทรงพลังถึงเพียงใด นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของแต่ละบุคคล!

มู่ขุยหัวเราะอย่างเย็นชาและโบกมือพร้อมกับกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้าจะไม่บังคับพวกเจ้าสองคนเหมือนก่อนหน้านี้ ราวกับว่าเจ้าได้ให้เงินที่เจ้าเดิมพันกับข้า พวกเจ้าว่าอย่างไร?”

เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ เว่ยเฟิงและจงเหลียวก็รู้สึกลังเลอีกครั้ง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เว่ยเฟิงก็กล่าวด้วยเสียงลอดไรฟันว่า “ไม่เป็นไร ข้าต้องการที่จะเสี่ยง ข้าไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสเฉินซีจะไม่สามารถเอาชนะจี้เยว่ได้!”

จงเหลียวกัดฟันและกล่าวว่า “ใช่แล้ว! ดังคำที่ว่า ลมพัดเปลือกไข่ ทรัพย์สมบัติหายไป ผู้คนจึงมีความสุข ก็แค่แพ้การเดิมพัน เราจะต้องกลัวสิ่งใดอีก”

มู่ขุยอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ ‘สองคนนี้ความคิดกลับไปกลับมาตลอดเวลาและจิตใจอ่อนไหวต่อผลกระทบจากโลกภายนอกได้ง่าย ข้าเกรงว่าพวกเขาทั้งสองคนจะไม่สามารถไปได้ไกลเท่าไรแม้แต่ในการบ่มเพาะก็ตาม’

ภายในสังเวียนของการชุมนุมธารทอง

จู่ ๆ จี้เยว่ก็ละทิ้งชัยชนะติดต่อกันห้าสิบครั้งของเขาเพื่อที่จะท้าประลองกับเฉินซี และเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความโกลาหลในทันที ซึ่งได้ดึงดูดสายตาของทุกคนที่มาร่วมงานเป็นอย่างมาก

“เจ้านี่เป็นบ้าไปแล้วหรือ”

“เขากำลังจะทำอะไร? เขาได้รับชัยชนะติดต่อกันห้าสิบครั้งอย่างง่ายดาย และเหลือเพียงครึ่งทางก็จะได้รับชัยชนะติดต่อกันหนึ่งร้อยครั้งแล้ว เหตุใดเขาถึงหยุดกะทันหันเช่นนี้?”

“คนผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างที่พวกเราคิดแน่นอน บางทีการกระทำของเขาอาจมีเหตุผลลึกล้ำซ่อนอยู่”

“เราจะหยุดไว้เท่านี้ก่อน แล้วค่อยมาต่อหลังจากดูการต่อสู้นี้เสร็จแล้ว เจ้าคิดเช่นไรบ้าง?” บนสังเวียนประลองหมายเลขสอง ฮวาโม่เป่ยที่สวมเสื้อผ้าสีน้ำเงินหัวเราะอย่างไร้การควบคุม ขณะที่เขากล่าว สายตาของเขาก็มองไปยังสังเวียนประลองที่เฉินซียืนอยู่

“ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว” เมื่อได้ยินเช่นนี้ คู่ต่อสู้ของฮวาโม่เป่ยก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาถูกฮวาโม่เป่ยกดดันจนถึงจุดวิกฤตตลอดเวลา และเขาต้องการที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อหยุดพักชั่วขณะหนึ่ง

“จี้เยว่ คนผู้นี้กำลังคิดวางแผนอะไรอยู่? เขาไม่สนใจสังเวียนประลองของตัวเองและต้องการที่จะท้าประลองเฉินซี ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจเสียจริง” ย่าชิงขมวดคิ้วที่งดงามของนางขณะที่กล่าวอย่างไม่พอใจ

“เขาย่อมมีเป้าหมายของตัวเองอย่างแน่นอน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินซี…” เจิ้นหลิวชิงหัวเราะ “เป้าหมายของเขาอาจเป็นเรื่องยากที่จะบรรลุ”

ในขณะนี้ จี้เยว่ได้กลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของการชุมนุมธารทองทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย และแม้แต่นายน้อยโจว อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่ และคนอื่น ๆ ก็จ้องมองพวกเขาราวกับเหยี่ยวที่จ้องมองเหยื่อจากฟากฟ้า

ภายใต้การจ้องมองของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น จี้เยว่ทะยานไปยังสังเวียนประลองหมายเลขสามอย่างว่องไว เพื่อเผชิญหน้ากับเฉินซี จากนั้นเขาก็ประสานมือเข้าด้วยกัน “พี่เฉิน ท่านยินดีรับคำท้าของข้าหรือไม่”

เขาสวมชุดผ้าป่าน มีศีรษะโล้นเกลี้ยงเกลาและยืนเท้าเปล่า ทำให้เขาดูค่อนข้างยากจน แต่ดวงตาของเขากลับมั่นคงแจ่มใส กลิ่นอายที่เงียบสงบแผ่ซ่านออกมาจากสีหน้าของเขา ทั่วทั้งร่างกายของเขาบริสุทธิ์เหมือนดอกบัว และเขาให้ความรู้สึกเหมือนอยู่เหนือการพิจารณาทางโลก แต่รอยสักรูปดอกบัวบานสีแดงบนศีรษะของเขา กลับขับเร้นความรู้สึกชั่วร้ายที่ไม่ธรรมดาให้แก่เขา ทำให้เขาเป็นที่สะดุดตาของผู้อื่น

เฉินซีสัมผัสได้ถึงดวงจิตแห่งเต๋าที่มั่นคงอย่างยิ่งจากคนผู้นี้ มันเหมือนกับดวงจิตแห่งเต๋าของคนที่ดื้อรั้นที่จะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย คนประเภทนี้นับว่าน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

“เหตุใดข้าจะไม่ล่ะ?” เฉินซียิ้มด้วยสีหน้าไร้กังวล การต่อสู้สี่สิบครั้งก่อนหน้านี้ อาจถือได้ว่า เขาเพียงเล่นสนุกและใช้ความแข็งแกร่งไปไม่ถึงสี่ส่วนเลยด้วยซ้ำ ซึ่งในขณะนี้ การปรากฏตัวของจี้เยว่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกระตุ้นความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะต่อสู้

“เนื่องจากเป็นการต่อสู้ การวางเดิมพันจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าได้ยินมาว่าครั้งหนึ่งท่านพี่เฉินเคยได้รับเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มาจากเมืองทะเลสาบมังกร เช่นนี้ เรามาวางเดิมพันกันดีไหม?” เมื่อเขากล่าวถึงเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ขึ้นมา ประกายงดงามที่ไม่ธรรมดาได้ฉายผ่านดวงตาของจี้เยว่

ทันใดนั้น เฉินซีก็ตระหนักได้ว่า ‘คนผู้นี้คงคิดชิงสมบัติของข้ามานานมากแล้ว ยิ่งกว่านั้น เหตุผลที่เขาท้าประลองข้าก็เพื่อต้องการสมบัตินี้อย่างแน่นอน’

เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านพี่จี้เยว่มีหูตาที่กว้างไกลจริง ๆ ใช่แล้ว สมบัตินี้อยู่ในความครอบครองของข้า และการใช้มันในการเดิมพันก็เป็นไปได้อยู่ แต่มันเป็นสมบัติล้ำค่า ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าท่านพี่จี้เยว่จะสามารถนำอะไรออกมาได้บ้าง”

จี้เยว่ยิ้มบาง ๆ ดูเหมือนเขาจะมั่นใจมากยิ่งขึ้น จึงกล่าวอย่างสบาย ๆ ว่า “ข้าคิดว่าท่านคงพอคาดเดาได้แล้วว่า ข้าได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของนิกายพุทธ และท่านเองก็รู้ดีว่าการฟื้นฟูเจดีย์บำเพ็ญทุกข์จะไม่มีวันสำเร็จ ถ้าปราศจากการบำรุงและขัดเกลามันด้วยพลังของวิชาการบ่มเพาะตามวิถีพุทธ ด้วยเหตุนี้ หากข้าแพ้ประลอง ข้าจะมอบเคล็ดวิชาการบ่มเพาะนี้ให้แก่ท่าน เป็นอย่างไร?”

เฉินซีส่ายศีรษะ “ข้ายังสามารถหาโอกาสอื่นเพื่อค้นหาเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของนิกายพุทธได้ แม้ว่าจะไม่มีท่าน แต่ข้ามีเจดีย์บำเพ็ญทุกข์เพียงชิ้นเดียวและมันไม่สามารถหาสิ่งใดมาทดแทนได้ โปรดอภัยให้ข้าด้วย แต่ข้ารับเงื่อนไขนี้ไม่ได้”

“อย่าว่ากระนั้นเลยนะ นอกจากข้าแล้ว คงไม่มีผู้ใดในราชวงศ์ซ่ง ที่มีเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของนิกายพุทธ ท่านพี่เฉิน เหตุใดท่านถึงไม่ลองพิจารณาดูใหม่ล่ะ?” จี้เยว่ขมวดคิ้วขณะที่เขากล่าว

“ดูเหมือนว่าท่านพี่จี้จะยังไม่เห็นสถานการณ์อย่างชัดเจน แม้ทั่วราชวงศ์ซ่งอาจจะไม่มี แล้วแดนภวังค์ทมิฬล่ะ?” เฉินซีหัวเราะเบา ๆ “แม้แดนภวังค์ทมิฬจะไม่มี แต่อาณาจักรพุทธศาสนาก็ควรมี จริงไหม?”

โทสะฉายผ่านแววตาของจี้เยว่ เขารู้สึกว่าตนเองมีมารยาทเพียงพอแล้ว แต่เฉินซียังคงไม่คิดจะตอบรับ เห็นได้ชัดว่า เฉินซีจะไม่ยอมจำนนต่อแรงกดดันที่เขามีต่อตนเอง หลังจากปฏิเสธคำขอของเขาในตอนแรก หากนี่เป็นสถานที่อื่น เขาจะไม่ใส่ใจให้เสียเวลาอย่างแน่นอน เขาจะจัดการฆ่าเฉินซีโดยตรงและยึดเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มาครอบครองทันที

ในขณะนี้ เฉินซีสังเกตเห็นอย่างเฉียบพลันว่า จี้เยว่ได้กระตุ้นเจตนาฆ่าที่มีต่อเขา ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธในใจ ‘เขาอยากได้เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ของข้า แต่ไม่คิดที่จะเอาสิ่งมีค่าออกมา ทั้งยังกระตุ้นเจตนาฆ่าอีก คนผู้นี้ช่างหยิ่งยโสและอวดดีจริง ๆ เขากำลังรนหาที่ตาย!’

“แล้วในความเห็นของท่านพี่เฉิน ข้าต้องวางเดิมพันแบบใดจึงจะคู่ควรกับมูลค่าของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์” จี้เยว่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทำให้สีหน้าของเขากลับมาสงบอีกครั้ง ในขณะที่เขากล่าวอย่างเชื่องช้า

“เรียนตามตรง ทรัพย์สินทั้งหมดของท่านไม่น่าสนใจสำหรับข้าเลยสักนิด” เฉินซีส่ายศีรษะ “ถ้าท่านอยากสู้กับข้ามากนัก ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงการเดิมพัน มิฉะนั้น โปรดออกจากสังเวียนประลองด้วย”

เจตนาฆ่าพวยพุ่งในใจของจี้เยว่ทันที ในขณะที่สีหน้าของเขาสงบลงและถามอย่างเย็นชาว่า “ ท่านพี่เฉิน ท่านตั้งใจกระทำโดยพลการเช่นนี้จริง ๆ หรือ?”

“กระทำโดยพลการ?”

ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง และได้มอบโทษประหารให้แก่จี้เยว่อยู่ในใจ เนื่องจากเขายืนยันได้แล้วว่า เพื่อให้ได้ครอบครองเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ จี้เยว่อาจกระตุ้นเจตนาฆ่าต่อเขาแล้ว และมันก็ตรงดั่งคำที่ว่า ‘คนไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเสือ แต่เสือกลับตั้งใจที่จะกลืนกินมนุษย์’ เมื่อต้องรับมือกับคนเช่นนี้ จะต้องโหดเหี้ยมและไร้ความปรานียิ่งกว่าเขาหรือแม้แต่ต้องฆ่าเขาเท่านั้น จึงจะหลีกเลี่ยงหายนะเช่นนี้ได้

“เจ้าจะต่อสู้หรือไม่? ถ้าไม่ใช่ก็ออกไปซะ!” เสียงก่นบ่นดังขึ้นจากรอบสังเวียนประลองขณะที่พวกเขารู้สึกว่าการกระทำของจี้เยว่นั้น เริ่มต้นด้วยเสียงโครมครามยิ่งใหญ่ แต่จบลงด้วยเสียงครวญครางแผ่วเบา

ยิ่งไปกว่านั้น เพราะการสนทนาระหว่างเฉินซีกับจี้เยว่ดำเนินด้วยการส่งเสียงผ่านกระแสปราณ ผู้คนจึงไม่เข้าใจถึงเหตุผลเบื้องหลังและคิดว่าพวกเขากำลังรำลึกถึงวันเก่า ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงก่นบ่นออกมาอย่างเป็นธรรมดา

“เจ้าได้ยินไหม? เจ้าจะต่อสู้หรือไม่? มิฉะนั้น ก็ไสหัวไปซะ อย่าได้ทำให้ผู้อื่นต้องเสียเวลา” หลังจากที่เฉินซีเข้าใจธาตุแท้ของจี้เยว่อย่างชัดเจนแล้ว เขาก็ไม่คิดที่จะสุภาพอีกต่อไปและกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว

“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องสยบเจ้าอย่างสมบูรณ์เท่านั้น จึงจะทำให้เจ้าเปลี่ยนใจได้ ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ ข้าจะใช้ความแข็งแกร่งของข้าตัดสิน!” หลังจากที่จี้เยว่กล่าวจบ เขาก็สวดมนต์ด้วยท่าทางเคร่งขรึมและสง่างาม

ตู้ม!

พลังชีวิตและโลหิตดูเหมือนจะเดือดพล่าน มันทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะกลายเป็นเมฆสีแดงเลือดที่แผ่ซ่านอย่างต่อเนื่องจนปกคลุมท้องฟ้าในระยะสองลี้ เมฆสีแดงนี้หลั่งไหลไปด้วยอักขระยันต์ที่หลากหลาย และมีฟ้าแลบฟ้าร้องส่งเสียงดังกึกก้องอยู่ภายใน เมื่อจี้เยว่ตัดสินใจที่จะต่อสู้ ดวงตาของเขาก็ว่างเปล่าไปชั่วขณะ ในครานี้ ดูเหมือนว่าเขาได้กลายเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง ราวกับพระโพธิสัตว์ผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและสงบสุข กลายเป็นพระโพธิสัตว์ผู้กราดเกรี้ยวขึ้นมาทันใด

ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวที่พุ่งออกมาจากร่างกายของจี้เยว่ เสียงอึกทึกครึกโครมรอบ ๆ สถานที่จัดการชุมนุมธารทองก็หายไปทันที และแทนที่ด้วยความเงียบสงัด เนื่องจากทุกคนจดจ้องไปที่สังเวียนหมายเลขสามโดยไม่กะพริบตา เพราะว่าพวกเขาไม่อยากพลาดรายละเอียดแม้แต่นิดเดียว

“เพลิงโลกันตร์ปทุมชาดและอิทธิฤทธิ์แห่งพระโพธิสัตว์ จงขจัดความชั่วร้ายและสยบอสูรทั้งมวล ฝ่ามือผนึกโพธิสัตว์ราชสีห์มังกร!” จี้เยว่ตะโกนลั่น ในขณะที่เปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาจากผิวหนังของเขา จากนั้นเขาก็สร้างผนึกด้วยมือทั้งสองข้าง เกิดเป็นมังกรที่คำรามอย่างโกรธเกรี้ยวอยู่ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็มีราชสีห์ที่คำรามอย่างเกรี้ยวกราดจนสามารถเขย่าท้องฟ้าให้สั่นไหว และก็มีแสงเจิดจ้าอันไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมาจากด้านหลังของมัน ทำให้เขาดูเหมือนเทพเจ้าที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อันน่าเกรงขาม

ด้วยการมองเพียงแวบเดียว เฉินซีก็สังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วว่า ฝ่ามือผนึกโพธิสัตว์ราชสีห์มังกรเป็นพลังอิทธิฤทธิ์ของนิกายพุทธที่ทรงพลังและดุดัน ความแข็งแกร่งของมังกรสามารถบดขยี้ร่างกาย ในขณะที่เสียงคำรามของราชสีห์สามารถสะกดวิญญาณ มันแตกต่างจากเคล็ดวิชาและพลังอิทธิฤทธิ์ที่เขาเคยพบเห็นมาก่อนเป็นอย่างมาก

ปัง!

จี้เยว่ประสานฝ่ามือของเขาเข้าด้วยกัน ในขณะที่ความแข็งแกร่งของมังกรได้ผสมผสานเข้ากับพลังของราชสีห์คำราม ก่อตัวเป็นมวลพลังงานที่ทรงอานุภาพ ก่อนที่ร่างของเขาจะสั่นสะเทือนไปมาพร้อมกับระเบิดพลังใส่เฉินซีอย่างดุเดือด!

เขาพุ่งเข้ามาราวกับสายฟ้าฟาด!

รุนแรงดั่งฟ้าผ่าและว่องไวดั่งสายลม!

เมื่อจี้เยว่ผู้เท้าเปล่าและนุ่งจีวรผ้าป่านเหมือนพระสงฆ์ได้เปิดฉากการโจมตี ทำให้เขาเป็นดั่งพุทธองค์แห่งความตาย ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้โจมตีอย่างรวดเร็วและดุดันโดยใช้มือทั้งสองสร้างผนึกไว้ ซึ่งบดขยี้มวลอากาศในขณะที่พุ่งเข้าหาเฉินซีจากทางด้านบน

ฟิ้ว!

เฉินซีจะนิ่งเฉยเพื่อรอความตายได้อย่างไร? ร่างของเขาวูบหายไปอย่างรวดเร็วจากจุดนั้น เพียงชั่วพริบตาต่อมา เขาก็มาถึงด้านข้างของจี้เยว่

ยันต์ศัสตราเป็นดั่งมังกรดุร้ายที่พุ่งผ่านท้องฟ้า มันกลายเป็นประกายแสงที่ถาโถมราวกับสายน้ำที่เชี่ยวกราก ซึ่งแทงไปยังด้านหลังศีรษะของจี้เยว่อย่างรวดเร็ว

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าความเร็วของเจ้านั้นไม่ธรรมดา แล้วข้าจะไม่ระมัดระวังตัวได้อย่างไร? ฝ่ามือผนึกโพธิสัตว์ราชสีห์มังกร!” จี้เยว่ตะโกนดังกึกก้องราวกับเสียงคำรามของมังกรอีกครั้ง ในขณะที่มือทั้งสองข้างของเขากำลังประสานกัน เพื่อสร้างผนึกนับพันที่อาบไปด้วยเปลวไฟ และเปล่งเสียงสวดมนต์เป็นภาษาสันสกฤตอย่างคลุมเครือ ซึ่งสามารถทำให้หัวใจของผู้ได้ยินต้องสั่นไหว ทันใดนั้น เขาหมุนร่างและฟาดฝ่ามือไปที่ปลายกระบี่

ปัง!

ตราผนึกและปลายกระบี่ปะทะกันราวกับการปะทุของภูเขาไฟ ทำให้เกิดคลื่นเปลวเพลิงพวยพุ่งสู่ท้องฟ้าและเขย่าสังเวียนประลองที่อยู่ด้านล่างจนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ชุยซานซึ่งเป็นประธานในการประลองรีบใช้ม่านพลังป้องกันระดับสูงสุดบนสังเวียนประลอง เมื่อเขาเห็นว่าสถานการณ์ของสังเวียนประลองไม่เป็นไปด้วยดี มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะหลีกเลี่ยงการพังทลายของสังเวียนประลองได้

เพียงอึดใจ ทั้งสองคนได้ปะทะกันมากกว่าหนึ่งร้อยกระบวนท่า คนหนึ่งเป็นดั่งสายฟ้าที่เปล่งปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวออกมา อีกคนอาบไปด้วยแสงสีโลหิตราวกับพุทธองค์ที่ลงมายังโลก พวกเขาต่อสู้กันด้วยความเร็วสูงสุด การปะทะกันแต่ละครั้งของพวกเขา ทำให้เกิดแสงที่น่าสะพรึงกลัวและสายลมที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง

ในขณะที่ผู้คนกำลังรับชมการต่อสู้ หัวใจของพวกเขาล้วนสั่นไหวอย่างยากจะอธิบาย เพราะนี่เป็นการต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างผู้บ่มเพาะ ดังนั้นทุกกระบวนท่าและเคล็ดวิชาจึงแฝงไปด้วยความลึกล้ำที่หลากหลายและเปี่ยมล้นไปด้วยเต๋ารู้แจ้ง ทำให้พวกเขาหลงใหลอยู่กับมันโดยมิรู้ตัว

ครืนนนน!

ทะเลเพลิงลุกโชนขึ้นบนสังเวียนประลอง พลังพุทธองค์พลุ่งพล่านอยู่รอบตัวของจี้เยว่ เปลวเพลิงสีโลหิตก็เหมือนกับกระแสน้ำที่ซัดสาดเข้าหาบริเวณโดยรอบ เปลวเพลิงได้ปกคลุมสังเวียนประลองทั้งหมดและสกัดกั้นเส้นทางการล่าถอยของเฉินซีทันที

“เจ้าเอาแต่หลบจะมีประโยชน์อย่างไร? จงรับฝ่ามือของข้าซะ!” ท่ามกลางเสียงตะโกนอันดังก้องของเขา จี้เยว่ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะพุ่งลงมาราวกับดาวหาง และทำลายตราผนึกที่ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีทองอย่างรุนแรง

ทำให้มวลอากาศถูกแยกออกจากกัน จนเกิดเป็นช่องว่างที่เต็มไปด้วยรอยแตกในทันที หลังจากผนึกนี้ถูกทำลาย มันทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าผืนดินได้แยกจากกันและพื้นดินก็แตกออก ในขณะที่เฉินซีเป็นเหมือนต้นไม้เล็ก ๆ ที่อยู่บนพื้น เขาจะถูกมันทำลายและจมน้ำตายได้ทุกเมื่อ และมันทำให้คนอื่นได้รับผลกระทบทางสายตาเป็นอย่างมาก

เฉินซีเงยศีรษะขึ้น ในขณะที่ยันต์ศัสตราพุ่งออกไปอย่างว่องไวราวกับผีเสื้อกระพือปีก เกิดเป็นปราณกระบี่หลายสายที่ผสานกันทั้งแนวตั้งและแนวนอนกลายเป็นตาข่ายด้วยจังหวะที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ตราผนึกทองคำถูกทำลายเป็นชิ้น ๆ อย่างง่ายดาย

“เจ้าก็มีพอมีฝีมืออยู่บ้างนี่ แต่นั่นเป็นพลังเพียงครึ่งหนึ่งของข้าเท่านั้น และหากเจ้าไม่อาจรับการโจมตีครั้งต่อไปได้ เจ้าก็ไม่คู่ควรกับพลังที่แท้จริงของข้า!” ใบหน้าของจี้เยว่ยังคงไร้อารมณ์ในขณะที่มือขาวและแวววาวของเขาแสดงท่าผนึกมือแปลกประหลาดนับพันออกมาทันทีทันใด…

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท